กรรมของ " ทักษิณ " คือ // ท่านอธิฐานบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมาจาก พุทธภูมิ // ท่านเลยต้องเที่ยวตะเวณช่วยเหลือ คนนับแสนนับล้าน
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
29 กรกฏาคม 2551

มาย้อนรอย ดูประวัติ กระทิ กันครับ

หากเอ่ยชื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ณ วันนี้ คนไทยทุกหมู่เหล่าต่างรู้จักมักคุ้น
ที่ประกาศชัดเจนเป็นศัตรูกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทั้งที่ในวงการสื่อสารมวลชน และวงการนักธุรกิจการเมือง
ต่างรู้จักบุคคลคนนี้ดีอย่างยิ่ง ว่าเขาได้รับการเกื้อหนุนอย่างดีจากคนที่ชื่อ
พ.ต.ท.ทักษิณ แต่กับสาธารณชนรู้จักเขาในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่งเท่านั้น

เขาเป็นใครมาจากไหน ใยถึงมาออกรายการด่ารายวันรายสัปดาห์ จนถึงขั้นหวังโค่นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วขยี้ซ้ำแบบไม่เผาผีเช่นนี้ เรามาย้อนอดีตและเปิดกรุธุรกรรมของ เขาดูหน่อยบ้างเป็นไร

นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีชื่อจีนว่า “โกตั้บ แซ่ลิ้ม” เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2490
ระหว่างศึกษาอยู่ที่สหรัฐฯ เพื่อนฝูงมักเรียกนายสนธิว่า “SONDY”
ภายหลังสำเร็จการศึกษา นายสนธิเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อปี 2516
และแต่งงานกับผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก มศว.ประสานมิตร
แต่ปัจจุบันแยกกันอยู่ จะพบปะกันบ้างเป็นบางโอกาส เช่น
เมื่อบุตรชายของทั้งคู่ ซึ่งขณะนี้กำลังเรียนอยู่สหรัฐฯ
เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน

ส่วนพ่อของนายสนธิ คือ เจ๊ก เป็นทหารสังกัดกองร้อย หวางฟู่ ในกองพล 93
แห่งพรรคก๊กมินตั๋งของประธานาธิบดีเจียงไคเชค แต่ถูกกองทัพประชาชน
ของเหมาเจ๋อตง ตีรุกจนถอยมาติดชายแดนจีนตอนใต้ยันชายแดนพม่า
กองพล 93 มีชื่อเสียงมากเพราะ ซีไอเอ ของอเมริกันเลี้ยงไว้
ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ให้อาหารและอาวุธ ต่อมาทหารจีน ช่วยคนท้องถิ่นปลูกฝิ่น
มีรายได้อีกทางหนึ่ง แต่พ่อของนายสนธิ ชื่อ เชียร
หนีทหารลอบเข้าชายแดนไทย แล้วลงมาอยู่กรุงเทพทำหนังสือพิมพ์จีน รับเรี่ยไรเงินส่งไปช่วยพรรคก๊กมินตั๋ง นายเชียร จึงพ้นโทษที่หนีทหาร
ภายหลัง นายเชียร ร่ำรวย แล้วทั้งพ่อและแม่ถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ
(สันนิษฐานว่าโกงเงินเรี่ยไรไม่ส่งให้ก๊กมินตั๋ง)

นายสนธิเข้าทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย
เมื่ออายุเพียง 27 ปี นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับ นายพล สิทธิอำนวย
ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอส กรุ๊ป ออกนิตยสารดิฉัน
แต่ประสบกับภาวะขาดทุน จึงขายให้กับ นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา
เมื่อครั้งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทำงานที่ นสพ.ประชาธิปไตยนั้น
นายสนธิรู้จัก นายพร สิทธิอำนวย
(เรียกชื่อฝรั่งว่า นายพอล = Paul) ทำงานธนาคาร แล้วมีธุรกิจส่วนตัว
ทำนิตยสาร ต่อมานายพอล สิทธิอำนวยโกงเงินธนาคาร 2 พันล้านบาท
หนีไปอยู่อเมริกา ก่อนหนีไปได้โอนกิจการพิมพ์ให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล
เท่ากับนายสนธิได้สมบัติฟรี ๆ เป็นของส่วนตัวทำหนังสือต่อจนมีฐานะดี
สามารถกู้หนี้ยืมสินธนาคารด้วยเครดิตสูง

แต่แล้วนายสนธิ ก็กลับมาโดดเด่นอีกครั้งด้วยการตั้ง
บริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ออกหนังสือผู้จัดการรายเดือน เมื่อปี 2526
และผู้จัดการรายสัปดาห์ จากความสำเร็จ
ในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจชั้นนำ ของผู้จัดการรายเดือนและรายสัปดาห์
ทำให้นายสนธินำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เมื่อปี 2533 พร้อมกับออกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันตามมา

เข้า

***ผูกขาดขาย Nokia แต่เพียงผู้เดียว***

ต่อมานายสนธิสามารถเข้าเทคโอเวอร์ บริษัทลูกของปูนซีเมนต์ไทย ก็คือ
บริษัท เอสซีทีคอมพิวเตอร์ จำกัด บริษัทไมโครเนติก จำกัด
และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง (ไออีซี) จำกัด
ซึ่งต่อมาบริษัท ไออีซี เป็นบริษัทที่ทำกำไรให้กับนายสนธิอย่างต่อเนื่อง

เนื่องจาก บริษัท ไออีซี เป็นบริษัทผูกขาดการขายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย ระบบเซลลูล่า 900 แต่เพียงผู้เดียว

***ลงทุนดาวเทียมลาวสตาร์ในลาว***

นายสนธิ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่การทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ในประเทศเท่านั้น
เขายังได้ขยายตัวออกไปลงทุนทำหนังสือพิมพ์ “เอเชียไทม์”
โดยตั้งฐานผลิตที่ฮ่องกงอีกด้วย พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น
บริษัท แมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็ม กรุ๊ป เมื่อ
22 พ.ย. 2537 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารงานบริษัทในเครือ
จากนั้นเริ่มขยายไปสู่วงการโทรคมนาคมในต่างประเทศ
เข้าไปลงทุนในโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ ชื่อบริษัท ABCN
ที่เป็นบริษัทในเครือ ซึ่งได้รับสัมปทานจากประเทศลาว พร้อมๆ
กับเริ่มรุกทำกิจการโรงแรมในลาว และร้านอาหารในจีน

จากการขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง การพยากรณ์ธุรกิจอย่างผิดพลาด
นำมาสู่สภาพธุรกิจที่ตกต่ำ นับตั้งแต่ปลายปี 2539
ทำให้นายสนธิต้องขายธุรกิจในเครือ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้
รวมทั้งโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ที่ขายให้กับกลุ่มยูคอม
แต่นายสนธิยังมีหนี้สินอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อ พ.ย. 2542
ธนาคารนครหลวงไทย ได้ยื่นฟ้องนายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป
ให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะไม่สามารถชำระหนี้ให้กับ
ธนาคารได้จำนวน 150 ล้านบาท จนกระทั่งศาลได้มีคำสั่งให้
นายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป เป็นบุคคลล้มละลายไปในที่สุด

ปัจจุบัน
นายสนธิ ยังคงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ในการบริหารหนังสือพิมพ์
ในเครือที่เหลือเพียง 3 ฉบับ คือ ผู้จัดการรายเดือน ผู้จัดการรายสัปดาห์
และผู้จัดการรายวัน ซึ่ง นายสนธิ ถือว่าเป็นหัวใจหลัก ที่จะต้องคงไว้
และดำเนินการต่อไป แม้จะไม่มีตำแหน่งใดๆ แล้ว นายสนธิ
มีเครือข่ายความสนิทสนม กับบุคคลในกลุ่มนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ
และข้าราชการจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ
นายศิรินทร์ฯ และนาย ธารินทร์ฯ

โดย นายสนธิ ได้รับความช่วยเหลือด้านเงินกู้จาก ธนาคารกรุงไทย
เพื่อมาพยุงฐานะธุรกิจตลอดเวลา ในช่วงที่นายศิรินทร์
เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเมื่อ พ.ย. 2542
บริษัท Price water house Coopers ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ธนาคารกรุงไทยว่าจ้าง มาปรับปรุงโครงการ
ตรวจสอบภายใน ระบุว่า บจ.เอ็ม กรุ๊ป มีหนี้สินอยู่กับธนาคารกรุงไทย
จำนวน 2,123 ล้านบาท เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อ
โดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งที่ไม่มีหลักทรัพย์ใด ๆ มาค้ำประกัน

***เปลือยธารินทร์***

ต่อมาไม่นานนัก นายสนธิ จึงได้เขียนบทความต่าง ๆ รวมทั้งออกหนังสือชื่อ
“เปลือยธารินทร์” โจมตีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องส่วนตัวของ
นายธารินทร์ฯ อยู่โดยตลอดมา จนเป็นข้อสงสัยต่อสาธารณชน
อาจจะเป็นเรื่องไม่พอใจที่ นายธารินทร์ ไม่ยอมช่วยเหลือ
แก้ไขปัญหาทางธุรกิจให้

กระนั้น นายสนธิ ก็ยังมีความสัมพันธ์กับ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน
เนื่องจากอดีตภรรยาของ นายสนธิ เป็นญาติของ นายบัญญัติ
ทั้ง นายสนธิ กับ นายบัญญัติ เคยลงทุนทำธุรกิจโรงแรมด้วยกันที่ประเทศลาว
ปัจจุบันมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเป็นประจำ

***ลงทุนทำโรงแรมที่ลาวร่วมกับบัญญัติ บรรทัดฐาน***

ระหว่างช่วงสมัยรัฐบาลชวน 2 นายสนธิ มีความใกล้ชิดสนิทสนม กับ
นายธารินทร์ มาก่อน ตอนแรกก็ดีกัน แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้ง
ระหว่างกันอย่างรุนแรง โดย นายสนธิ อ้างว่าเป็นความขัดแย้ง
กันทางความคิดในการแก้ปัญหาวิกฤติ เศรษฐกิจของประเทศ
จากนั้นจึงพุ่งเป้าโจมตี นายธารินทร์ อย่างรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
ในช่วง 2 ปี หลังของรัฐบาลชวน 2 ทั้งผ่านทางวิทยุ และหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ
ในเครือผู้จัดการ โดยใช้ชื่อว่า พายัพ พนาสุวรรณ มีการทำเทปออกขาย
ปรากฏความตอนหนึ่งว่า นายสนธิ กล่าวหา นายธารินทร์ ว่า

กระทำการอันเป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ

ทำให้นายธารินทร์ต้องฟ้องร้องนายสนธิในข้อหาหมิ่นประมาท เรื่องยังอยู่ในศาลจนถึงปัจจุบันนี้

***เกาะรัฐบาลทักษิณ ๑***

ขณะที่ในช่วงรัฐบาล ทักษิณ 1 เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกนั้น ก็ได้ดึงเอานายสนธิมาร่วมงานด้วย เพราะเขารู้จักกับคนในรัฐบาลหลายคน ต่อมาในช่วงรัฐบาล ทักษิณ 2
เกิดการขัดแย้งระหว่าง นายสนธิ กับ รัฐบาลอย่างรุนแรง
สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอะไร แต่บางคนอ้างว่า
เพราะ นายสนธิ ลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ในการทำโทรทัศน์เสรีมาแล้ว
เป็นพันล้านบาท แต่กลับไม่ได้ช่องมาทำ ก็เลยหันมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ
ในแบบเดียวกันกับที่เคยโจมตีนายธารินทร์สำเร็จมาแล้ว

***ฟอกเงินที่หมู่เกาะเวอร์จินไอส์แลนด์***

ไม่เพียงเท่านั้น ข้อสงสัยประการสำคัญ ที่มีต่อ นายสนธิ กับหมู่เกาะ
ในสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นชื่อ ในประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นหมู่เกาะของนักฟอกเงิน
นั่นคือ หมู่เกาะ The British Virgin Island

มีหลายฝ่ายต่างแฉข้อมูลของ นายสนธิ จนกลายเป็นข้อกล่าวหา
ที่สาธารชนจะต้องนำมาเป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาด้วยเช่นกัน
ประเด็นกล่าวหา นายสนธิ มีอยู่ว่า
ไปจดทะเบียนบริษัท Manager International Holding Company Limited
ที่หมู่เกาะ The British Virgin Island นี้ ด้วยเงินเพียงแค่ 1,000 เหรียญสหรัฐ
แต่กลับนำมาขายให้ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน)
ซึ่งเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน ด้วยเงินถึง 7,228,000 เหรียญสหรัฐ ประเด็นก็คือ
ส่วนต่าง 200 ล้านบาทนี้ หายไปอยู่กระเป๋าใคร

นอกจากนั้น เงินที่ บริษัทเมเนเจอร์ให้บริษัทนี้ยืมไปอีก 700 ล้านบาท หายไปไหน

ข้อสงสัยจนกลายเป็นข้อกล่าวหาต่อมา คือทำมัยมีการเปิด
บริษัท ส่วนตัว ที่ชื่อ เวิลด์ไวด์ มีเดีย ซึ่งก็ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์
เพื่อรับเงินค่าโฆษณาแทน บริษัทมหาชน และทำไมบริษัทนี้
ไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้ บริษัทซึ่ง เป็นของมหาชน ทั้งที่รับเงินมา 2-3 ปี แล้ว
ข้อกล่าวหาอีกประเด็นหนึ่งคือ ทำมัย บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน)
ถึงยังให้ บริษัท นี้หาโฆษณาและรับเงินแทนอยู่ ทั้งที่ก็รู้ว่า บริษัทนี้
ยังไม่โอนเงินเข้า บริษัท เมเนเจอร์ฯ มาเป็นปีแล้ว

***เงิน ๗๐๐ ล้านหายไปไหน***

นอกจากนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า ทำไมบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย
ถึงนับยอดรายได้โฆษณาที่น่าจะได้จาก บริษัท เวิลด์ไวด์ มีเดีย
เป็นหนี้ที่สงสัยจะสูญในทันที จนมีผลทำให้ผลประกอบการรวมของ
บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย ซึ่งควรจะเป็นกำไร กลายเป็นขาดทุน
จนเป็นที่มาของข้อสงสัยกรณี ผู้ตรวจสอบบัญชีที่
บริษัท เมเนเจอร์ มีเดียจ้างเอง ไม่ยอมเซ็นรับรอง
บริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย หลายไตรมาสติดต่อกัน

***เจิมศักดิ์แฉลดหนี้จาก ๒๐,๐๐๐ ล้านเหลือ ๖,๐๐๐ ล้าน***

อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อสงสัยตลอดมา คือประเด็นหลังจากที่
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และกลุ่มเนชั่นออกมาปูดข่าวว่า
รัฐบาล ทักษิณ ช่วยลดหนี้ของกลุ่มผู้จัดการ จาก 20,000 ล้านบาท
เหลือแค่ 6,000 ล้านบาท ในปี 2545
แล้ว นายสนธิ และ กลุ่มผู้จัดการ ได้รับการลดหนี้จากสถาบันการเงินของรัฐ
อีกกี่ครั้ง ต่อมานายสนธิออกมาปฏิเสธว่า กลุ่มผู้จัดการมีหนี้อยู่ในขณะนั้น
8,000 กว่าล้านบาท ไม่ใช่ 20,000 ล้านบาทตามที่ นายเจิมศักดิ์ กล่าวหา

ในยุคหนึ่งขณะที่ นายวิโรจน์ นวลแข ทำงานที่ธนาคารกรุงไทย
มีข้อกล่าวหาว่า ทำไม นายสนธิ ถึงได้รับการลดหนี้ที่เคยลดมาแล้วอีก
จาก 1,421.73 ล้านบาท เหลือเพียงแค่ 259 ล้าน บาท
และทำไม ธนาคารกรุงไทย ถึงขนาดยอมให้ นายสนธิ ไม่ต้องจ่ายคืน
เป็นเงินสด โดยยอมกระทั่งให้ใช้ คืนเป็นค่าโฆษณา ราคาแพง
จนเราได้เห็น โฆษณาชุดผู้ใหญ่ลี ที่มีค่าแอร์ไทม์ครั้งละ หลายแสน บาท
อย่างถี่ยิบ จนเป็นคำถามว่า ธนาคารของรัฐ อย่างธนาคารกรุงไทย
มีความจำเป็นต้อง โฆษณา ตัวเองกับสื่อของ นายสนธิ แค่ที่เดียว
เป็นร้อย ๆ ล้านบาทเลยหรือ

(จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2547 ดูข้อมูลได้ที่ตลาดหลักทรัพย์)

***ปลุกระดมมวลชนเพื่อแก้วิกฤตการเงินของตัวเอง***

ด้วยข้อสงสัยและข้อกล่าวหาหลายประการ จึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า
การที่ นายสนธิ ออกมาปลุกระดมมวลชนอย่างเอาเป็นเอาตาย

สาเหตุเบื้องต้น เกิดจากกลุ่มผู้จัดการกำลังเกิดวิกฤติทางการเงิน
ซึ่งถ้าไม่ได้อำนาจรัฐหรือกลุ่มทุนเข้าช่วยเหลือ อาจถึงขั้นปิดตัวเองเลย
ใช่หรือไม่ และอะไรที่ทำให้นายสนธิ อุทานว่า ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง

ประเด็นที่เป็นเงื่อนตาย ที่ยากจะปลดล็อก คือ กรณีคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกกฎมานานแล้วว่า
จะถอดถอน บริษัท ซึ่งอยู่ในหมวดฟื้นฟูของตลาดหลักทรัพย์
และมีหุ้นส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ออกจากตลาดหลักทรัพย์
ภายในเดือน มีนาคม 2549 และประเด็น ศาลล้มละลายกลาง
ได้ยินยอมขยายเวลาแผนฟื้นฟู ของ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย
ออกไปจากเดิมสิ้นสุด วันที่ 26 กรกฏาคม 2548 กลายเป็นสิ้นสุด
วันที่ 3 สิงหาคม 2549 เพื่อให้บริษํท เมเนเจอร์ มีเดีย หาผู้ร่วมทุนใหม่
มูลค่า 350 ล้าน บาทให้ได้ทันตามกำหนด

ถ้ากลุ่มผู้จัดการหาเงินเพิ่มทุน 350 ล้าน บาท ไม่ได้ภายในเดือน มีนาคม หรือไม่มี อินไซเดอร์ ใน ก.ล.ต.ให้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนผันกฎ
บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย มีสิทธิจะโดนถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์

ถ้ายังไม่ได้เงินก่อนเดือนสิงหาคม และศาลไม่ยินยอม
ให้ขยายเวลาแผนฟื้นฟูบริษัทอีก บริษัท เมเนเจอร์
ก็อาจจะต้องปิดตัวเองลงภายในปีนี้

จึงเป็นที่มาของคำว่า “ตายเป็นตาย” ของนายสนธิ

+++++++++

หนี้สิน กระทิ ที่พอรวบรวมได้

นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหนี้ 6,687 ล้านบาท

กู้เงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกว่า 300 ล้านบาท

ธนาคารกรุงไทย 495,080,556.13 ล้านบาท

ธนาคารกสิกรไทย 30,791,780.82 ล้านบาท

ธนาคารเอเซีย 741,728,446.00 ล้านบาท

ธนาคารกรุงไทย 900,978,279.31 ล้านบาท

ธนาคารไทยธนาคาร 431,419,178.07 ล้านบาท

ธนาคารดีเอสบี (ไทยทนุ) 64,621,463.90 ล้านบาท

กฟผ. 63 ล้านบาท















 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2551
0 comments
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 17:59:42 น.
Counter : 5981 Pageviews.


VikingsX
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add VikingsX's blog to your web]