|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
กว่าจะได้มาเมืองนอก การเตรียมภาษาอังกฤษ ตอน 1
ภาษาอังกฤษ เป็นยาขมหม้อใหญ่สำหรับนักเรียนไทยที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมก็เช่นกัน ก่อนอื่นต้องเกริ่นพื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวเองก่อน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจ
ในสมัยเรียนมัธยม 6 ปี ผมไม่เคยสนใจเรียนภาษาอังกฤษเลย เวลาเรียนก็ไปนั่งให้มันหมดคาบเท่านั้น ไม่เคยท่องศัพท์ ไม่เคยสนใจ Grammar ไม่เคยอ่านหรือพูดภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ด้วยความขี้เกียจเท่านั้น จนจบ ม 6 แล้ว พื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษเรียกได้ว่าสูญ ไม่ใช่ศูนย์ เพราะสมัย ป 5 ป 6 น่าจะมีความรู้ภาษาอังกฤษดีกว่าตอน ม 6 ซะอีก

ทีนี้พอ Entrance เข้ามหาลัย มันต้องสอบภาษาอังกฤษด้วยใช่มั๊ยหละ ผมใช้วิธีเลือก Choice ข้อที่ยาวที่สุดครับ แต่ถ้ามันยาวพอ ๆ กัน หรือเลือกตอบเป็นศัพท์ ก็ใช้วิธีกา ค ควายอย่างเดียว จำได้ว่าตอนสอบ Entrance นั้น วิชาภาษาอังกฤษ ทำได้ 1 ข้อ ที่เหลือเดาหมด
ให้ตายเถอะโรบิน ขนาดเดามั่วซั่วแบบนี้ คะแนนภาษาอังกฤษตอน ent ยังอุตส่าห์ได้ตั้ง 36 คะแนน นับว่าเป็นการเดาที่โครตโชคช่วยจริงๆ (ได้ต่ำกว่านี้อีกซักคะแนน คง ent ไม่ติด)
เมื่อมาเรียน ป ตรี ความขี้เกียจยังคงเดิม ขณะที่ภาษาอังกฤษมีเรียนไม่มากนัก ผมก็พอถูไถผ่านไปได้ จนจบ ป ตรี ความรู้ภาษาอังกฤษยังเรียกได้ว่าใช้การไม่ได้
ทีนี้มาเรียนโท โชคดีมากที่ตอนสอบเข้าไม่ต้องสอบภาษาอังกฤษ สอบเข้ามาได้ที่โหล่ๆ ทีนี้เค้าให้ นศ ใหม่ไปทดสอบภาษาอังกฤษทุกคน ใครไม่ผ่านให้ลงเรียน แค่ลงเรียนจบแต่ไม่ต้องสอบแล้วก็ผ่านได้ ผมอาสาทันที ว่าไม่ต้องขอสอบครับ ขอลงเรียนเลย แต่อาจารย์ไม่อนุญาต เลยต้องสอบ ซึ่งโชคดี ข้อสอบเป็นแบบ Multiple choices อีกแล้ว ก็ใช้สูตรเดิมสมัย ent
ผลหรือครับ 5 5 5 ไม่อยากคุย จากผู้เข้าสอบ 40 คน ผมได้ที่ 3 ครับ ไม่น่าเชื่อเนอะ แต่เป็นที่ 3 จากท้าย เหอ เหอ แปลว่ายังมีคนอ่อนภาษาอังกฤษ และไร้โชคกว่าผมตั้ง 2 คนแหนะ
หลังลงเรียนผ่านไป ภาษาก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม แต่มีปัญหาว่าเรียนโทเนี่ย มันต้องอ่าน paper เยอะ ซึ่งมีแต่ภาษาอังกฤษ และไม่สามารถเลี่ยงได้ ผมก็ต้องอ่าน ดังนั้นจึงต้องอ่านตั้งแต่ต้องเปิดศัพท์ทีละคำ ๆ ทุกคำไปเลย เพราะศัพท์ง่ายๆ เช่นค่ำว่า about เนี่ย ผมยังไม่รู้ความหมายเลย 
จากการถูกบังคับและความจำเป็น ทั้งการอ่าน paper , การที่อาจารย์หลายๆ ท่านออกข้อสอบเป็นภาษอังกฤษ หรือ power point ที่ใช้สอนเป็นภาษาอังกฤษ และการที่ต้องอ่าน text บ้าง ทำให้สมัยเรียนโท ผมจึงได้ความรู้ด้านศัพท์เพิ่มเติมขึ้น แม้ว่าจะไม่พอ แต่ก็พอจะถูไถอ่านภาษาอังกฤษได้งูๆ ปลาๆ แต่ยังงๆ ทุกครั้งที่เจอศัพท์ที่มีการเปลี่ยนรูป เช่นเติม ed, ing, ly เพราะผมแทบไม่รู้ความแตกต่างของประเภทคำศัพท์ ว่าอันไหน Verb Adjective Adverb Noun และการใช้งานเลย อ้อ ผมเพิ่งจะมารู้ว่า Verb ที่ประธานเป็นเอกพจน์ต้องเติม S ด้วยก็สมัยเรียนโทนี่แหละ โง่ภาษาได้ขนาดนั้นเลย
แต่จากการที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น ทำให้ความรู้ด้านศัพท์เพิ่ม พออ่านภาษาอังกฤษเข้าใจได้จากการดูความหมายของศัพท์ต่างๆ แม้จะไม่เข้าใจกระจ่างนัก แต่ก็นับว่าหลังจากจบโทแล้ว ภาษาผมดีกว่าตอนจบ ป ตรีมาก แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับการใช้งาน
พอไปทำงาน ด้วยสายงานที่ทำ ทำให้เริ่มมีความฝันอยากไปเรียนเมืองนอกบ้าง ผมเลยไปลงเรียนที่สงวน แต่เป็นสาขาที่ ตจว ไปเรียนเย็นๆ แทบทุกวัน ไปหลายเดือนจนเค้าเจ๊งและปิดสาขาไป ระหว่างเรียน ได้เอาข้อสอบ Toefl ที่แจกมาหัดทำบ้าง ทำให้ความรู้ภาษาพัฒนาขึ้นมาก แม้จะยังไม่เป็นระบบ เช่นเห็นการเขียนประโยคบางแบบ สามารถบอกได้ว่ามันผิด Grammar ตรงไหน แต่ยังไม่สามารถแก้ให้ถูกได้ รู้ว่าผิด แต่บอกไม่ได้ว่าทำไมผิด การอ่านพอใช้การได้ แต่การฟัง พูด เขียน ไม่ได้ได้เรื่องอย่างสิ้นเชิง
จนกระทั่งรู้ว่าจะได้รับทุน คราวนี้ ความสำคัญของภาษาอังกฤษมาเป็นอันดับ 1 แล้ว เริ่มรู้ตัวแล้วว่าจะมามัวนิ่งนอนเอ้อละเหยไม่ได้แล้ว ความนี้จึงต้องเริ่มต้นหาที่เรียนแบบจริงๆ จังๆ แล้ว
Create Date : 19 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 19 ธันวาคม 2552 22:52:42 น. |
|
4 comments
|
Counter : 2331 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: CrackyDong วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:1:59:57 น. |
|
|
|
โดย: bezpetch วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:21:14:32 น. |
|
|
|
โดย: DConan1597 วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:21:59:57 น. |
|
|
|
โดย: BB IP: 203.156.27.40 วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:10:55:51 น. |
|
|
|
|
|
|
|