โบรกชี้เดือนต.ค.ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ดัชนีผันผวน แรงขายลดลง ลุ้นมาตรการช่วยแบงก์ยุโรป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ เวลา 9.51 น. ค่าเงินบาททรงตัวอยู่ที่ระดับ 31.15บาทต่อเหรียญสหรัฐ ด้านตลาดหุ้นเอเชียมีทั้งปรับตัวอยู่ในแดนบวกและลบ หลังจากดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นช่วงท้ายตลาดจากกระแสข่าวบรรดารมว.คลังยุโรปได้ตกลงที่จะเตรียมการปกป้องภาคธนาคารของตน อย่างไรก็ตาม การที่มูดี้ส์ปรับลดความน่าเชื่อถือของอิตาลี 3 ขั้น จาก Aa2 สู่ A2 ซึ่งน่าจะสร้างความเสียหายกับธนาคารในยุโรปที่ถือพันธบัตรของอิตาลีอยู่ โบรกเกอร์มองตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก แรงขายเริ่มอ่อนลง เก็งกำไรเน้นขึ้นขายทำกำไรต่อไป ส่วนพอร์ตลงทุนระยะไตรมาส 4/54 ให้เน้นถือเงินสดรอดูสถานการณ์เช่นเดิม

บล.ฟิลลิประบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ แนวโน้มตลาดวันนี้: ยังมีความเสี่ยงจากภายนอกแต่คาดแรงขายลดลง

แม้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อคืนจากข่าวที่ว่า บรรดารมว.คลังยุโรปได้ตกลงที่จะเตรียมการปกป้องภาคธนาคารของตนหลังความเชื่อมั่นที่ลดลงใน ธ. Dexia ทำให้ฝรั่งเศส/เบลเยียมต้องเร่งให้ความช่วยเหลือ หากแต่ปัญหากรีซยังเป็นปัจจัยเสี่ยงในเรื่องผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนถึงการได้รับเงินช่วยเหลือจาก EU/IMF ดังนั้นทางฝ่ายยังคงมีมุมมองเป็นลบต่อ SET หาก แต่คาดเห็นปัจจัยช่วยประคองได้แก่ต่างชาติที่กลับมาซื้อสุทธิแม้ยังไม่มาก รวมถึงการที่กลต.ขอความร่วมมือโบรกเกอร์เพื่อลดแรงกดดัน SET จากชอร์ตเซล

กลยุทธ์การลงทุน: ระยะสั้นเน้น Wait & See ต่อไปก่อน แนวต้าน : 870-890 แนวรับ : 850-800

การจัดพอร์ตระยะสั้น* - หุ้น 0-25% : เงินสด 100-75%

ถือต่อในพอร์ต : DTAC

บล.ฟินันเซีย ไซรัสระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ สำหรับเทรดดิ้งสั้น..ตลาดขึ้นหาจังหวะทำกำไรด้วย ส่วนลงทุนยาว..เน้นถือ!

แนวโน้ม เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์หนี้ในยูโรโซน ประกอบกับในระหว่างวันยังมีข่าวว่าการประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซนครั้งถัดไปในวันที่ 13 ต.ค.ได้ถูกยกเลิก และเลื่อนไปเป็นกลางเดือน พ.ย.แทน ทำให้นักลงทุนยิ่งวิตกต่อการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อาจเกิดวิกฤติสินเชื่อกับธนาคารในยุโรปได้ ซึ่งตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐเมื่อคืนนี้ก็ปรับตัวลดลงกันกว่า 2% ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามหลังตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปแล้ว เริ่มมีข่าวว่าบรรดา รมว.คลังยุโรปได้ตกลงที่จะเตรียมการปกป้องและสนับสนุนภาคธนาคารของตน หลังฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมต้องเร่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือธนาคารเด็กเซียจากปัญหาความเชื่อมั่น ส่งผลให้ DJIA สามารถพลิกกลับขึ้นมาบวกกว่า 1% ในช่วงท้ายได้ ทำให้ FSS คาดว่า SET จะได้ปัจจัยหนุนจากประเด็นดังกล่าวและสามารถรีบาวด์กลับขึ้นได้เช่นกัน แต่ปัญหาหนี้ในยุโรปยังไม่ชัดเจนจึงคาดว่าตลาดยังมีสิทธิแกว่งผันผวนต่อไปได้

กลยุทธ์: สำหรับเทรดดิ้งจึงควรหาจังหวะทำกำไรเมื่อตลาดขยับขึ้นด้วย แต่ถ้าเป็นถือลงทุนระยะกลาง-ยาว หลังจากซื้อไปแล้วแนะนำให้ถือต่อเนื่อง

KGI ประเมินตลาดหุ้นไทยวันพุธแกว่งตัวลง คาดว่าจิตวิทยาตลาดหุ้นเอเชียจะไม่ดีในบ่ายวันนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นยุโรปที่เปิดมาน่าจะถูกกดดันจากการที่มูดี้ส์ปรับลดความน่าเชื่อถือของอิตาลี 3 ขั้น จาก Aa2 สู่ A2 ซึ่งน่าจะสร้างความเสียหายกับธนาคารในยุโรปที่ถือพันธบัตรของอิตาลีอยู่ ทั้งนี้แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะรีบาวด์กลับได้ดีในชั่วโมงสุดท้ายหลังจาก นสพ. Financial Times รายงานว่าผู้กำหนดนโยบายของยุโรปเตรียมแผนปกป้องและเพิ่มทุนภาคธนาคาร แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดมากนักและไม่น่าจะดีพอจะหนุนจิตวิทยาตลาดได้ณ ปัจจุบัน ปัจจัยทางฝั่งยุโรปได้เปลี่ยนไปจากที่เรามองไว้หนึ่งประการ และเป็นการเปลี่ยนในทางที่แย่ลงกล่าวคือเจ้าหนี้ของกรีซเลื่อนการสรุปผลประเมินเศรษฐกิจและการให้เงินกู้รอบใหม่เป็นกลางเดือน พ.ย.จากเดิม 13 ต.ค. เนื่องจากอาจต้องมีการเจรจากับภาคเอกชนเพิ่มเติมในการให้เอกชนแบกรับภาระมากยิ่งขึ้น ซึ่งความไม่แน่นอนตรงนี้อยู่ยาวนานขึ้น ก็จะทำให้ตลาดฟื้นตัวได้ช้ากว่าเดิม

อย่างไรก็ดีราคาหุ้นปัจจุบันมีความน่าสนใจในการลงทุนระยะยาว โดย SET เทรดที่ PE ปี 2555 ที่ 8.1 เท่า (คาดการณ์กำไรต่อหุ้นเดิมที่ 104.7 ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน) และ PBV ย้อนหลัง 12 เดือนที่ 1.6 เท่า ทั้งนี้ในช่วงเกิดวิกฤตปี 2551 ตลาดหุ้นลงไปต่ำสุดที่ PE ประมาณ 7 เท่า หรือเท่ากับดัชนีฯ ประมาณ 730 จุด ซึ่งฝ่ายวิจัยขอให้เป็นกรณีแย่สุด (Worst case scenario) ของปัญหาหนี้ยุโรปในรอบนี้

กลยุทธ์: พอร์ตเทรดดิ้งให้ถือหุ้นไว้ต่อ ถ้ายังเพิ่มพอร์ตสั้นได้แนะเข้าซื้อเก็งสั้นในวันนี้เพื่อลุ้นว่าฝั่งยุโรปจะมีการประกาศมาตรการอุ้มภาคธนาคารในรายละเอียดออกมา ส่วนพอร์ตลงทุนระยะไตรมาส 4/54 ให้เน้นถือเงินสดรอดูสถานการณ์เช่นเดิม

บล.กสิกรไทยมองความเสี่ยงในยุโรปยังคงอยู่ในเดือนต.ค.โดยระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ DJ รีบาวน์ขึ้นมาปิดบวกได้เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากติดลบเกือบ 300 จุด จากข่าวที่กลุ่มอียูกำลังหารือเรื่องการเพิ่มทุนให้กับธนาคารในกลุ่มยูโร อย่างไรก็ตามความเสี่ยงยังคงอยู่ โดยเฉพาะการเลื่อนการพิจารณาแผนแก้ปัญหากรีซ ทำให้การรีบาวน์ยังดูไม่เสถียร โดยเรายังมอง downside risk ของตลาดหุ้นที่ 812 จุด ซึ่งเป็นระดับ P/BV ที่ 1.5 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดที่เคยเกิดขึ้น ไม่รวมช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งและ subprime นอกจากนี้เราได้ศึกษาประวัติการปรับฐานใหญ่ของตลาดหุ้นที่ผ่านตลอด 36 ปีที่ผ่านมา หลังจากปรับขึ้นมามากกว่า 100% (มีทั้งหมด 4 รอบ) พบว่าตลาดจะมีการปรับฐานประมาณ 30-35% ซึ่งจะทำให้ตลาดมี downside risk จากวิธีนี้ที่ 740 – 803 จุด หากใช้ 1148 เป็นจุดสูงสุดในการคำนวณ อย่างไรก็ตามหากวิกฤตการณ์รอบนี้หนักเท่ากับ subprime (ซึ่งเรายังคาดว่าไม่เกิดขึ้น) SET index มีโอกาสปรับลดลงได้ถึง 540 จุด ซึ่งเป็นระดับ P/BV ที่ 1 เท่า ที่เคยทำไว้ต่ำสุดในช่วง subprime

กลยุทธ์การลงทุน: ตลาดยังคงมีโอกาสปรับฐานได้ในเดือนต.ค. จากความกังวลเรื่องกรีซที่อาจจะผิดนัดชำระหนี้ โดยการพิจารณาแผนได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นต้นเดือนหน้า อย่างไรก็ตามเรายังเชื่อว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือรอบ 2 และตลาดจะมีโอกาสกลับขึ้นมาได้ซึ่งอาจเป็นช่วงเดือนพ.ย. โดยมีข่าวดีที่รออยู่ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อของจีน ซึ่งคาดว่าจะลดลง ผลประกอบการของบริษัทจะทะเบียนไทย ซึ่งคาดว่าจะออกมาดี ขณะที่คาดว่าครม.จะเริ่มพิจารณามาตรการลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 30% เหลือ 23% ในปีหน้า อย่างไรก็ตามความเสี่ยงคือหากกรีซผิดนัดชำระหนี้ downside ของตลาดจะสูงมาก ดังนั้นที่แนะนำให้ Short หุ้นกลุ่มพลังงานและ Long หุ้นกลุ่ม domestic ก็แนะนำให้ถือหุ้นในกลุ่มDomestic play ต่อได้ และรอสะสมเพิ่มเมื่อตลาดปรับลดลงมาที่ downside ของเรา

Create Date : 05 ตุลาคม 2554		0 comments
Last Update : 5 ตุลาคม 2554 13:58:22 น.
Counter : 459 Pageviews.
Share Tweet