บ้านฉันอยู่กลางทุ่งนา มีปู่ มีย่า มีหมา มีควาย เอิงเอย!
|
||||
โบราณสระบุรี : เมืองขีดขิน ตำนานเมืองขีดขิน(รามปุระนคร-เสนาราชนคร-เมืองปรันตปะ)โดยย่อ ตามพงศาวดารเหนือ เมืองขีดขิน หรือ รามปุระนคร หรือเสนาราชนคร ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางแห่งมหาอำนาจ มีอาณาเขตการปกครองกว้างใหญ่ไพศาล มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่า ๑,๔๒๗ ปีมาแล้ว มีกษัตริย์ที่ปกครองดินแดนแห่งนี้หลายพระองค์รวมทั้งพระเจ้ารามราชและพระนางเจ้าจามเทวี ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองรามปุระนคร(หรือเสนาราชนคร) เจ้าชายรามราชได้อภิเศกสมรสกับเจ้าหญิงจามเทวีและในปีพุทธศักราช ๑๑๙๘ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครองรามปุรนคร(ปัจจุบันคือเมืองขีดขินเมืองเก่าแห่งบ้านคูเมือง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี) อาณาประชาราษฏร์ต่างจุดประทีปโคมไฟเฉลิมฉลองทั่งทั้งพระนครอย่าง สมพระเกียรติและยิ่งใหญ่ ทั้งสองพระองค์ทรงปกครองรามปุรนครด้วยทศพิธราชธรรม บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์อยู่เย็นเป็นสุข ด้วยพระเมตตาบารมีเสมอมา กาลเวลาสืบเนื่องต่อมาจนถึงสมัยพระเจ้าพรหมมหาราชตามพงศาวดารเหนือ (ฉบับพระวิเชียรปรีชา(น้อย) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่าสมเด็จพระเจ้าไกรสรราช พระราชโอรสของพระเจ้าศรีธรรมปิฏกหรือ พระเจ้าพรหมมหาราชแห่งนครโยนกเชียงแสน พระราชบิดาส่งพระองค์ลงมาครองเมืองละโว้ ภายหลังปี พ.ศ. ๑๕๐๐ อันเป็นเมืองลูกหลวงทางใต้ในสมัยนั้น พระองค์เสกสมรสกับพระนางสุลเทวี ราชธิดาแห่งกรุงศรีสัชนาลัย ทรงมีพระโอรส ๑ องค์ พระนามว่า พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช ซึ่งในเวลาต่อมาถูกส่งไปครองเมืองเสนาราชนครปี พ.ศ. ๑๗๕๕ ตามหลักฐานกล่าวว่าเมืองเสนาราชนครตั้งอยู่ห่างจากเมืองละโว้ ๑๐๐ เส้นจากการตรวจสอบของคณะโบราณคดีของกรมศิลปากร ได้สัญจรมาสำรวจเส้นทางเสด็จนมัสการพระพุทธบาทและถนนฝรั่งส่องกล้อง ได้ไปชมเมืองโบราณแห่งนี้ และสัญนิษฐานว่าเมืองโบราณแห่งนี้เป็นเมืองเสนาราชนคร ตามพงศาวดารเหนือจริง เพราะเมืองโบราณแห่งนี้ก็อยู่ห่างจากเมืองละโว้ ๑๐๐ เส้น เมืองโบราณดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอบ้านหมอไปทางเหนือประมาณ ๖๐๐ เมตร และห่างจากศูนย์พุทธศรัทธาประมาณ ๓๐๐ เมตร บริเวณนี้ปรากฏเป็นคูเมือง กำแพงเมืองวัดโดยรอบประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร สภาพคูเมืองฝังลึกมากหลักฐานการก่ออิฐสอปูนยังปรากฏอยู่บ้าง เคยมีคนขุดค้นพบวัตถุโบราณหลายชิ้น เช่นรูปนายทวารบาล รูปพระโพธิสัตว์ ซึ่งทำด้วยศิลาเป็นต้น ปัจจุบันวัตถุโบราณดังกล่าวได้นำไปประดิษฐานไว้ในวิหารเล็ก หลังมณฑปพระพุทธบาท พระเจ้าไกรสรราช ได้ครองเมืองละโว้ ประมาณปี พ.ศ. ๑๗๔๙ และได้สวรรคตในปี พ.ศ. ๑๗๖๒ รวมสิริเสวยราช ๑๓ ปี อย่างไรก็ดีเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช แห่งเมืองเสนาราชนคร หาได้เสด็จขึ้นไปครองเมืองละโว้แทนไม่ ทั้งนี้เพราะพระองค์ต้องรับภาระปกครองดูแลเมืองอโยธยา ซึ่งเป็นมรดกทางฝ่ายมเหสีอีกโสดหนึ่งด้วย อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตุว่า พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช ยังทรงเรียกอีกพระนามหนึ่งว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้ง อันพระราชเทวีมเหสีนั้นเล่าก็ทรงเป็นราชธิดาแห่งพระเจ้าหลวงผู้ครองเมืองอโยธยา ตามประวัติศาสตร์ปรากฏว่า พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราชมีบุญญาธิการมาก ชื่อเสียงเกียรติคุณเลื่องลือไปไกล ถึงกับพระเจ้ากรุงจีนได้ยกราชธิดาคือ พระนางสร้อยดอกหมาก ให้ แต่ยังไม่ทันได้เศกสมรสกัน พระนางก็ด่วนสิ้นพระชนม์เสียก่อน พระองค์จึงสร้างวัดพนัญเชิงขึ้นเป็นที่ถวายพระเพลิงศพ วัดนี้สร้างขึ้นก่อนที่พระเจ้าอู่ทองเสด็จมาสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถึง ๒๓ ปี เมืองเสนาราชนคร ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า เป็นเมืองลูกหลวงของเมืองละโว้พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช ทรงมีราชโอรส ๑ องค์ พระนามว่า พระเจ้าธรรมมิกราช สมัยนั้นเมืองละโว้กับเมืองเสนาราชสองเมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นแหล่งการค้าและการศึกษาศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียง ตามพงศาวดารโยนกยังกล่าวว่า พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนเม็งราย และพญาคำเมือง สมัยที่เป็นพระยุพราชฝ่ายเหนือเคยเสด็จลงมาศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองละโว้ พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราชขึ้นครองเมืองเสนาราชนครเมื่อ พ.ศ. ๑๗๕๔ สวรรคต พ.ศ. ๑๗๙๕ พระโอรสพระนามว่า พระเจ้าธรรมมิกราช ได้ขึ้นครองเมืองเสนาราชนครสืบต่อมา เรื่องราวจากพงศาวดารต่างๆ นี้ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกับสถานที่ตั้งของศูนย์พุทธศรัทธาในปัจจุบัน สถานที่ตั้ง บ้านคูเมือง หมู่ที่ ๑๑ ตำบลบ้านหมอ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ประวัติความเป็นมา บ้านคูเมืองมีอีกชื่อว่าเมืองขีดขิน และตำนานพระพุทธบาทเรียกเมืองนี้ว่าปรันตปราชธานี พงศาวดารเหนือ (ฉบับพระวิเชียรปรีชา (น้อย)) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "สมเด็จพระเจ้าไกรสรราช จึงสั่งให้เสนาในให้สร้างเมืองใกล้เมืองละโว้ ทาง ๑๐๐ เส้น จึงแต่งพระราชวังและคูหอรบ เสาใต้เชิงเรียงบริบูรณ์แล้ว จึงให้อำมาตย์รับเอาพระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราชกับราชเทวี ไปราชาภิเษกร่วมกัน เมืองนั้นจึงชื่อว่าเสนาราชนคร แต่นั้นมา..." พระเจ้าไกรสรราช ที่กล่าวนี้ คือ พระราชโอรสของพระเจ้าศรีธรรมปิฎก หรือพระเจ้าพรหมมหาราชแห่งนครโยนกเชียงแสน พระราชบิดาส่งพระองค์มาครองเมืองละโว้ ภายหลังปี พ.ศ. ๑๕๐๐ อันเป็นเมืองลูกหลวงทางใต้สมัยนั้น พระองค์เสกสมรสกับพระนางสุลเทวี ราชธิดาแห่งกรุงศรีสัชนาลัย ทรงมีพระโอรสพระนามว่า "พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช" ซึ่งต่อมาถูกส่งไปครองเมืองเสนาราชนครปี พ.ศ. ๑๗๕๔ มีหลักฐานยืนว่าพระเจ้าไกรสรราชครองเมืองละโว้จริง จะเห็นได้จากสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑) ได้มาสร้างลพบุรีเป็นราชธานีที่ ๒ พระองค์ทรงขนานนามพระที่นั่งองค์หนึ่งว่า "พระที่นั่งไกรสรสีหราช" ที่ว่าเมืองเสนาราชนครอยู่ห่างจากเมืองละโว้ ๑๐๐ เส้นนั้น พอเชื่อถือได้ เมื่อครั้งคณะโบราณคดีสัญจรของกรมศิลปากรมาสำรวจเส้นทางเสด็จนมัสการพระพุทธบาทและถนนฝรั่งส่องกล้อง ได้ไปชม เมืองโบราณแห่งนี้และสันนิษฐานว่าเมืองโบราณแห่งนี้เป็นเมืองเสนาราชนครตามปรากฏในพงศาวดารเหนือจริง เพราะเมืองโบราณแห่งนี้ก็อยู่ห่างจากเมืองละโว้ ๑๐๐ เส้น ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า เมืองเสนาราชนครเป็นเมืองลูกหลวงของเมืองละโว้ และเป็นเมืองท่าเรือในสมัยนั้นด้วย สมัยนั้นสองเมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นแหล่งการค้าและการศึกษาศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียง ตามพงศาวดารโยนกยังกล่าวว่าพ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนเม็งราย พญาคำเมือง สมัยที่เป็นพระยุพราชเจ้าฝ่ายเหนือ เคยเสด็จมาศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองละโว้ พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราชครองเมืองเสนาราชนครเมื่อ พ.ศ. ๑๗๕๔ สวรรคต พ.ศ. ๑๗๙๔ ทรงมีพระโอรสพระนามว่า "พระเจ้าธรรมิกราช" ได้ขึ้นครองเมืองเสนาราชนครสืบต่อมา แต่การบูรณะสร้างสรรค์มักไปปรากฏที่เมืองอโยธยาเป็นส่วนมาก ตำนานพระพุทธบาทและคำให้การขุนโขลน (ในชุมนุมพงศาวดาร ภาค ๗) กล่าวว่า "ภายหลังรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมทรงค้นพบรอยพระพุทธบาทแล้ว พระองค์ได้ทรงอุทิศที่ดินหนึ่งโยชน์ถวายเป็นพุทธกัลปนาผล บริเวณโดยรอบหนึ่งโยชน์กินเนื้อที่ถึงอำเภอบ้านหมอ อำเภอหนองโดนสมัยนี้ด้วย แล้วทรงขนานนามเป็นเมืองว่า "ปรันตปะ" หรือ "เมืองขีดขิน" ดังปรากฏใน "คำให้การขุนโขลน" ตอนหนึ่งว่า "เมืองนครขีดขิน ในพระบาลีเรียกว่า ปรันตปนครราชธานี" เหตุที่เรียกว่าเมืองขีดขินคงเป็นเพราะอิทธิพลเรื่องรามเกียรติ์ที่เล่ากันสมัยนั้นว่า เมื่อเสร็จศึกลงกาแล้วพระรามพระราชทานเมืองละโว้แก่หนุมาน พระราชทานเมืองเสนานครแก่สุครีพ ชาวบ้านจึงเข้าใจว่าเมืองเสนานครคือเมืองขีดขินในเรื่องรามเกียรติ์ ตำนานพระพุทธบาทกล่าวเท้าความถึงกรุงศรีอยุธยาตอนหนึ่งว่า "...ถึงสมเด็จพระบิดาพระนเรศ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่หงสาวดีลิ้นดำ ครั้งนั้นคนศีรษะใหญ่เท่าบาตร ครั้นกรุงศรีอยุธยาเสียแล้ว พระเจ้าหงสาวดีจึงให้กวาดเอาไพร่บ้านพลเมืองกับพระนเรศวรและสมเด็จพระพี่นางนั้นไป บ้านสัจพันธคามและเมืองสุนาปรันตปะก็สูญไปแต่ครั้งนั้น" ข้อความนี้ส่องว่าเมืองปรันตปะหรือเมืองเสนาราชนคร หรือเมืองขีดขิน ต้องร้างไปในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งแรก ลักษณะทั่วไป เป็นที่ราบที่มีคลองชลประทานหรือคลองอนุสาสนานันท์เลียบไปแนวเหนือใต้ อยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านคูเมือง บ้านคูเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมมน กว้างประมาณ ๓๖๐ เมตร ยาวประมาณ ๒ กิโลเมตร พื้นที่โดยประมาณ ๐.๒๗ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๗๐-๘๐ ไร่ ความเจริญของบ้านคูเมืองจัดอยู่ในสมัยลพบุรี(พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘) หลักฐานที่พบ ศิลารูปพระโพธิสัตว์กับรูปทวารบาลหรือเทวบาล (ปัจจุบันอยู่ที่วัดพระพุทธบาท) อันเป็นศิลปะขอมสมัยเดียวกับพระปรางค์สามยอดลพบุรี หลักฐานอีกประการหนึ่งคือกำแพงเมืองและช่องประตูเมืองด้านทิศตะวันออก เส้นทางเข้าสู่บ้านคูเมือง เริ่มจากตัวเมืองสระบุรีตามทางหลวงหมายเลข ๑ (ถนนพหลโยธิน) ไปทางเหนือประมาณ ๗ กิโลเมตรถึงทางแยกบ้านห้วยบง เลี้ยวซ้ายสู่ทางหลวง ๒๐๔๘ (ถนนสายบ้านห้วยบง-ท่าลาน) ระยะทาง ๑๕ กิโลเมตรถึงบริษัทปูนซีเมนต์ไทยท่าหลวง เลี้ยวขวาไปตามถนนเลียบคันคลองชลประทาน ๗ กิโลเมตร ถึงบริเวณที่จะเข้าที่ว่าการอำเภอบ้านหมอ เลี้ยวขวาข้ามสะพานชลประทานสู่ทางหลวง ๓๐๒๒ (ถนนพระพุทธบาท-ท่าเรือ)ประมาณ ๒ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายประมาณ ๑๕๐๐ เมตร ถึงบริเวณบ้านคูเมือง ที่มา https://board.palungjit.com https://www.prapayneethai.com/ |
ป้าทุยบ้านทุ่ง
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] บ้านฉันอยู่กลางทุ่งนา มีปู่ มีย่า มีหมา มีควาย เอิงเงย
Group Blog All Blog
Friends Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |