3 มกราคม 2022 นิสัยเดิม ไม่เคยเปลี่ยน
๓ มกราคม ๒๕๖๕ // 2022年1月3日 // January 3, 2022 ไม่ได้ อะไร ที่บอกว่าไม่ได้? ก็เรื่องนอนไม่ดึกไง 2 คืนที่ผ่านมาก็ยังคงนอนดึกอยู่ เป้าหมายของเดือนนี้ สองคืนแรก ก็ล้มเหลวซะแล้ว ไม่เป็นไร คืนนี้ ลองใหม่ อากาศช่วงนี้ จะเป็นประมาณว่า ตอนดึก ๆ ไปจนถึงตอนเช้า ๆ คือประมาณ 5 ทุ่มกว่า ๆ ไปจนถึง 6 โมงกว่า ๆ อากาศจะค่อนข้างเย็น น้ำจะเย็น แต่ฉันก็ยังอาบได้อยู่ โดยไม่ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นแต่อย่างใด แต่พอ 8-9 โมงเป็นต้นไป เรื่อยไปจนถึง 4-5 ทุ่ม อากาศจะค่อนข้างร้อน อบอ้าว แดดแรง เดือนนี้ วันที่ 16 ฉันก็ต้องไปฉีดวัคซีนโมเดอร์นาอีกแล้ว เบื่อ ไม่อยากไปเลย แต่ก็ต้องไป โดนสังคมโลกบังคับ 5555555555555555555555 เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ สังคมที่ปะปนไปด้วยผู้คนมากมาย ก็ต้องทำตามข้อกำหนดที่คนส่วนใหญ่วางเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อดทน แค่เข็มเดียวเท่านั้น 55555555555555555 ไม่บูสต์อะไรทั้งนั้น พอแล้ว ไม่ต้องมายุ่งอะไรกับฉัน!! กราบบบบบบบบบบ ทำให้เท่านี้ ยังไม่พอใจอีกเหรอคะมนุษย์? 5555555555555555 หวังว่า เข็มสอง ฉันจะไม่มีอาการข้างเคียงอะไรที่รุนแรง หรือทางที่ดี ไม่มีอาการข้างเคียงเลยจะดีกว่า 5555555555555 ขอเป็นเหมือนเข็มแรก ฉันก็จะดีใจมาก พลีสสสสสสสสส ฉันยังไม่อยากมีไข้ อ่อนเพลียจากการฉีดวัคซีน เพราะช่วงนี้ ฉันยิ่งทรุดโทรมอยู่ด้วย ง่วงนอน อ่อนเพลียเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อย่าทำให้ฉันต้องกังวล และเบื่อหน่ายตัวเอง ฉันไม่ชอบที่จะเห็นตัวเองนอนป่วย ฉันเป็นโรคจิตที่เกลียดความเจ็บป่วยยิ่งกว่าความยากจน มันน่าสมเพช ที่เห็นตัวเองอ่อนแอ ฉันไม่ชอบเลย ภาพลักษณ์ของฉันคือ คนที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง อดทนเก่งกับทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น อย่ามาทำให้ฉันเสียภาพลักษณ์ วันที่ 16 นี้ ไปคนเดียว นั่งแท็กซี่ เบื่อตรงที่ระยะทางค่อนข้างไกลนิดหน่อย แล้ว... พอไปถึงโรงพยาบาลก็ต้องเดินเยอะ ฉันจะมึน จะวูบก็เพราะแบบนี้แหละ เพราะฉันตั้งใจว่า ฉันจะไม่กินข้าวเช้า เพราะกลัวท้องเสีย ก่อนไป เหมือนเข็มแรกอีก การมีชีวิตอยู่ ก็ลำบากดีเนอะ 555555555555555555555 ตายก็สบายดี พ่อน้อย แม่อ้วน ไจแอนท์ ดูสบายและสงบดี ฉันก็เลยรู้สึกอิจฉาพวกเขาเหมือนกัน แต่ว่า ... ถ้าจะให้ฉันในตอนนี้ สบายและสงบแบบพวกเขา ฉันก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดี เพราะสงสารแมว 12 ตัวที่เลี้ยงเอาไว้ ไม่อาจละทิ้งพวกมันไปได้ ไม่อาจทำให้ตัวเองสบายและสงบ ในขณะที่พวกมันยังคงต้องอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปโดยไม่มีฉัน ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะฉันรักและสงสารพวกมัน ฉันในเวลานี้ ก็เลยต้องยอมมีชีวิตที่วุ่นวายไปก่อน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกว่าจะส่งพวกมันทั้ง 12 ตัวไปให้ถึงฝั่ง ให้ครบทุกตัว ตามอายุขัย เมื่อถึงเวลานั้น ฉันจะได้สบายและสงบสักที เปลี่ยนเรื่องบ้างดีกว่า ฉันเกิดจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2530 (ค.ศ.1987) เพราะฉะนั้นก็ เป็นระยะเวลา 34 ปีมาแล้วเนอะ ที่ฉันเกิด เติบโต ใช้ชีวิตและอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ วันนี้ ฉันก็เลยจะมาเขียนถึงนิสัยของตัวเอง นิสัยดั้งเดิม ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย รสชาติดั้งเดิม ต้นตำรับ 55555555555555555555555 34 ปีเป็นยังไง นิสัยนี้ ก็ยังคงอยู่แบบนั้น ติดตัวฉันมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยหาย นิสัยใดก็ตาม ที่ฉันเคยเป็นและหายไปแล้ว ฉันจะไม่เขียนถึง หรือนิสัยใดก็ตาม ที่ฉันเพิ่งเป็นเมื่อไม่นาน อาจเพิ่งจะแค่ 5 ปี 10 ปี ฉันก็จะไม่เขียนถึง ฉันจะเขียนถึงเฉพาะนิสัยที่ฉันเป็นมาโดยตลอด ตั้งแต่จำความได้ เป็นมา 34 ปีแล้ว และคงยากที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ มาดูกันว่า มีนิสัยและการกระทำอะไรบ้างที่ฉันเป็นมา 34 ปี 1.เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดและเงียบมาก นี่คือสัญลักษณ์ของฉันเลย 5555555555555555555555 เป็นภาพลักษณ์ที่ทุกคนจะรู้ว่า นี่คือฉัน นี่คือส้ม สุวดี ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ จนถึงขณะนี้ ก็ยังคงเป็นอยู่ เมื่อก่อน ฉันเคยโดนคนรอบข้างตำหนิว่าทำไมถึงมีนิสัยแบบนี้ ตอนนั้น ฉันเครียดมากและกล่าวโทษตัวเองว่า "นั่นสิ!! ทำไมฉันถึงไม่พูด ทำไมฉันถึงไม่ทำตัวเองให้สนุกสนาน" ฉันรู้สึกว่านิสัยนี้ เป็นปมด้อยของฉัน เพราะฉันไม่สามารถสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับคนรอบข้างได้ แต่พออายุเข้าเลข 3 ฉันทิ้งความรู้สึกกล่าวโทษตัวเองไป ฉันคิดว่า"ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย มันผิดนักเหรอที่ฉันจะเป็นแบบนี้" มันเป็นเรื่องของฉัน มันเป็นชีวิตของฉัน มันเป็นตัวตนของฉัน ฉันมีความสุขกับการที่ฉันเป็นแบบนี้ มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ โลกใบนี้ ก็มีอยู่สองด้าน มีคนพูดมาก ก็มีคนไม่พูดเลย มันก็แค่นั้น มันจะอะไรนักหนา 55555555555555555555 จะให้เหมือนกันทั้งโลก คงจะเสียงดังหนวกหู 55555555555555555 ตั้งแต่ที่คิดแบบนี้ ฉันก็เลิกกล่าวโทษตัวเองไปเลย ฉันมานั่งทบทวนดูว่า การที่เราไม่พูด นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะฉันเป็นคนที่คิดมาก ฉันกลัวว่า เมื่อพูดออกไปแล้ว มันจะดีหรือเปล่า มันจะกลายเป็นการเสียมารยาทเกินไปหรือเปล่า หรือมันจะกลายเป็นการอวดฉลาดมากเกินไปหรือเปล่า ฉันก็เลยคิดว่า การที่เราเงียบ ๆ พูดน้อย ๆ มันก็จะดีกว่า ฉันสามารถนั่งอยู่ในกลุ่มคนที่เขาพูดมากได้ โดยที่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ฉันสามารถตอบคำถามของคนเหล่านั้นได้ ถ้าหากพวกเขาถาม แต่ฉันจะไม่สามารถสร้างคำถาม เพื่อจะถามพวกเขาได้ และไม่สามารถที่จะทำบรรยากาศให้สนุกสนานได้ ฉันทำได้แค่ ถ้าใครถาม ฉันก็ตอบ ถ้าใครไม่ถาม ฉันก็เงียบ ฉันรวมกลุ่มกับพวกเขาได้ อยู่ในกลุ่มกับพวกเขาได้ ไม่อึดอัด แต่ว่า ... ฉันจะไม่พูด ถ้าพวกเขาไม่ได้ถาม แค่นั้น และแน่นอนว่า ฉันชอบคนที่ไม่ค่อยพูดและเงียบ เหมือนกันกับฉัน ฉันจะอยู่กับคนแบบนี้ได้อย่างสบายใจมากกว่าที่จะอยู่กับคนที่ช่างพูดช่างคุย หรือไม่ ก็คือคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันกับฉัน ถ้าแบบนี้ ก็คุยกันได้ทั้งวัน คุยไม่หยุดแน่นอน 2.เป็นคนที่ไม่แสดงสีหน้าและอารมณ์อะไรออกมาเลย เรียบเฉยมาก ถ้าฉันเป็นนักแสดง จะถือว่าฉันสอบตกและไร้ความสามารถ เพราะฉันไม่สามารถสื่อสารอารมณ์อะไรออกมาได้เลย โกรธ เสียใจ ผิดหวัง ดีใจ ตกใจ เจ็บปวด ร้องไห้ หัวเราะ หวาดกลัว อิจฉา สมน้ำหน้า ยินดีด้วย หรืออะไรต่าง ๆ นานา ฉันทำไม่เป็นเลย ฉันทำเป็นแค่หน้าเดียวคือ สีหน้าที่เรียบเฉย 5555555555555 อาจจะมีบ้างที่ยิ้มเล็กน้อย ทำได้แค่นี้จริง ๆ แต่ว่าเวลาดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง ดูรายการ ดูการแข่งขันกีฬา ดูคอนเสิร์ต ฉันมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งเหล่านั้นนะ 5555555555555555 แต่เรื่องราวหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ฉันจะไม่แสดงออกอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว จะไม่มีใครรู้เลยว่า ฉันกำลังรู้สึกอะไรอยู่ แม้แต่คนที่สนิทกับฉัน ก็ไม่มีใครรู้ 5555555555555555555 ด้วยเหตุนี้แหละ นิสัยนี้จึงเป็นข้อด้อยของฉัน เพราะคนอื่นจึงมักจะทำอะไรกับฉันก็ได้ หรือพูดอะไรกับฉันก็ได้ โดยคิดไปเองว่า ฉันไม่รู้สึกอะไร ฉันไม่คิดอะไร ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่ความจริงแล้ว ในใจฉัน มันรู้สึกมาก มันระเบิดไปแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าฉันควรแสดงออกมายังไงดี ฉันก็เลยต้องเก็บมันเอาไว้ 3.เป็นคนที่ช่างสังเกต ความจำดี จดจำได้แม่นยำ ฉันเป็นคนที่ชอบสังเกตและช่างจดจำ ไม่ว่าจะเป็นคนที่คุ้นเคยหรือคนแปลกหน้า ฉันก็สามารถจับพิรุธของเขาได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ยากมากที่ใครจะมาหลอกลวงฉันได้ ไม่ใช่เฉพาะกับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น สภาพแวดล้อม สถานที่ สถานการณ์ต่าง ๆ แค่เปลี่ยนแปลงไปนิดเดียว ฉันก็จะสังเกตเห็นได้ทันที จับสัญญาณความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีว่า มันไม่เหมือนเดิม หูตาจมูกของฉันนั้น ว่องไวมาก 5555555555555555555 ไม่มีทางที่ใครหรืออะไรจะมาโกหกฉันได้ ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้ว สารภาพมาเถอะ!! โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่ 4.เป็นคนที่ซื่อสัตย์และโกหกไม่เป็น นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งข้อด้อยของฉันเช่นกัน เพราะคนส่วนใหญ่ ชอบฟังเรื่องโกหก เพราะคำโกหกมันสวยงาม มันทำให้คนที่ฟังรู้สึกสบายใจ แต่สำหรับฉัน ฉันโกหกไม่เป็น ฉันซื่อสัตย์กับทุกเรื่อง ซื่อสัตย์ทั้งกับตัวเองและทั้งกับผู้อื่น ทำผิด ก็บอกว่าผิด ทำถูก ก็บอกว่าทำถูก ฉันไม่สามารถโกหกใครได้เลย ฉันเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมา แต่ไม่ใช่เป็นการพูดแบบขวานผ่าซาก ฉันมีวิธีในการพูด แต่พูดในเรื่องที่เป็นความจริงเท่านั้น ฉันไม่ชอบแต่งเรื่อง แต่งนิยาย เมื่อคุยกับฉัน จะมีแต่ความจริงเท่านั้น ถ้าอยากได้คำโกหก คุณต้องไปคุยกับคนอื่น 5.ฉันเชื่อในสิ่งที่เป็นความจริงและพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์เท่านั้น ใช่!! ฉันหมายความว่า ฉันไม่เชื่อเรื่องผี วิญญาณ สิ่งเร้นลับ รวมไปถึงความเชื่อต่าง ๆ อะไรทำนองนั้น แน่นอนว่า ถ้าเป็นความเชื่อในเรื่องที่ดีและสร้างสรรค์ ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้าความเชื่อนั้นมันเป็นเรื่องที่ดี โน้มน้าวให้คนทำดี ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ถ้าความเชื่อแบบนี้ ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นความเชื่อในเรื่องงมงาย ไร้สาระ ไม่สร้างสรรค์ ก่อให้เกิดความเสียหาย และทำให้ได้รับความเดือดร้อน ฉันจะหันหลังให้กับคนกลุ่มนี้ทันที และจะคิดในใจด้วยความสมเพชเวทนาด้วยว่า"พวกเขาเป็นอะไร" ด้วยความที่ฉันเป็นคนที่อยู่ด้วยความจริงมาตลอด ฉันเลยไม่เคยเชื่อถืออะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าอยากให้ฉันเชื่อ คุณต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ว่า สิ่งที่คุณเชื่อนั้นมันมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ ฉันไม่ใช่ประเภทที่ว่า เขาว่ากันว่ามันเป็นแบบนี้นะ แล้วเราก็ตอบไปว่า"จริงดิ!!" แล้วเชื่อคำพูดเหล่านั้นอย่างสนิทใจ ฉันไม่ใช่แบบนั้น แต่ฉันจะเป็นประเภทที่ว่า เขาว่ากันว่ามันเป็นแบบนี้นะ ฉันก็จะตอบกลับไปว่า"เหรอ" ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย หลังจากนั้น ก็หาข้อมูล หาหลักฐานมาสนับสนุนว่า สิ่งที่พวกเขากล่าวอ้างมานั้น มันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่ ฉันจะไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ โดยปราศจากการพิสูจน์ ฉันจะไม่เชื่อ เพราะคนส่วนใหญ่บอกให้เชื่อ แต่ฉันจะเชื่อ เพราะพิสูจน์แล้วว่าควรต้องเชื่อเพราะมันคือเรื่องจริง 6.อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ไม่เรื่องมาก นี่เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ฉันไม่เรื่องมากให้กับอะไรทั้งนั้น อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ของเหลือก็ได้ 55555555555555555 หมายความว่า เลือกกันไปก่อนเลย ถ้าอันไหนเหลือ ฉันเอาอันนั้นก็ได้ ฉันไม่ใช่คนที่ต้องโวยวายว่า ฉันจะเอาอันนั้น ฉันจะเอาอันนี้ ห้ามแย่ง!! ฉันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะฉันเอาอะไรก็ได้ ฉันสบายมาก ไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวาย ไม่ถือให้มันหนัก ถ้าหากมีใครหยิบของที่ฉันหมายตาเอาไว้ไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ฉันก็จะบอกว่า"ช่างมัน ไม่เป็นไร ให้เขาไปก่อน วันหลังค่อยเอาก็ได้" หรือในสถานการณ์ที่โดนแย่ง โดนแซงคิว ถ้าเป็นคนอื่นก็จะโมโห ไม่พอใจ ส่วนฉัน"เออ... ช่างแม่งเหอะ!! มันรีบ ก็ปล่อยมันไป" หรืออย่างเช่น สั่งอาหาร แล้วทำมาผิด คนอื่นก็จะไม่กิน สั่งให้ทำใหม่ ส่วนฉัน"ถ้าไม่ใช่เนื้อ กูก็กินได้ ช่างมัน!!" 55555555555555 ฉันเป็นคนที่ไม่กินเนื้อวัว เพราะมันเหนียว ย่อยยาก เพราะฉะนั้น ถ้าทำเมนูมาผิด ฉันก็กินได้ ขอแค่ไม่ใช่เนื้อวัวก็พอ 7.ขี้งอน ขี้น้อยใจ 5555555555555555555555555 แต่การแสดงออกของฉันคือ งอนเงียบ ๆ น้อยใจเงียบ ๆ ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับเป็นคนที่แสดงออกทางสีหน้าไม่ค่อยเก่ง คนอื่นก็เลยไม่รู้ว่าฉันกำลังงอนอยู่นะ ฉันกำลังไม่พอใจอยู่นะ แต่มีวิธีสังเกต คือ ปกติ ฉันก็เป็นคนที่เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้างอน ถ้าไม่พอใจ ถ้าน้อยใจ ฉันก็จะกลายเป็นเงียบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก พอถามอะไร ก็แทบจะไม่พูดเลย สมมุติเหตุการณ์นะ ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติ "ส้ม... กินข้าวยัง" คนอื่นถาม "กินแล้ว กินข้าวผัด" ฉันตอบและรอว่าจะถามอะไรอีก แต่ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ที่ฉันกำลังงอน กำลังน้อยใจอยู่ "ส้ม... กินข้าวยัง" คนอื่นถาม "กินแล้ว" ฉันตอบและรีบเดินหนี 5555555555555555555 นั่นคือคำพูดเวลาที่ฉันงอน ฉันจะพูดน้อยมากหรือแทบไม่พูดเลย และสีหน้า จากที่เรียบเฉย ก็จะกลายเป็นสีหน้าเบื่อโลกทันที ลักษณะแบบนี้จะเป็นอาการงอนของฉันแล้ว ซึ่งเป็นวิธีที่ดูยากมาก คนอื่นก็จะดูไม่ค่อยออก 55555555555555 ฉันจะเป็นคนที่ขี้งอน ขี้น้อยใจมาก เพราะด้วยความที่เราไม่พูด ไม่แสดงออกทางอารมณ์ และเป็นคนที่ง่าย ๆ ชอบพูดว่า"อะไรก็ได้" เพราะแบบนี้ ทำให้เราต้องแอบมานั่งน้อยใจอยู่คนเดียวว่า "ทำไมฉันต้องยอม ทำไมฉันไม่บอกว่าฉันต้องการอะไร ทำไมฉันต้องทำให้คนอื่นสบายใจ แต่ตัวเองกลับไม่มีความสุข" พอคิดแบบนั้น ก็เลยต้องมาแอบงอน แอบน้อยใจอยู่บ่อย ๆ แต่ก็นั่นแหละ ถึงแม้จะงอนบ่อย แต่ฉันก็งอนอยู่แค่แป๊บเดียว ไม่นานก็หาย ไม่นานก็ลืม ยังไม่ทันถึงชั่วโมง ก็ลืมแล้ว 55555555555555555555 บางทีก็ไม่ต้องมีใครมาง้อ เพราะงอนเอง ก็หายเองได้ 8.ใช้ชีวิตแบบโบราณ แต่ทัศนคติคือทันสมัย งงมั้ย? 5555555555555555555555 ฉันเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบโบราณ ไม่ทันสมัย โลเทคมาก ทุกวันนี้ ซื้อของก็จ่ายด้วยเงินสด แอพต่าง ๆ ก็ใช้แทบไม่เป็น โบราณมาก ทุกวันนี้ ใช้คอมพิวเตอร์เป็น ใช้อินเตอรเน็ตเป็น ก็บุญแล้วนะ รถไฟฟ้า ก็ไม่ค่อยได้ขึ้น ขึ้นแต่รถเมล์ รถแท็กซี่ คือทำอะไรโบราณมาก ใช้ชีวิตโบราณ ใช้ชีวิตแบบคนยุคก่อน ยุคแบบพ่อแม่บุญธรรมของฉัน 555555555555555555 อาหารที่กิน ก็กินแต่อาหารไทย ๆ อาหารของเมืองนอก ก็ไม่ค่อยกิน เช่น พิซซ่า เบอร์เกอร์ ซูชิ อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี ต่าง ๆ นานา ฉันก็ไม่ชอบกิน กินแค่คำเดียว ก็พอแล้ว ส่วนใหญ่กินแต่อาหารไทย โทรศัพท์มือถือ ใครโทรมา ก็แทบไม่รับ ไม่คุย 55555555555 ส่งข้อความมา ก็มีอ่านบ้าง ตอบบ้าง ไม่บ่อย ถามคำตอบคำ ไม่ต่างอะไรกับที่เจอกันต่อหน้า โทรศัพท์มีไว้อ่านข่าวหรือดูคลิปในยูทูป แค่นั้น 55555555555 การใช้ชีวิตของฉันจะเป็นแบบโบราณ แบบคนรุ่นเก่า เมื่อ 80 ปีที่แล้ว แต่ทัศนคติของฉันจะเป็นแบบทันสมัย แบบคนรุ่นใหม่ ใหม่มาก ๆ คือมองโลกในความเป็นจริง มองโลกในยุคปัจจุบัน พร้อมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง มองข้ามเรื่องของอายุ ฉันไม่สนใจว่า อายุมากกว่าหรือน้อยกว่า เพราะฉันสนใจที่ความคิดของคน ๆ นั้นมากกว่า ฉันรับฟังทุกความคิดเห็น ทุกข้อเสนอ ไม่ว่าจะมาจากคนที่อายุมากกว่าหรือน้อยกว่าฉัน ถ้าหากว่าข้อเสนอนั้น มันจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ ฉันก็รับฟังทุกคน ฉันไม่ดูถูกความคิดเห็นของใคร ถ้าหากว่าความคิดเห็นนั้นอยู่บนพื้นฐานที่เป็นความจริงและสามารถทำได้จริง หรือในเรื่องของการชื่นชอบนักร้องไอดอล บอยแบนด์ ถ้าเป็นคนที่ไม่ทันสมัย หัวโบราณ ก็จะมีคำพูดแซวตลอดว่า "ว๊าย!! ผู้ชายอะไรแต่งหน้าแต่งตัวอย่างกับตุ๊ด เธอชอบตุ๊ดเหรอจ๊ะ?" ส่วนฉัน ฉันไม่คิดแบบนั้น ฉันคิดแบบทันสมัยคือ ผู้ชายก็สามารถแต่งหน้าแต่งตัวได้ รักสวยรักงามได้ ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิง และถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ว่า เขาอาจจะชอบผู้ชายด้วยกันเองก็จริง แต่ฉันกลับชื่นชมพวกเขา และมองเห็นต่างจากคนที่มีความคิดโบราณ "เพราะถึงจะเป็นตุ๊ด ก็เป็นตุ๊ดที่ดีและมีค่า สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ ดีกว่าเป็นผู้ชายที่ทำตัวว่าข้าคือชายแท้ แต่ไร้ค่าและไม่มีประโยชน์" หรือความคิดในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่เป็นคู่รักกัน คนที่มีความคิดโบราณจะบอกว่า ผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ แต่ฉันกลับมองเห็นต่าง เพราะไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เพราะเป็นการมีเพศสัมพันธ์แบบยินยอมและสมัครใจของคนทั้งคู่ แล้วจะมาบอกว่าผู้หญิงเสียเปรียบได้อย่างไร ผู้หญิงจะมีผัวกี่คนก็ได้ ถ้าเธออยากจะมี และถ้าไม่ผิดศีลธรรม ชีวิตนี้ เธอจะมีผัวกี่คนก็เรื่องของเธอ คบแล้วเลิก แล้วมีใหม่ จะกี่ครั้ง ก็เรื่องของเธอ ถ้ามันไม่ผิดศีลธรรม ก็สามารถทำได้ ไม่ต่างจากผู้ชายที่ชีวิตนี้มีเมียเป็นสิบ นี่ก็เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนิสัยข้อนี้ของฉัน ใช้ชีวิตแบบโบราณ แต่ทัศนคติคือทันสมัย 55555555555555 9.อดทนเก่ง ฉันเป็นคนที่อดทนเก่งมาก อดทนให้กับทุก ๆ เรื่อง ยากมากที่ฉันจะปริปากบอกออกมาว่า"ฉันไม่ไหวแล้ว" อดทนให้กับความเจ็บป่วยในร่างกาย อดทนให้กับความอยากความต้องการ อดทนให้กับการด่าทอหรือการดูถูกของผู้อื่น อดทนให้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นใจ อดทนให้กับสภาพอากาศต่าง ๆ อดทนให้กับความยากลำบากที่ต้องเจอ อดทนให้กับความผิดหวังหรือความเสียใจ อดทนกับทุก ๆ เรื่อง ฉันแทบจะไม่เคยพูดคำว่า"ไม่ไหวแล้ว" เพราะทุกอย่างคือ"ฉันยังไหวอยู่" ฉันอดทนเก่งเสมอ จนคนรอบข้างบอกว่า"พอเถอะ" 10.ขี้เบื่อ ฉันจะเป็นคนที่ขี้เบื่อได้ง่ายมาก เวลาที่สนใจอะไร ก็จะสนใจแบบบ้าคลั่งเลย หมกมุ่นอยู่แต่กับสิ่งนั้นทั้งวันทั้งคืน โดยที่ไม่สนใจสิ่งอื่นเลย แต่พอสนใจไปสักพัก ก็จะเกิดอาการเบื่อและทิ้งสิ่งนั้นไปทันที คือวางสิ่งนั้นไว้เลย แล้วไปหาสิ่งอื่นที่น่าสนใจทำต่อ แล้วเดี๋ยวพอสักพัก ก็จะกลับมาหาสิ่งเดิมที่ทิ้งไปแล้วอีกครั้ง ฉันจะเป็นแบบนี้ตลอด 5555555555555555555 พอสนใจอะไร ก็จะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น แต่พอไม่สนใจแล้ว ก็เบื่อทันที วางมันไว้เลย แล้วเดี๋ยวพออารมณ์ดี ๆ จะกลับมาใหม่ ยากมากที่ฉันจะอยู่กับอะไรนาน ๆ สนใจสิ่งนั้นไปนาน ๆ เพราะฉันเป็นคนขี้เบื่อมาก มันไม่ใช่ว่า หมดความน่าสนใจแล้วเหรอ ถึงได้วางทิ้งไว้ ไม่ใช่แบบนั้น ยังมีความน่าสนใจอยู่ เพียงแต่ว่า ฉันไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรนาน ๆ ได้ เพราะฉันเป็นคนที่เบื่อง่าย ฉันต้องออกไปก่อน ทิ้งไปก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ เพราะถ้าฉันยังฝืนทน จะกลายเป็นว่าฉันจะเบื่อสิ่งนั้นไปถาวร และยากที่จะกลับไปสนใจอีกครั้ง ในความเป็นคนขี้เบื่อของฉันนี้ สามารถใช้ได้ทั้งกับคนและสิ่งของ 11.ใจดี ใจอ่อน และขี้สงสารจนเกินเหตุ นี่เป็นข้อด้อยของฉันอีกหนึ่งข้อ คนอื่นจะอาศัยช่องโหว่ของฉันตรงนี้แหละ เพื่อเอาเปรียบฉัน ด้วยความที่ฉันใจดี ใจอ่อน และขี้สงสารจนเกินเหตุ เพียงแค่คน ๆ นั้นเล่าเรื่องราวความทุกข์ยาก ไม่สบายกายหรือใจมา แค่นั้นแหละ ฉันพร้อมจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทันที ทั้งที่ตัวเองก็ไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะช่วยเหลือใครได้ แต่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ ต้องช่วยเหลือเสมอ 5555555555555 ช่วยได้เท่าไหร่ก็ต้องช่วย มีมากก็ช่วยมาก มีน้อยก็ช่วยน้อย หรือเพียงแค่คน ๆ นั้น แสดงท่าทางว่าอ่อนแอ บอบช้ำ ร้องไห้ออกมา ฉันก็พร้อมที่จะเสียสละสิ่งต่าง ๆ ที่เขาอยากจะได้ ให้กับเขาคนนั้นทันที ฉันพร้อมจะทำตามสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่าง ถ้าช่วยทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นมาบ้าง หรือทำให้เขาหยุดร้องไห้ได้บ้าง ฉันก็พร้อมจะทำ ดูเหมือนคนโง่เลยเนอะ 555555555555555555 แต่แน่นอนว่า พวกเขาเหล่านั้นจะต้องน่าสงสารจริง ๆ แล้วฉันพิสูจน์แล้วว่าที่เขาพูดออกมานั้นคือเรื่องจริง ถ้าโกหก ฉันก็ไม่ช่วย ไม่เสียสละให้อย่างเด็ดขาด!! หลายครั้ง ฉันก็สงสัยตัวเองว่า ทำไมฉันต้องสงสารพวกเขาด้วย ในเมื่อพวกเขาไม่เคยสงสารฉัน และในเมื่อฉันเองก็ยังผ่านพ้นความยากลำบากนั้นมาได้ด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เมื่อถูกขอให้ช่วยเหลือ ทำไมฉันถึงไม่เรียนรู้ที่จะปฏิเสธพวกเขาไป หลายครั้งที่ช่วยเหลือจนตัวเองต้องเดือดร้อน และความขี้สงสารนี้ ไม่ใช่มีเพียงต่อมนุษย์เท่านั้น ฉันเผื่อแผ่ไปยังสัตว์ต่าง ๆ ในโลกนี้อีกด้วย ฉันเคยติสท์แตก ถึงกับไม่กินเนื้อสัตว์ติดกันไปหลายเดือน สลับ ๆ กันไป ไม่กินหลายเดือน แล้วก็กลับมากินอีกหนึ่งเดือน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็น กินให้น้อยลงแทน 12.เป็นคนที่เครียดง่ายมาก แต่ก็แปลกที่มีวิธีจัดการกับความเครียดได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เป็นคนที่คิดมากกับทุกเรื่อง ก็เลยส่งผลให้ฉันเป็นคนที่เครียดง่ายมาก แต่ก็แปลก ที่ฉันมีวิธีจัดการกับความเครียดของตัวเองได้อย่างรวดเร็วมาก เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว บอกกับตัวเองว่า"เครียดจังเลย" แต่พอผ่านมาหนึ่งชั่วโมง ก็หายเครียดแล้ว 55555555555555 ฉันไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่กับความเครียดได้นาน ๆ เลย ฉันต้องมีวิธีที่จะทำให้ตัวเองผ่อนคลายจากความตึงเครียดได้ทุกครั้ง ถึงแม้จะมีความเครียด แต่ฉันก็ไม่เคยคิดว่าโลกของฉันมันจะมีแต่ด้านมืด ฉันยังเดินหาด้านสว่างเจอทุกครั้ง แล้วเจอเร็วด้วย เพราะฉะนั้น ถึงฉันจะบอกว่าเครียด แต่แป๊บเดียวก็หาย แป๊บเดียวก็ลืมแล้ว ฉันรักตัวเองมาก รักร่างกายของตัวเองมาก ฉันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายตัวเองเลยสักครั้ง ฉันรักร่างกายของตัวเอง ร่างกายที่พ่อกับแม่ของฉันทะนุถนอมดูแลมาอย่างดี เมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันรักร่างกายของฉัน พอ ๆ กับที่บรรดาแมวของฉันที่รักร่างกายฉัน ถ้าไม่มีร่างกายฉัน แมวของฉัน 12 ตัวจะอยู่บนโลกนี้กันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฉันจึงรักร่างกายของฉันมาก เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเครียดมากระทบใจ ฉันรู้ว่า ในขณะนั้นฉันกำลังเครียดอยู่ แต่ฉันก็เรียนรู้วิธีการที่จะจัดการกับความเครียดนั้นได้อย่างรวดเร็ว ฉันรีบเดินหาแสงสว่าง ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความมืดได้นาน ฉันเองก็ทึ่งกับความสามารถของตัวเองในด้านนี้มาก พอ!! เขียนมาเยอะแล้ว วันนี้ นิสัย 12 ข้อที่เป็นมานาน เป็นมาตั้งแต่เกิด 34 ปีแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนยาก ไม่คิดจะเปลี่ยนด้วย ก็มันเป็นไปแล้ว มันเปลี่ยนยากแล้ว ตอนนี้ คิดได้แค่นี้ นิสัย 12 ข้อ ถ้าวันหลังคิดได้อีก ก็จะมาเขียนบอกอีกแล้วกัน ไปนะ วันหลังมาเขียนใหม่ ปวดตาแล้ว
Facebook Twitter