ติดต่อพูดคุยกันได้ในเฟซบุ๊คเพจนะคะ
https://www.facebook.com/srisurangwriter
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
27 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
เล่ห์ร้ายนิยายรัก...ตัวอย่างเนื้อเรื่อง ตอนที่ 1




คงจะลงตัวอย่างให้อ่านกันสองตอนนะคะ
หนังสือวางแผงปลายมิถุนายนนี้ค่ะ ^ ^





เล่ห์ร้ายนิยายรัก

บทที่ 1 เริ่มนิยายรัก




วันนี้ฉันคงต้องเขียนนิยายสักเรื่องแล้วละ ให้เป็นนิยายรักหวานซาบซึ้งตรึงจิตจนใจแทบละลาย ตื่นเต้นผจญภัยเล็กน้อย ปรุงปนขำขันอีกนิดหน่อยให้รสชาติอร่อยกลมกล่อม ดีไหมคะ

เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวในชีวิตของฉันเอง

ก็แหม นิยายทั่วๆ ไปน่ะ เค้าก็ต้องจำลองมาจากชีวิตคนจริงๆ บางส่วน ไม่ส่วนมากก็ส่วนน้อยไม่ใช่หรือคะ แล้วชีวิตของฉันเองเนี่ย แม้แต่ตัวเองยังแทบไม่เชื่อเลยว่าไม่ใช่นิยาย บางครั้งทำเอาใจเต้นตึกตัก หวาดเสียวจนไม่กล้าลืมตา(มองพระเอก) ได้แต่ก้มหน้าก้มตากวาดพื้นต่อไป บางครั้งก็โชคดีเกินไปจนหวั่นไหวมึนงง เหมือนซินเดอเรลล่าหลงอยู่กลางคฤหาสน์หลังงาม ท่ามกลางเจ้าชายกับนางอิจฉา

คนเราลึกๆ แล้วย่อมอยากรู้เรื่องราวชีวิตของคนอื่นกันอยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะค่ะ อย่า...อย่า อย่าปฏิเสธเสียให้ยากว่าคุณไม่เค้ยไม่เคยซื้อหนังสือซุบซิบดารามาอ่านดูบ้าง อย่างน้อยก็สักฉบับหนึ่ง

ยิ่งรู้ละเอียด รู้ลึก รู้เบื้องหลังของความรักของใครได้ทุกแง่ทุกมุม ทุกซอกหัวใจ ทุกความลับดำมืดมิดสะเทือนวงการ หรืองานมงคลอันเปี่ยมสุขสว่างไสว ยิ่งถูกใจกันนัก ดังนั้นชีวิตจริงๆ ไม่อิงนิยายของฉันนี่ก็ควรจะน่าสนใจดีเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ

รับรองฉันจะเขียนรายละเอียดทุกๆ อย่างรวมถึงความรู้สึกทุกห้วงในห้องหัวใจของนางเอกให้อ่านกันเลยค่ะ แล้วคุณๆ ผู้อ่านลองตัดสินใจดูนะคะ ว่าชีวิตฉันนี่มันเหมือนดั่งนิยายบ้างรึเปล่า คุณอาจตกใจกับคำตอบที่ได้ตอนท้ายเล่มก็ได้ ฮ่าๆๆ

ดังนั้น ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงที่ได้อุปมาสาธกยกตัวอย่างมาเบื้องต้น ฉันจึงจะเขียนนิยายเรื่องนี้ไว้เป็นดั่งบันทึกแห่งรักของตนเอง เก็บไว้หวนรำลึกความหวานชื่นและขื่นขมที่เคยได้พบพานผ่านมาในช่วงเวลาของชีวิตอันพาฝันช่วงหนึ่ง และอาจให้ความบันเทิงแก่ใครๆ ที่เผอิญเผลอมาอ่านเข้าด้วย

เราจะเริ่มกันที่ตรงไหนดี อืม...

เริ่มที่ตรงนี้เลยก็แล้วกัน เริ่มจากสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ตรงหน้าฉัน ที่มองเห็นแล้วก็ต้องกะพริบตาถี่ๆ เพ่งดูให้แน่อีกทีว่าไม่ได้ตาฝาดไป


พอร์ช 911 คาเรร่าสีเงินเงาวับเหมือนกระจกคันนั้นเคลื่อนเข้ามาตามถนนปูนแคบๆ ในซอยเล็กที่มีความกว้างแทบไม่พอให้จักรยานยนต์อีกคันหนึ่งแล่นสวนออกไปได้

รถสปอร์ตคันหรูซึ่งเป็นนวัตกรรมยานยนต์ที่ออกแบบและบรรจงสร้างอย่างประณีต ให้ความรู้สึกถึงขุมพลังในทุกการขับเคลื่อนที่ชาตินี้ทั้งชาติฉันก็คงหาเงินดาวน์ไม่ได้คันนั้นแล่นมาหยุดตรงหน้าประตูบ้านฉันพอดี

หลงบุหลัน...ซึ่งก็คือฉัน...เอ...ฉันยังไม่ได้บอกคุณหรอกหรือคะว่าฉันชื่อหลงบุหลัน แหะๆ ไม่เป็นไร บอกตอนนี้เลยก็แล้วกันนะคะ แม่ตั้งชื่อให้ฉันว่าอย่างนี้ ทำนองว่ามีความรักความหลังอะไรกับพระจันทร์ซักอย่าง แต่ไม่ยอมบอกฉันอย่างละเอียดหรอกค่ะ แม่มักเรียกฉันยามเกเรว่า ยายลูกหลง ถ้ายามที่ฉันเป็นเด็กดี ซึ่งก็นานมากแล้ว แม่จะเรียกฉันว่า เดือน

ฟังดูเป็นนางเอกนิยายสมัยก่อนดีไหมล่ะคะ แต่เผอิญว่าฉันมักเป็นเด็กเกเรมากกว่า ชื่อเล่นว่าเดือนก็เลยแทบไม่มีใครเคยเรียก และกลายเป็นยายหลงมาจนถึงบัดนี้

ฉันอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็ก ในซอยจิ๋วที่ว่านี้เองล่ะค่ะ กำลังอ่านหนังสือนิยายรักเพลินๆ อยู่เชียว ก็ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน

ความที่บ้านมันก็แค้บ..แคบ และนิยามของคำว่าสวนหน้าบ้านก็คือแถบหญ้ากับกอไม้รกกว้างประมาณหนึ่งฟุตที่คั่นระหว่างระเบียงกับรั้วบ้านอยู่ ข้างประตูมีกอยี่โถดอกสีแดงสดสวยสะพรั่งอยู่กอหนึ่งพอแก้ความขายหน้า

ฉันลงจากเปลญวนที่กำลังนอนเล่นอย่างสบายอารมณ์ มองดูพาหนะคันงามด้วยความสงสัย

ชายหนุ่มผู้หนึ่งเหวี่ยงช่วงขายาวเพรียวในกางเกงผ้าไหมอิตาเลี่ยนก้าวออกมาจากรถ เมื่อเขายืดตัวขึ้นเต็มความสูงประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตร แล้วกวาดสายตาใต้แว่นกันแดดสีเข้มสำรวจไปรอบบริเวณจนกระทั่งมาหยุดลงที่ฉัน หัวใจฉันก็แทบจะหยุดเต้น

ต้องเป็นเขาแน่ๆ จะเป็นใครอื่นไปได้อย่างไร คนที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะไปเพียงแค่ได้เห็น รูปร่างสูงเพรียวในชุดสูทตัดเย็บพอดีตัว แนบไปกับแผ่นอกผึ่งผาย เอวสอบเพรียว ขายาวทรงพลัง...เอิ่ม...สำนวนบรรยายแบบนี้เริ่มจะคุ้นๆ มั่งมั้ยคะ เลียนแบบมาจากเจ้าแม่นิยายน้ำเพาะยุงคนโปรดของฉันมาน่ะค่ะ ก็แหม ฉันไม่รู้จะบรรยายชายหนุ่มที่หล่อแบบสุดใจยังไงให้คุณเห็นภาพ

เอาเป็นว่า รัศมีแห่งพลังอำนาจผสานกับความงามสง่ารวมกันออกมาเป็นเขาคนนี้ก็แล้วกันนะคะ

พอเขาเห็นฉันชัด เท้าในรองเท้าหนังแก้วสีกรมท่าเกือบดำ(สีเดียวกับกางเกงสูท) ก็พาเขาก้าวตรงดิ่งเข้ามาหาฉันอย่างมุ่งมั่น ราวกับตำรวจเห็นผู้ร้ายใจทมิฬ ทำเอาฉันถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจด้วยความตื่นตระหนก

เขาเกี่ยวแว่นกันแดดออกจากใบหน้าด้วยนิ้วเรียว ก่อนจะพับและสอดมันไว้ในกระเป๋าเสื้อ เผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ล้อมด้วยขนตาสีดำสนิท แดดบ่ายที่เต้นระยิบอยู่ในชั้นบรรยากาศสะท้อนแสงกับแก้วตาทั้งคู่ให้เป็นประกายคมเหมือนกลั่นแกล้ง

“คุณโมกข์”

ฉันได้แต่ตะลึงมองใบหน้าปานสลักเสลา คิ้วเข้ม จมูกคม คางเขียวครึ้มอย่างตกตะลึงต้องมนต์เหมือนเช่นเมื่อครั้งสุดท้ายที่พบกัน จนกระทั่งริมฝีปากหยักของเขาบิดเป็นรอยยิ้มหยัน

“หลงบุหลัน ในที่สุดผมก็หาคุณพบจนได้”

OMG. Omigosh! พระเจ้าช่วยลูกหมูด้วย

เขามาตามหาฉันทำไม จำได้ว่าเมื่อตอนที่ลาออกอย่างกะทันหันนั่น ฉันไม่ได้ขโมยอะไรติดกระเป๋ามาเลยสักอย่างเดียวนี่นา

ป่าโมกข์เป็นเจ้านายเก่าของฉันเองค่ะ เขาเป็นเจ้าของบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ที่มีตึกที่ทำงานในย่านธุรกิจใจกลางเมืองสูงหลายสิบชั้น และอย่าเข้าใจผิดไปว่า ฉันเคยเป็นเลขา หรือผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงที่เคยคุ้นในการทำงานด้วยกันมาอะไรอย่างนั้น...ไม่ใช่เลย

เขาน่ะอยู่ชั้นผู้บริหารระดับสูง ขณะที่ฉันเคยเข้าไปสมัครทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดและเสริฟน้ำลูกค้าอยู่พักหนึ่งตอนถังแตก และเคยพบกับเขาแค่ผ่านกันประมาณสองแวบเท่านั้นเอง

ฉันตกตะลึงอึ้งอั้น หรือจะเป็นเพราะว่าฉันเคยแอบกินกาแฟกระป๋องในตู้เย็นในชั้นบริหารที่หาเจ้าของไม่ได้ไปกระป๋องหนึ่ง และกาแฟเจ้ากรรมนั้นเป็นของเขา ต้องไม่ใช่แน่ๆ คุณป่าโมกข์ผู้สูงส่งย่อมจะไม่เดินทางมาด้วยเหตุผลเล็กน้อยเพียงเท่านี้

คุณอาจคิดว่าฉันจะแทบเป็นลมด้วยความดีใจที่มีราชรถพอร์ชมาเกยหน้าบ้าน แต่ความจริงนั้นฉันกำลังเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัวราวกับกำลังฝันร้าย จิตใจตื่นเตลิดค้นหาความผิดในอดีตก่อนเก่าอันยาวนานขึ้นมาทบทวนดู ว่าลูกหมูนี้ได้ทำผิดบาปอะไรไว้บ้างหนอ

“คุณจะตามหาฉันไปทำไม”

ในที่สุดเมื่อคิดอะไรไม่ออก ฉันก็ถามออกไปด้วยเสียงอ่อนเบา พยายามยึดศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าของบ้านหลังน้อย เอ๊ย ผู้เช่าบ้านหลังน้อยเอาไว้ ยืดตัวเต็มความสูงร้อยหกสิบเจ็ดเซ็นขึ้นอย่างฝืนๆ (ฉันก็สูงเหมือนกันนะ ถึงแม้จะต้องเงยหน้าอีกนิดหน่อย) เขาเข้ามาในถิ่นฉัน ดังนั้น ฉันไม่มีอะไรต้องกลัว จริงมั้ย

ความคิดฉันเริ่มวกวนเมื่อสบดวงตาเข้มข้นที่จ้องมาเหมือนจะกล่าวหาอะไรสักอย่าง

เขาทำหน้าไม่อยากเชื่อกับคำถามของฉัน แล้วละสายตาไปมองบ้าน


ฉันเห็นเขากวาดสายตามองดูสวนโทรมๆ ล้อมร้อบบ้านไม้สองชั้น ฝากระดานเก่าง่อนแง่น หลังคาสังกะสีแผ่นสีเขียวแบบเดียวกับบ้านหลังอื่นในย่านชุมชนกึ่งแออัดแห่งนี้แล้วก็พอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้อึ้งไปไม่ตอบคำถาม

สุดท้ายเขาลากสายตาจากเสาค้ำระเบียงที่มีตะปูตอกแขวนปฏิทินกระดาษ ผ่านเปลญวนที่ทำจากผ้าขาวม้าผูกไว้กับเสาระเบียง มาสำรวจฉันขึ้นๆ ลงๆ ราวกับกำลังมองสิ่งมหัศจรรย์สิ่งที่แปดของโลกยุคใหม่ พอจะเดาได้หรอกว่าพนักงานทำความสะอาดบ้านเขาคงดูดีกว่าฉันในตอนนี้ ซึ่งอยู่ในชุดกางเกงยีนส์ตัดขาด้ายห้อยรุ่งริ่ง เสื้อยืดเก่าเปื่อยสีม่วงอมน้ำตาลเหมือนสีผ้าขี้ริ้ว ผมซอยสั้นยุ่งเหยิงจากการนอนชี้ไปคนละทิศละทาง รองเท้าแตะยางที่เก่าจนงอนเป็นเรือถอดทิ้งกระจายไม่เข้าคู่อยู่บนพื้น

ฉันขยับตัวอย่างไม่สบายใจนิดหน่อย รู้สึกว่าเสื้อยืดเก่าจนเนื้อนุ่มบางตัวนี้มันดูเหมือนจะแนบชิดให้เห็นสัดส่วนและอวดผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนของฉันมากไปสักเล็กน้อย ก็ฉันกำลังอยู่บ้านนี่นา และถึงเสื้อฉันจะเก่าแต่ก็ซักสะอาดหอมกรุ่น คุณแม่บ้านทั่วไทยไม่อาจตำหนิได้นะคะ

เมื่อตรวจตราด้วยสายตาจนพอใจแล้ว ริมฝีปากหยักของเขาก็เม้มจนเป็นเส้นตรง ไม่แน่ใจว่าฉันได้เห็นแววสมเพชเวทนาผ่านดวงตาเขาวูบหนึ่งหรือไม่ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรเจ้าสิ่งนั้นก็ผ่านไปเพียงแวบเดียว แล้วสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาปนเย้ยหยันก็กลับมาใหม่

“จะไม่ให้ผมตามหาคุณได้ยังไง เด็กผู้หญิงตัวคนเดียว เรียนยังไม่ทันจบก็หนีออกจากบ้าน ขโมยเงินผู้ปกครองแล้วหายเข้ากลีบเมฆ แถมยังส่งจดหมายมาบอกว่าอดข้าวอดน้ำเพื่อเอาเงินไปซื้อกระดาษมาเขียนนิยายประโลมโลกขาย” เขาสาธยายอย่างรังเกียจ “นี่ถ้าผมรู้ตั้งแต่ตอนที่คุณกวาดพื้นบริษัทอยู่ว่าคุณเป็นใครละก็...”

เอ่อ...ฉันยังไม่ได้บอกคุณใช่ไหมคะ ว่านอกจากจะเคยเป็นเจ้านายแบบผ่านกันไปมาสักสองแวบในบริษัทยักษ์ใหญ่นั่นแล้ว ป่าโมกข์ยังเป็น...เอิ่ม...ญาติห่างๆ นอกสายเลือดกับฉันด้วย

เขาเป็นบุตรชายเลี้ยงของคุณยายน้อยของฉันเอง

อย่าเพิ่งงงค่ะ คือว่า คุณตาแท้ๆ ของฉันมีน้องสาว ก็คือคุณยายน้อย แล้วคุณยายแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีลูกติดมาด้วยก็คือเขา

เราทั้งสองครอบครัวเคยอยู่บ้านติดกันเมื่อเขาและฉันยังเล็ก ฉันจำอะไรไม่ได้มากไปกว่าชื่อเขา แม้แต่หน้าก็จำไม่ได้ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่เมืองนอกพร้อมกับคุณยายน้อยและครอบครัว ตอนนั้นฉันคงอายุสักสี่ขวบได้ ยี่สิบปีผ่านไปหลังจากนั้น ฉันได้ไปสมัครเป็นแม่บ้านในตึกบริษัทของเขา

เขาก็รู้จักฉันอย่างห่างเหินเหมือนกัน ประมาณว่ารู้จักชื่อเสียงเรียงนามและหน้าตา(ตอนเด็ก)พอไม่ให้ลืมเท่านั้นเอง

“พอฉันรู้ตัวว่ากำลังทำงานให้กับคุณ ฉันถึงต้องรีบลาออก ไม่ใช่เพราะฉันอับอายที่ทำงานสุจริตนะคะ ฉันกลัวว่าคุณจะอายขายหน้าพนักงาน ถ้าใครเกิดรู้ว่าฉันเป็น...คนรู้จักกับคุณขึ้นมาน่ะสิ”

ฉันอุตส่าห์นึกถึงใจเขา ยอมเสียสละหางานใหม่ทำ พอดีได้งานล้างจานในร้านอาหารใกล้บ้านด้วย

“ไม่เห็นจะต้องกลัว ผมไม่อายเลย ไม่เห็นมีอะไรต้องอายด้วย คุณต่างหากควรจะมาบอกผมว่าเราเป็นญาติกัน แนะนำตัวเองทันทีที่รู้ไม่ใช่หนีหน้าแล้วลาออกไปเลย” ชายหนุ่มตำหนิ “ทั้งๆ ที่ผมหาตัวคุณอยู่”

“ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าคุณหาตัวฉันอยู่” ฉันว่า “ก็เราไม่ได้สนิท ไม่ได้คุ้นเคยกันเลย”

“นี่คงเป็นเหตุผลแก้ตัวที่คุณหนีหน้าญาติของตัวเองใช่ไหม ถ้าคุณไม่กลัวใครตามตัวพบ คุณจะหลบหน้าผมทำไมครับ”

ฉันชักหงุดหงิด คนอะไรมาถึงก็ตั้งหน้าตั้งตาจะต่อว่ากัน “ฉัน...” ฉันตอบไม่ถูก เพราะฉันเองก็กึ่งหลบหน้าเขาจริงๆ ด้วยน่ะซี

คำพูดต่อมาของเขายิ่งทำให้ฉันเสียใจว่าไม่น่าหวังดีลาออกเพราะคิดถึงหน้าเขาเลยสักนิด

“คุณไม่เคยนึกเลยใช่ไหมว่าคุณตาของคุณจะเป็นห่วงขนาดไหน ไหนจะคุณป้าคุณอีก” เขากล่าวหาเสียงห้าว “พอผมได้รู้ว่าคุณอยู่ที่นี่น่ะ ผมถึงต้องมาดูเองให้เห็นกับตาว่าน่าจะเขย่าคุณให้หัวสั่นหัวคลอนเผื่อจะมีสติสำนึกขึ้นมาบ้างรึเปล่าน่ะสิ”

ฉันรู้สึกได้เลยว่าเลือดเหือดหายไปจากใบหน้า ก่อนความโกรธจะพุ่งจี๊ด

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดจากับฉันอย่างงี้!” ฉันร้อง อับอายที่คุณป้า(แม่มด)ผู้ปกครอง(เก่า)ของฉันเอาเรื่องบ้าๆ ที่เป็นความจริงไม่หมดนี้ไปเที่ยวโพนทะนาบอกใครๆ ไปทั่ว แล้วยังโกรธที่เขา ซึ่งนับเป็นคนอื่น มาถืออำนาจบาตรใหญ่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉัน “คุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยแท้ๆ”

ฉันยังเรียนไม่จบก็จริง แต่เหลือเทอมสุดท้ายอีกแค่สามวิชาเท่านั้นฉันก็จะได้รับปริญญาสาขานิเทศศาสตร์จากการเรียนทางไกลที่พยายามมาตั้งนานสำเร็จแล้ว คุณป้าใจร้ายไม่รู้เรื่องนี้ เห็นทีคุณตาก็คงไม่ได้บอกเขาให้เข้าใจ

คุณป้าใจร้ายของฉันชื่อผ่องพรรณ ตั้งแต่พ่อแม่ของฉันเสียไปต้องย้ายไปอยู่กับป้า ป้าก็ใช้ฉันทำงานบ้านสารพัด แถมเกณฑ์แรงงานไปช่วยทำขนมขายเช้ายันค่ำยิ่งกว่า SME นรก จนฉันต้องอดหลับอดนอน ไปโรงเรียนไม่ทันเพื่อน สอบม.ปลายผ่านมาได้อย่างทุลักทุเล หลังจากนั้นยังกีดกันไม่ให้อ่านหนังสือทุกประเภทที่ฉันรัก

ฉันทนคุณป้าแม่มดอีกต่อไปไม่ไหว ในเมื่อคุณตาล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์และต้องย้ายไปอยู่ในความดูแลของคุณน้าที่แสนดีอีกคน ห่างไกลไปอีกจังหวัดหนึ่ง บ้านเดิมของคุณตาซึ่งถูกป้าใจร้ายเข้าครอบครองก็กลายเป็นนรกบนดินสำหรับฉัน ซึ่งยังอยู่ในความอุปการะดูแลของเธอ

ฉันตัดสินใจไม่ทนเป็นซินเดอเรลล่าอีกต่อไป เกรงว่ากว่าเจ้าชายจะจัดงานเต้นรำ แขนฉันอาจมีกล้ามโตเพราะกวนขนมทองเอกมากเกินไปไม่เรียวสวยอย่างนี้อีกต่อไปแล้วก็ได้

ในวันที่คุณป้าลำเลิกบุญคุณว่าเหนื่อยยากเลี้ยงฉันมา (ทั้งที่ตอนที่แม่จากไปฉันก็อายุสิบสอง ไม่ต้องให้คุณป้าเหนื่อยยากแล้ว) เสียเงินเสียทองตั้งเท่าไหร่ (ทั้งที่ฉันรู้ว่าทุกบาททุกสตางค์คุณตาเป็นคนออกเงิน โดยจ่ายจากบัญชีที่พ่อกับแม่เหลือไว้ให้ฉัน) แล้วฉันยังขี้เกียจตัวเป็นขน ฯลฯ (ทั้งที่ฉันช่วยทำขนมขายอยู่ทุกวัน วันละหลายชั่วโมง) ฉันก็สุดจะทนอยู่ต่อไป

ฉันหนีออกจากบ้านมาเผชิญโชคตามลำพัง หยิบสร้อยแหวนในกล่องที่เป็นของแม่ และเงินค่าขนมในกระปุกที่คุณตาให้ฉันมา ไม่ได้ขโมยของใครสักหน่อย ยายป้าใจร้ายหาว่าฉันขโมยเงิน ไม่อยากจะเชื่อเลย

ป้าผ่องพรรณต่างหาก ที่เม้มเงินค่าขนมที่คุณตาให้ฉันไปตลอดเวลา คุณตาให้ฉันไปโรงเรียนวันละห้าสิบ แต่ฉันได้แค่วันละสามสิบเท่านั้น (ถึงอย่างนั้นก็เก็บไว้วันละห้าบาทสิบบาทได้จนเต็มกระปุกล่ะน่า)

ฉันได้อาศัยเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ของแม่เป็นทุนรอนเพื่อเช่าบ้าน และหางานทำ เริ่มจากขายของในห้างสรรพสินค้า และสมัครเรียนทางไกลไปพร้อมๆ กัน

ตอนนี้ฉันอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างดีมาหกปีแล้ว ตอนช่วงเปลี่ยนงานก็ทำงานสุจริตทุกอย่างที่หาได้อย่างไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะล้างจาน เสริฟอาหาร หรือรับเลี้ยงเด็ก ฉันหาลำไพ่พิเศษด้วยการเขียนนิยายน่ารักๆ ขาย พยายามที่จะเป็นนักเขียนประจำที่มีรายได้พอเพียงเลี้ยงตัว และคิดว่าอีกไม่นานคงจะสำเร็จได้

ความฝันของฉันมันผิดตรงไหนเหรอ

ตั้งแต่ออกจากบ้านป้าผ่องพรรณ ฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตตนเองน่าสมเพชอีกต่อไปแล้ว แล้วดูตอนนี้สิ จะต้องมีหนุ่มไฮโซผู้ไม่เคยรีดเสื้อผ้า ขัดรองเท้า ถูบ้าน หรือแม้กระทั่งชงกาแฟกินเองที่บริษัทมาดูถูกดูหมิ่น

เขาถอนใจ ท่าทางก้าวร้าวลดลง “เอาละ เราจะไม่เริ่มด้วยการทะเลาะกันก็ได้” เขาพูดราวกับว่าเป็นผู้กำกับ หรือคนเขียนบท ที่บงการให้อะไรเป็นอย่างใจได้ ขยับไหล่ถอดเสื้อสูทที่ไม่เหมาะกับอากาศสามสิบกว่าองศาหน้าระเบียงบ้านที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบเหมือนในรถของเขาออก

คลายปมเน็คไทแล้วปลดกระดุมเม็ดบนของเสื้อเชิ้ต

ฉันรู้สึกแปลกกับอากัปกิริยาของเขาจนความโกรธหายไปส่วนหนึ่ง รู้สึกราวกับกำลังดูโฆษณาเสื้อผ้า หรือภาพยนตร์สักฉากตอนพระเอกกลับบ้านเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เขาพาดเสื้อสูทไว้บนราวระเบียง ปลดกระดุมแขนเสื้อแล้วพับขึ้นมาช้าๆ ท่าทางประณีต

ฉันจ้องเขม็งกะจะเก็บภาพไว้บรรยายในนิยายเรื่องต่อไป ขณะที่ฟังเขาพูด

“ผมจะไม่วิจารณ์คุณ ขอแค่ความร่วมมือเท่านั้น”

“ร่วมมือ?” ฉันถามอย่างใจลอย

“ใช่...ที่ผมต้องตามหาคุณ ก็เพราะคุณลุงของผม...ซึ่งก็คือคุณตาคุณ...ขอร้องผมมา”

“คุณตา?” นอกจากเขาจะดูถูกความฝันของฉันแล้ว ยังสามารถลดระดับให้ฉันกลายเป็นนกแก้วหัดพูดไปได้อีกด้วย

ฉันงง ทำไมคุณตาต้องตามหาฉัน ในเมื่อฉันเขียนจดหมายไปหาคุณตาเป็นประจำทุกสัปดาห์ นานๆ ทีก็โทรไปหาคุณน้าเพื่อถามข่าวคราว (ค่าโทรศัพท์ทางไกลมันแพงสำหรับฉันน่ะค่ะ)

เขาพยักหน้านิดหนึ่ง แค่อาการขยับศีรษะลงหนึ่งมิลลิเมตร ใบหน้านิ่งขรึม

“เวลานี้ท่านไม่สบายมาก”

“ไม่สบายมาก!” ฉันส่งเสียงสูงด้วยความตกใจ “ตาเป็นอะไรคะ?!”

เขาชายตามาอย่างตำหนิ

“คุณคงคิดสินะว่าแค่ส่งข่าวไปว่าสบายดีแค่นั้นก็เพียงพอ คุณสบายดีจริงหรือเปล่า อยู่ที่ไหน อย่างไร และอีกฝ่ายเป็นอย่างไรคุณเคยนึกถึงบ้างไหม” แล้วเขาก็ประณามฉันอีกจนได้ “เมื่อคุณบอกไปว่าตกงานคราวที่แล้ว จะไปสมัครเป็นแม่บ้านน่ะ ท่านเป็นห่วงกังวลใจมากจนไม่ยอมทานอะไร ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอเต็มที”

ฉันตกใจจนพูดจาตะกุกตะกัก “ตะ แต่หลังจากนั้นฉันก็เขียนไปบอกนี่คะว่าสบายดี ได้งานแล้ว และนี่ก็เรียนจะจบแล้ว เพิ่งขายนิยายได้อีกเรื่องหนึ่งด้วย”

“เห็นได้ชัดว่าท่านไม่ได้รับอะไรเลยในช่วงสามเดือนหลังนี้” เขาขัดขึ้น

คราวนี้ฉันเข่าอ่อนจริงๆ รู้สึกตัวโอนเอนจนอยากจะนั่งแปะลงบนพื้นระเบียง คิดอะไรแทบไม่ออก

“ฉะ ฉันต้องไปหาคุณตา” ฉันพูดออกเพียงแค่นั้น

ป่าโมกข์ระบายลมหายใจเบาๆ ดูราวกับโล่งใจที่ฉันไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านว่าจะไม่กลับบ้านทั้งๆ ที่ผู้มีคุณป่วยหนัก ในสายตาเขาฉันอาจเป็นเด็กเลวมากๆ

“คุณจะไปกับผมเดี๋ยวนี้เลยก็ได้” เขาเสนอ “แต่มีอีกอย่างที่คุณควรจะรู้ไว้ก่อน”

ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างสับสนว้าวุ่นใจ “อะไรคะที่ฉันต้องรู้”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ท่าทางลำบากใจเล็กน้อย

“ท่านอาจจะ...ขอบางสิ่งบางอย่างจากคุณ...และให้โอกาสคุณสามารถปฏิเสธได้” เขาบอก “ผมขอแนะนำว่า คุณจะปฏิเสธเพื่อให้ท่านสบายใจก็ได้ เพียงแต่คุณควรจะรู้เอาไว้ว่า ในความเป็นจริงแล้วคุณไม่สามารถปฏิเสธมันได้”

ฉันไม่เข้าใจปริศนาทายคำของเขา “คุณตาจะขออะไร”

“ขอให้คุณแต่งงานกับผม”

ฉันทำหนังสือนิยายรักที่อ่านค้างอยู่ในมือหล่นตกพื้น

เป็นตอนนั้นเองที่ทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นมาว่าฉันมีชีวิตที่ผ่านมา และกำลังจะดำเนินต่อไปอย่างเช่นนิยายพาฝันไม่มีผิด

แล้วอย่างนี้คุณจะไม่ให้ฉันเขียนได้อย่างไรกันคะ

จนมาถึงวันนี้ วันที่ฉันจรดปากกาเขียนเรื่องนี้ขึ้นจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง ฉันยังอัศจรรย์ใจไม่หายในสิ่งที่ชีวิตน้อยๆ นี้ได้ผ่านพบมา รู้สึกเลยว่า ไม่เขียนไม่ได้แล้ว

อ่านต่อไปเถอะค่ะ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนนิยายรักหวานฉ่ำ รับรองว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวัง

แฟนนิยายน้ำเพาะยุงตัวจริงให้คำรับรองค่ะ







โมกข์ – ความหลุดพ้น, นิพพาน, หัวหน้า, ประธาน



อ่านข่าวคราวของหนังสือและการวางจำหน่ายคลิ๊กที่นี่ค่ะ






Create Date : 27 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 ตุลาคม 2554 9:11:29 น. 2 comments
Counter : 1434 Pageviews.

 
เออ...เมื่อก่อนมานชื่ออื่นช่ายมั้ยคะ

จะวางแผงก่อนอีกนิดได้มัยหนอ จะไปเจเจศุกร์นี้แล้วจะได้มาอ่านมัยเนี้ย


โดย: แรคคูน IP: 118.172.23.114 วันที่: 10 มิถุนายน 2552 เวลา:0:14:56 น.  

 
emo

คุณ แรคคูน - เปลี่ยนชื่อเรื่อง แก้ไขเพิ่มเติม บวกเพิ่มตอนพิเศษ กลายมาเป็นเรื่องนี้ค่ะ


โดย: ศรีสุรางค์ วันที่: 10 มิถุนายน 2552 เวลา:7:13:03 น.  

ศรีสุรางค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]












visit me at:
Srisurang's book recommendations, liked quotes, book clubs, book trivia, book lists (read shelf)




ประวัติผลงาน





สงวนลิขสิทธิ์

การนำส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของงานเขียนในเว็บนี้ ไปเผยแพร่ ดัดแปลง เสนอขาย โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย
Srisurang's bookshelf: read

หัวใจที่ถูกจอง รักนี้ (ไม่) มีสตรอว์เบอร์รี รวมมิตรแต้พานิช มายานาง เจ้าดวงใจ คนในผ้าเหลือง A Man in Saffron Robes

More of Srisurang's books »
Book recommendations, book reviews, quotes, book clubs, book trivia, book lists

My Goodreads bookshelf

Dream Lake
Rose
เหยื่ออธรรม
ประมูลหัวใจ
Something About You
ปทมาศวรรย์
อานาปานสติ วิถีแห่งความสุข
Celebrity in Death
The Madness of Lord Ian Mackenzie
รักหลงฤดู
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ เล่ม 1
จิตสดใสแม้กายพิการ
Love me, please...เพียงรักฝากใจ
พระสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ภาค๑ และอรรถกถา Tipitaka The Pali Canon (Thai Translation) Book 15
Born in Sin
Dark Desire
ตุ๊กตา
นาคราช
ทวิภพ
Red River, Vol. 8


Srisurang's favorite books »
Friends' blogs
[Add ศรีสุรางค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.