"True success is not the learning, but in its application to the benefit of mankind"
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
3 พฤศจิกายน 2555

สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๒๓ : ฐานะ 'กษัตริย์'


มีกล่าวอยู่ใน 'พงษาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาษามคธแลคำแปล' 
กล่าวว่าเมื่อ'มหาเสนาบดี'(พระเจ้าปราสาททอง)สำเร็จราชการจะอุ้มพระเจ้าแผ่นดินนั่งตัก*
ภาพ'เตมิยชาดก' สมุดภาพไตรภูมิกรุงศรีอยุธยา หมายเลข ๖ 

*ในคำให้การชาวกรุงเก่าว่าเป็นพระยากลาโหมให้พระเฑียรราชานั่งตัก


เมื่อออกญากำแพงถูกประหารและออกญาเสนาภิมุขถูกส่งไปอยู่นครศรีธรรมราชแล้ว ก็หมดขั้วอำนาจที่มีกำลังพอที่จะต้านทานอำนาจของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์หรือสมเด็จพระเจ้าปราสาททองอย่างแท้จริง ในตอนนี้อาจสัณนิษฐานได้ว่าเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในกรุงศรีอยุทธยาอย่างแท้จริง เพราะเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน สมุหพระกลาโหม แล้วยังมีฐานะเชื้อพระวงศ์โดยเป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมหนุนอยู่อีกชั้นหนึ่ง ทำให้สถานะของตนสูงส่งมาก อย่างไรเสียต่อให้มีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินดุจพระมหากษัตริย์ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็ยังไม่ใช่ 'พระมหากษัตริย์'


เยาวกษัตริย์
สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ได้ขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ.๒๑๗๒ จากการที่ขุนนางทั้งหลายใช้กำลังโค่นสมเด็จพระเชษฐาธิราชลงจากราชสมบัติ จากนั้นยุวกษัตริย์พระชนม์ ๙-๑๐ พรรษาพระองค์นี้จึงได้ครองบัลลังก์สืบมา ด้วยที่ยังทรงพระเยาว์ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงได้ขึ้นสำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณ บางคนก็สัณนิษฐานว่าสมเด็จพระอาทิตยวงศ์เป็นแค่กษัตริย์หุ่นเชิดเท่านั้น หรือก็กล่าวว่าที่เจ้าพระยากลาโหมไม่ยกตนเป็นกษัตริย์ในทันทีหลังล้มพระเชษฐาเพราะเกรงคนจะครหานินทาได้

ในยุคสมัยอันแสนสั้นของพระอาทิตยวงศ์ ออกญากลาโหมสุริยวงศ์ก็สามารถกำจัดออกญากำแพงกับออกญาเสนาภิมุขไปได้ หมดหอกข้างแคร่ ก็เป็นเวลาที่จะเตรียมการขั้นต่อไป

พระราชพงศาวดารให้ให้ภาพของสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ว่า "ยังเยาวราชอยู่นัก มิได้รู้ที่จะว่าราชการสิ่งใดมีแต่จะเที่ยวประพาสจับแพะจับแกะเล่น เจ้าพนักงานต้องนำเครื่องทรงและเครื่องเสวยตามไปถวายทุกแห่ง แต่ทำดังนี้เป็นนิรันดร" อันที่จริงในเมื่อเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่แล้ว เรื่องยุวกษัตริย์นั้นไม่น่ามีปัญหาอะไร เห็นเป็นแต่ข้ออ้างเพื่อความชอบธรรมเท่านั้น แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของอยุทธยาก็ได้

สำหรับหลักฐานที่เขียนในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองของฟาน ฟลีต กล่าวว่า เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เริ่มที่จะระบายเรื่องอุปนิสัย(ฟาน ฟลีตบอกว่าไม่ดี แต่สัณนิษฐานว่าคงเป็นการกระทำแบบเด็กๆอย่างที่พงศาวดารอ้าง)ของสมเด็จพระอาทิตยวงศ์กับขุนนางคนสนิทของตน และกล่าวว่าแผ่นดินใดก็ไม่ควรถูกปกครองด้วย'เด็ก' นอกจากนี้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ยังกล่าวถึงความยากลำบากในการบริหารราชการของตน และตนเองก็อยากจะพ้นหน้าที่นี้ไปโดยอ้างเหตุผลว่า เมื่อสมเด็จพระอาทิตยวงศ์เจริญพระชันษาแล้ว อาจจะโดนคนถ่อยเพ็ดทูลยุุแหย่ให้สงสัยในตัวออกญากลาโหมสุริยวงศ์ และตนเองก็อาจจะไม่รอดจากการถูกลงพระอาญาไปได้(ทั้งนี้คงเป็นเพราะออกญากลาโหมก็เคยยุพระองค์ให้ประหารออกญากำแพงมาก่อน เลยอาจกลัวว่าตนเองจะโดนบ้าง)

ด้วยเหตุนี้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงเสนอขึ้นว่า ควรให้สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ทรงได้รับการศึกษาเล่าเรียนในเรื่องของศีลธรรม(คงมีเรื่องบทเรียนทั่วๆไปด้วย)กับพระภิกษุทรงเพื่อที่จะได้แก้ไขพระอุปนิสัยของพระองค์ไปในทางที่ดี นอกจากนี้ยังเสนอว่าควรจะตั้งขุนนางคนหนึ่งขึ้นมารับตำแหน่ง 'กษัตริย์(King)' เพื่อที่จะได้บริหารราชกิจจนกระทั่งสมเด็จพระอาทิตยวงศ์เจริญพระชันษาแล้วจึงถวายพระราชอำนาจคืน


ตำแหน่ง'กษัตริย์'
เรื่องส่งพระอาทิตยวงศ์ไปเรียนหนังสือนั้นพอจะมีเหตุุผล แต่เรื่องตั้ง 'กษัตริย์' นั้นดูไม่ค่อยจะมีน้ำหนัก ในเมื่อเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็สำเร็จราชการแผ่นดินดุจดังพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว หากจะให้สัณนิษฐานก็อาจเป็นไปได้ว่าจะอ้างถึงความไม่สงบของบ้านเมือง ควรให้มีคนมมาเป็นหลักยึดในฐานะกษัตริย์ไปก่อน ในขณะที่พระเจ้าแผ่นดินยังทรงพระเยาว์อาจทำให้เกิดความไม่สงบได้ โดยที่ไม่ได้ล้มพระมหากษัตริย์ คนก็อาจจะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นการแย่งชิงบัลลังก์



ขุนวรวงศาธิราช(จอนนี่ แอนโฟเน่)
จากภาพยตร์เรื่อง 'สุริโยไท'

เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดในประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุทธยา ขุนวรวงศาธิราชก็ได้ตำแหน่ง 'กษัตริย์' โดยที่ท้าวศรีสุดาจันทร์อ้างว่า "พระยอดฟ้าโอรสเรายังเยาว์นัก สาละวนแต่จะเล่น จะว่าราชกิจการแผ่นดินนั้น เห็นเหลือสติปัญญานัก อนึ่งหัวเมืองฝ่ายเหนือเล่ามิปกติ จะไ้ใจแก่ราชการมิได้ เราคิดจะให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดิน กว่าราชบุตรเราจะจำเริญวัยขึ้น"

เมื่อครั้งที่ออกญาเสนาภิมุขยังอยู่ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เคยนำเรื่องตำแหน่ง 'กษัิตริย์๋' มาพูดหนหนึ่งแล้ว(ตอนที่ ๑๙) แต่ออกญาเสนาภิมุขไม่เห็นด้วย ทำให้ออกญากลาโหมสุริยวงศ์ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนที่จะเป็นกษัตริย์

แต่ในครั้งนี้เรื่องได้เข้าที่ประชุมเสนาบดี จนในที่สุดเหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่ก็ได้กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสมควร เพื่อเป็นการรักษาความมั่นคงของแผ่นดินและเพื่อให้บรรดาประเทศข้างเคียงยังคงให้ความเคารพยำเกรงต่อกรุงศรีีอยุทธยาอยู่ดังเดิม มติทั้งสองเรื่องจึงได้รับความเห็นชอบ

ในเรื่องของตำแหน่ง 'กษัตริย์' ที่ประชุมได้เสนอให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นเป็นเพราะว่าด้วยฐานะและอำนาจที่ได้กล่าวๆมาแล้วว่าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน สมุหพระกลาโหม แล้วยังมีฐานะเชื้อพระวงศ์โดยเป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมหนุนอยู่อีกชั้นหนึ่ง จึงไม่มีใครเหมาะสมเท่า(บวกกับขุนนางจำนวนมากเป็นพวกของออกญากลาโหม)


บทสรุปของทั้งสอง


พระปรางค์วัดพุทไธศวรรย์ จ.พระนครศรีอยุธยา

ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ได้เสด็จบรรพชาเป็นสามเณร แล้วทรงไปศึกษาอยู่ที่วัดเดือน(Wat Duen)ซึ่งฟาน ฟลีตกล่าวว่าเป็นซึ่งเป็นวัดหนึ่งใน ๔ วัดที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยาซึ่งยังมีวัดพระศรีสรรเพชญ์(Wat Syserpudt) วัดมหาธาตุ(Wat Nappetat) วัดเจ้าพญาไท(Thimphiathey-วัดใหญ่ชัยมงคล)  วัดนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นวัดใดแน่ชัด มีการสัณนิษฐานว่าอาจเป็นวัดเดิมหรือวัดอโยธยา แต่ฟาน ฟลีตกล่าวว่าเป็นวัดที่อุทิศให้พระจันทร์จึงไม่น่าใช่วัดเดิม 

วัดนี้พระสังฆราช(chief priest-อาจแปลว่าพระราชาคณะหรือเจ้าอาวาสก็ได้)จำพรรษาอยู่ และเป็นโรงเรียนสำัคัญสุด(highest school) มีกล่าวในเอกสารคำให้การชาวกรุงเก่า(ซึ่งไม่ร่วมสมัย)ว่า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดให้(สร้่าง)วัดพุทไธสวรรย์กับวัดรัตนมหาธาตุ(วัดมหาธาตุ)เป็นวัดให้พระสงฆ์เล่าเรียนพระปริยัติธรรมจึงมีการสัณนิษฐานว่าวัดเดือนอาจเป็นวัดพุทไธศวรรย์ นอกจากนี้ในสมัยอยุทธยาตอนปลายมีปรากฏว่าสมเด็จพระเพทราชา(ครองราชย์ พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖)ทรงเคารพนับถือพระพุทธโฆษาจารย์วัดพุทไธศวรรย์เป็นพระอาจารย์ และเจ้าฟ้าตรัสน้อยก็เคยผนวชอยู่วัดพุทไธศวรรย์เช่นเดียวกัน จึงอาจมีความเป็นไปได้


ส่วนเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เมื่อรู้ว่าเหล่าเสนาบดีเลือกตนรับตำแหน่ง 'กษัตริย์' ก็แสดงท่าทีบ่ายเบี่ยง และกล่าวว่าตนเองอยากถูกปลดปล่อยจากหน้าที่ภาระในการบริหารแล้ว แต่เหล่าขุนนางก็ต่างสนับสนุนซึ่งฟาน ฟลีตกล่าวว่าขุนนางเหล่านั้นมีทั้งคนที่รักใคร่และก็หวั่นเกรงถึงสนับสนุน

สุดท้ายเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็ยอมรับตำแหน่ง 'กษัตริย์' ส่วนสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ก็ออกบรรพชาไปอยู่วัดเดือน 

ที่กล่าวมาโดยตลอดว่าเป็นตำแหน่ง 'กษัตริย์' เพราะอิงจากเอกสารของฟาน ฟลีตเห็นว่าเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ในตอนนี้ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์อย่างแท้จริง ยังไม่ได้ปราบดาภิเษก ดูฐานะแล้วอย่างไรก็ยังไม่ต่างจากฐานะผู้สำเร็จราชการในอดีตนัก

แต่ในตอนนี้อำนาจสูงสุดในแผ่นดินกรุงศรีอยุทธยาตกเป็นของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์โดยแท้จริงแล้ว

ส่วนฟาน ฟลีตได้วิจารณ์ว่าการที่เหล่าขุนนางได้เลือกเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์มาเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ไม่ต่างอะไรกับการที่ชาวทรอยชักม้าไม้เข้าเมือง ซึ่งจะส่งผลให้เสียเสถียรภาพของระบบขุนนางไปเลยในอนาคต



ม้าไม้เมืองทรอย(Trojan Horse)
ภาพจากแจกันไมโคนอส(Mykonos Vase)
อายุราว ๖๗๐ ปีก่อนคริสตกาล




 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2555
3 comments
Last Update : 25 พฤษภาคม 2556 11:18:33 น.
Counter : 8632 Pageviews.

 

อ่านสนุกค่ะ

 

โดย: tuk-tuk@korat 6 พฤศจิกายน 2555 13:36:26 น.  

 

ขอบคุณครับ

 

โดย: ศรีสรรเพชญ์ (Slight06 ) 6 พฤศจิกายน 2555 22:22:54 น.  

 

เหมือน blog ก่อนหน้าครับ รู้แค่ว่าโดนจับสำเร็จโทษ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ได้ออกบวชเป็นสามาเณรก่อน

 

โดย: VET53 7 พฤศจิกายน 2555 15:31:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ศรีสรรเพชญ์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]




New Comments
[Add ศรีสรรเพชญ์'s blog to your web]