ทำทุกอย่างด้วยใจรัก

<<
มิถุนายน 2555
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
10 มิถุนายน 2555
 

ตอนที่ 11 แบ่งปัน

11 แบ่งปัน

 

5 ปีก่อน...นับตั้งแต่ชั่ววินาทีที่ทราบเรื่องจุนโซ เทซกคิดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ เขาเริ่มต้นร้องไห้แล้วร้องไห้ จากนั้น...ก็สั่งให้ ซองอึนหันหัวเรือกลับยังฝั่ง ทั้งๆที่ยังโปรยอัฐของอึนโซไม่เสร็จ ชายหนุ่มจัดการเรื่องราวของเพื่อนแทนทุกคน เพราะทราบดี ไม่มีใครที่จะทำได้อีกแล้ว นอกจากเขา คุณยุนสามีภรรยาก็แทบจะสิ้นลมหายใจตามกันไป ยุนมีที่เอาแต่ร้องไห้และเป็นลม
     
ในตอนนั้น ชายหนุ่มรู้สึกสมเพศทั้งตัวเองและเพื่อนสาว ที่สุดแล้วก็ต้องเหลืออยู่กันตามลำพัง ร่างของจุนโซถูกจัดแต่งให้ดูสะอาดและหล่อเหลาดุจเดิม ใบหน้าของเพื่อนรักสงบนิ่ง มีรอยยิ้มละมัยเพราะเขาคงทราบว่าเขาจะได้ไปพบใครในอีกโลกหนึ่ง หาก....ทุกคนในที่นั้นดุจคนหัวใจสลาย
     
จุนโซผู้ซึ่งเป็นที่รักของทุกคน เป็นลูกที่ดีไม่เคยสร้างความหนักใจให้พ่อแม่ เป็นพี่ที่ดี และเป็นเพื่อนที่เป็นที่พึ่งในยามอ้างว้าง

การสูญเสียครั้งนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับเทซก แทนที่ชายหนุ่มจะร่ำไห้เหมือนกับที่ร่ำไห้กับอึนโซ เขากลับนิ่งเงียบปล่อยให้น้ำตาออกมาโดยไม่มีรอยสะอื้น และทำหน้าที่แทนลูกชายของตระกูลยุนทุกอย่าง เทซกตระหนักดี....ไม่มีใครเข้มแข็งเท่าเขาอีกแล้ว หากเมื่อคิดถึงยุนมีผู้อ่อนแอกว่า....
      
ค่ำคืนแรกของการจากไปของจุนโซ ชายหนุ่มมองหาเพื่อนสาวท่ามกลางคนที่มาเคารพศพของจุนโซในตอนเย็นย่ำของวันนั้น

“ชินเน่ เห็นยุนมีหรือเปล่า?”

เขาคิดว่ายุนมีจะอยู่กับชินเน่ หากคนถูกถามส่ายหน้า ไม่อาจตอบคำใดได้อีก ยุนมีผู้นอนสลบไสลบนฝูก ไม่ยอมให้ใครพาไปโรงพยาบาลได้หายไปโดยที่ไม่มีใครทราบ เทซกจึงเดินออกมาที่ชายหาด เงา..ของคนที่กำลังเดินลงไปในทะเลทำให้เขาวิ่งปราดไปทางนั้น

“ยุนมี! ชินยุนมี! เธอจะทำอะไร? หยุดเดี๋ยวนี้นะ ยุนมี!”
ชายหนุ่มวิ่งลุยน้ำเย็นเฉียบ

ยุนมีไม่สมควรตาย เขาต่างหาก! ชายหนุ่มตะโกนเรียกเพื่อนสาว ไม่ยอมให้หล่อนหนีจากไปเหมือนที่คนอื่นทำ ร่างบอบบางถูกลากขึ้นมาบนฝั่งอย่างไม่ปราณี หญิงสาวไม่ยอมแพ้ พยายามดิ้นรนไปหาความตาย

“ปล่อยฉัน! เทซก ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ฉันจะไปหาจุนโซ จุนโซ!....มารับฉันไปที ได้โปรด!”

“จะบ้าหรือยุนมี!” เทซกกระชากร่างของอีกฝ่ายมาเขย่า แล้วตะโกนก้อง

“เธอ...ต้องมีชีวิตอยู่ ...เพื่อให้พวกเขามองเห็นว่าเธอจะมีความสุขได้ โดยไม่ต้องมีเขาสิ โง่! เธอมันโง่ ที่..อยากตาย” เทซกตะคอกอย่างดุดัน ที่จริงเขาก็อยากตาย อยากไปให้พ้นๆจากโลกนี้เหมือนกัน...ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนอย่างที่ใครๆคิด

“ได้หรือเทซก ฉันจะอยู่ได้อย่างไร ? ในเมื่อไม่มีจุนโซ เทซก! ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว” ยุนมีคร่ำครวญ

“อยู่ได้ไม่ได้ เธอ..ก็...ต้อง...อยู่ คิดหรือ...ถ้าเธอไปหาพวกเขาแล้ว เธอจะสมหวัง โลกนั้น โลกที่จุนโซไป เป็นโลกที่เขาสามารถอยู่กับอึนโซได้ชั่วนิรันดร์ เขาไม่ได้ต้องการเธอ หรือ...ฉัน ต่อให้เธอตายตรงหน้า เธอก็จะไม่มีความสำคัญกับเขาอีกต่อไป ลืมตาตื่นขึ้นมาได้แล้ว!”

“ฉัน..ไม่....สน! ขอเพียงฉันได้อยู่กับเขา ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่? ฉันก็ยอม!”

“ฟังนะยุนมี ฉัน...ไม่มีวันยอมหรอก เธอต้องไม่ตาย และจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ให้ตายเถอะ! ยุนมี...เธอต้องเข้มแข็ง ฉันสั่ง เข้าใจไหม?” เทซกตะคอก เขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นให้ยุนมีอยากมีชีวิตอยู่

“เทซก...ฉันนึกไม่ออก จริงจริง ว่าฉัน...จะมีชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปได้อย่างไร? จะเดินไปข้างหน้าอย่างไร? จะหายใจอย่างไร?”
ยุนมีโผเข้าหาชายหนุ่มแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น หัวใจสลายไปกับความสูญเสีย
“ยุนมี...”
เทซกกอดเพื่อนสาว พยายามเก็บความอ่อนแอของตัวเองเอาไว้ บังคับเสียงให้นิ่ง...สงบ
“ยุนมี อยู่ได้สิ ...ไม่ใช่..เพื่อฉัน ไม่ใช่เพื่อพวกเขา แต่...เพื่อ...ตัวเอง!”

ตอนนี้...เมื่อเวลาผ่านไปถึง 5 ปี สายตาของเทซกทอดมองยุนมีที่ยืนอยู่บนโขดหิน แล้วโยนดอกไม้ลงไปในทะเล เขายังจำได้...หลังจากจัดการตามประเพณีเรียบร้อย เทซกได้เอาอัฐิของจุนโซผสมกับส่วนที่เหลืออยู่ของอึนโซ และโปรยลงทะเล ให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน สมปรารถนาชั่วนิรันดรน์ หวนนึกไปถึงเวลาในวันนั้นคล้ายกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน

ณ....วันนี้ ยุนมียังคงคุกเข่าแล้วร่ำไห้ ทั้งๆที่คิดว่าเข้มแข็งพอ ....ทั้งที่เวลาผ่านไป

“ยุนมี...” ชายหนุ่มแตะแขนเพื่อนสาว “พอได้แล้วนะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยนะ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตา ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะเทซก แค่อดไม่ได้เท่านั้นเอง ไม่แปลก...ไม่ใช่หรือ?”
“ฮื่อ...” เขาประค
องหล่อนให้ลุกขึ้น แล้วมองทะเลไกลออกไป เขากอดบ่าเพื่อนสาว
“จุนโซ! นายฟังไว้นะ! ในที่สุด ยุนมีก็เข้มแข็ง และเธอ....ก็ไม่ตาย”
ชายหนุ่มตะโกนก้องทะเล

“ใช่...” ยุนมีพึมพำ “ฉันยังไม่ตาย” หล่อนตะโกนตาม

หล่อนยังมีโลกที่ต้องเดินหน้าต่อไป มีความรักที่ต้องรักษา

“แต่..จุนโซยังคงอยู่ ...ในความทรงจำและที่ที่สวยงามในหัวใจของฉัน ได้..ใช่ไหม?”

หญิงสาวรำพึงกับสายลม เวลาได้ผ่านไปแล้ว จุนโวกับอึนโซยังคงอยู่ที่เดิม หากพวกหล่อนต่างหาก...ที่เปลี่ยนแปลง
“ฮื่อ! นั้นมันเรื่องของเธอนี่นา”

เทซกตบบ่ายินดีกับหล่อนอย่างจริงใจ ดีแล้วที่ยุนมีตัดสินใจที่จะรับความสุขของตนเอง ทะเลวันนี้สวยงามกว่าเมื่อหลายปีก่อน ไม่มืดครื้มและหมองมัว



************

ฮันเทซกรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ตั้งแต่ชินยุนมีกลับไปอเมริกาแล้ว ดูเหมือนว่าเขากับธิชากรก็ไม่ค่อยได้สนทนากันกันบ่อยนัก หลายครั้งที่เขาเห็นหล่อนเดินไปเลี่ยงไปอีกทางราวกับจงใจ แต่ก็ไม่อยากไปเซ้าซี้มากความแม้ลึกลงไปนั้นปรารถนาที่จะใส่ใจก็ตาม อย่างน้อย...ก็เป็นคนสนิทสนมกัน
หรือ...อาจเป็นเพราะสิ่งที่ยุนมีพูดนั้นทำให้ต้องระมัดระวังก็เป็นได้ คำพูดของยุนมีฉุดรั้งไม่ไห้เขาทำอะไรตามใจตัวเอง เทซกยังอยากกักเก็บอึนโซในหัวใจตราบนานเท่านาน
แต่...เหมือนกับ ยิ่งระวัง...ยิ่งค้นพบว่าสายตาของเขาคอยแต่มองหาเหมือนอย่างที่เพื่อนสาวว่าไว้จริงๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้...ชายหนุ่มต้องคอยบังคับแล้วบอกตัวเองเอาไว้ ไม่ใช่! และ ต้อง...ไม่ใช่!

ไม่ใช่เทซกฝ่ายเดียวหรอก

ธิชากรรู้สึกใจหายหน่อยๆ ที่พักนี้ เทซกไม่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตมากนัก ไม่มีโทรศัพท์มาบังคับให้ไปออกกำลังกายหรือรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเหมือนช่วงก่อนๆ ทั้งๆ ที่ควรรู้สึกว่าดี ลึกลงไปนั้น...ก็ได้ตระหนักถึงความจริงที่วรวรรณมักตอกย้ำอยู่บ่อยๆ แต่...เขาอยู่ไกลเกินกว่าไปจริงๆ ดังนั้นหล่อนควรหยุดตัวเองไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วถอยกลังกลับเสีย

หล่อนนึกถึงก่อนที่ยุนมีจะกลับอเมริกา ธิชากรยังได้มีโอกาสได้คุยกับหล่อน พร้อมกับสัญญากันว่าจะติดต่อกันทางอีเมล์เมื่อมีเวลา
“ฉันฝากเทซกไว้ด้วยนะธิชา”
“คุณยุนมีค่ะ...ฉันเป็นแค่ลูกจ้าง คงไม่บังอาจไปรับฝากได้หรอกค่ะ อีกอย่างผู้อำนวยการดูแลตัวเองได้เก่งอยู่แล้วด้วย”
ธิชากรเลือกตอบเลี่ยงๆ เพราะคิดเอาไว้หลังจากที่ยุนมีกลับ หล่อนต้องพยายามห่างเจ้านายให้มากๆ แม้จะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักก็ตาม
“เธอนี่น๊า!” ยุนมีส่ายหน้า
“ที่ผ่านมาเทซกเค้าเจ็บปวดมามากเหลือเกิน ไม่เรื่องนั้น ก็เรื่องนี้ รู้ไหม? ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นเขาในลักษณะแบบนี้เลย”
ยุนมีเอ่ยถึงการให้บริการแขกที่มาพัก การพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเทซกที่เปลี่ยนแปลง จากที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากปล่อยชีวิตล่องลอยไปวันๆ คอยแต่ให้เงินเข้าบัญชี แล้วใช้จ่ายไปกับการเที่ยวเตร่
“ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ คุณเทซก เอ้ย! ผู้อำนวยการก็เป็นที่รักของทุกคนอยู่แล้วค่ะ แต่สำหรับเรื่องส่วนตัว พวกเราส่วนใหญ่มักไม่ค่อยยุ่งเกี่ยว มันเป็นเรื่องที่พอทราบ แต่ไม่มีใครพูดกันมากมายหรอกค่ะ”

“แต่เธอ ก็ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขามากนักนะ เทซกเค้าเล่าให้ฉันฟังบ้างแล้ว”
ธิชากรยิ้มเขิน “ฉันไม่ได้อยากยุ่งเลย จริงๆนะคะ แต่บังเอิญว่าฉันสนิทกับพี่มูนจุงมากกว่า โดยปกติแล้วไม่ว่าจะทำอะไร..มักถูกตำหนิเสมอ”
“นั่นล่ะ เทซกล่ะ เพราะอย่างนี้....ฉันถึงต้องฝากเขากับเธอด้วย ธิชา..”
ยุนมีแตะแขนของธิชากร
“บางครั้ง ฉันรู้สึกว่า เธอมีส่วนผสมของจุนโซ อึนโซและตัวของเทซกเองอยู่ในคนเดียวกัน”
“ฉันคงไม่ใช่หรอกค่ะ...แบบนั้นเป็นอะไรยิ่งใหญ่เกินกว่าฉันจะเป็นได้”
หญิงสาวก้มหน้าพยายามปฏิเสธ แต่ถูกดักคอเอาไว้
“เธอน่ะไม่รู้ตัวหรอก เพราะเธอไม่รู้จักทั้งอึนโซและจุนโซ ไม่อย่างนั้น เทซกคงไม่สนิทกับเธออย่างนี้ เขาสนิทกับคนยากมากนะ เหมือนคนขี้ระแวง เหมือนสัตว์ร้าย และเขาก็ขี้กลัว กลัวความเจ็บปวด ฝากเขาด้วย”

ธิชากรเผลอรับปากไปแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะไปทำอะไรได้ หลังจากยุนมีกลับไปแล้ว หญิงสาวก็พยายามอยู่ห่างๆเจ้านาย แต่บางครั้งในเบื้องลึกนั้นราวกับความสุขส่วนหนึ่งได้หายไป ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งก็เจ็บแปลบเมื่อเขาก็เหมือนไม่ได้ใส่ใจ ไม่มีโทรศัพท์หรือการมาวุ่นวายในห้องพักเช่นแต่ก่อน ดังนั้น...หนทางที่ดีดีสุด คือการยึดมั่นกับความตั้งใจเดิม อย่า..รักใคร!



******************


บ้าน ในความหมายของธิชากรคือสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าเอกชนที่ก่อตั้งจากสุภาพสตรีที่มีจิตเมตตาผู้หนึ่ง ใช้บ้านและกำลังทรัพย์ของตัวเองรับเลี้ยงเด็กที่พ่อแม่ทิ้งหรือเสียชีวิต พร้อมกับให้การศึกษาและความเป็นอยู่ราวกับลูก จำนวนของเด็กที่รับมาเลี้ยงแต่ละรุ่นไม่มากเนื่องจากให้ความสำคัญในเรื่องการอบรมและความเป็นอยู่ วรวรรณและธิชากรเป็นรุ่นแรกๆ ที่ได้รับการสั่งสอนให้เป็นคนของสังคม เมื่อเรียนจบ พวกหล่อนก็ถือว่าที่นั่นเปรียบเสมือนบ้านที่ต้องดูแลแล้วส่งเสียกลับคืน


ทุกอย่างคงจะดีถ้าไม่ โชคร้าย เมื่อ“แม่” ผู้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกลับจากไปกะทันหัน พินัยกรรมไม่ชัดเจนทำให้ญาติพี่น้องของแม่ที่ไม่เห็นด้วยกับการเอาทรัพย์สินมาเลี้ยงดูเด็กกำพร้าคิดจะยุบบ้านแห่งนั้น พวกหล่อนถึงต้องจากเมืองไทยมาหาเงินก้อนใหญ่กว่าเดิมไปสมทบกันเพื่อหาบ้านใหม่ให้น้องๆและผู้ดูแล


เรื่องแบบนี้ ธิชากรไม่ได้เล่าให้ใครฟังมากมายนอกจากมูนจุง ไม่ใช่ว่าเพราะอาย แต่คิดว่ามันเป็นปัญหาธรรมดาที่พวกหล่อนต้องจัดการหาทางแก้ไขกันเอง
วรวรรรณติดต่อธิชากรในวันหนึ่ง ในขณะที่หล่อนกำลังขมักเขม้นกับการตรวจสอบข่าวที่มีผลกระทบต่อรายได้ของโรงแรม
“ธิชา...ฉันเพิ่งได้รับข่าวมาจากที่บ้าน พวกเขาประกาศแล้วนะ จะยุบบ้านของเราแน่นอน แล้วบอกให้คนดูแลพาน้องๆ ย้ายออกโดยเร็วที่สุด”

“อะไรกัน! ก็บอกแล้วว่าเราขอเวลา ทำไมถึงแล้งน้ำใจขนาดนี้ คนไทยแท้ๆ”
ธิชากรใจเสีย ที่เมืองไทยต้องกำลังเคว้งคว้างและสับสน ทั้งเด็กทั้งคนเก่าแก่และคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลคงขาดที่พึ่ง
“พวกนายหน้าเร่งบีบมานะสิ เขาจะขายที่ดินเอาเงินมาแบ่งกัน ธิชา....เด็กๆทางโน้นจะมีปัญหานะ ฉันคิดว่าจะรีบไปกรุงเทพ แล้วต้องให้พวกเรารวบรวมเงินด่วน”
วรวรรณเป็นคนเดียวที่สะดวกพอที่จะทำอย่างนั้น เมื่อแต่งงานแล้วมาอยู่กับมินโฮ วรวรรณเป็นนักเขียนและนักแปลอิสระ ที่ไม่ต้องมีปัญหากับที่ทำงาน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของคนทั้งบ้านแทน “แม่”


“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกรุงเทพด้วย ให้ฉันลางานก่อนนะ”

“มันคงไม่สะดวกนะธิชา กว่าจะเสร็จเรื่องก็กินเวลาเป็นเดือน ที่ทำงานคงไม่ยอมให้เธอลาไปนานๆหรอก”

“แต่ฉันทิ้งให้เธอไปจัดการคนเดียวไม่ได้หรอก อย่างมาก ก็ลาออก!”

ความรู้สึกสิ้นหวังกระมัง ที่ทำให้หญิงสาวตัดสินใจโดยง่าย

“ลาออก! แล้วจะทำอย่างไรต่อไป? ฉันไม่คิดว่าเธอจะอยู่ดูแลบ้านเหมือนเมื่อก่อนนะ”

“ฉันคิดว่า ถ้าฉันกลับไปทำงานแถวภูเก็ตหรือกระบี่ ก็น่าจะได้นะ มีประสบการณ์แล้วนี่นา ฉันลองเช็คกับเพื่อนๆแล้ว เดี๋ยวนี้มีโรงแรมสร้างใหม่ที่นั่น”

“เธอพูดเหมือนตัดใจไปได้ แน่ใจหรือเธอจะยอมจากคุณเทซกได้ในเวลานี้ รู้ไหม?”

“วรรณ... บ้านของเราสำคัญกว่านะ อีกอย่าง...ไม่วันนี้ก็วันหน้ามันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ฉันก็จะต้องกลับไป ไม่ยอมแก่ตายที่นี่หรอก!”

ธิชากรหัวเราะแห้งๆ รู้ดี จึงต้องฝืนใจบอกเพื่อนไปอย่างไม่ยี่หระ ไม่ว่าจะเจ็บอย่างไร ตอนนี้คิดแต่เพียงว่าจะต้องไปอยู่เคียงข้างทุกคนที่มีชาติกำเนิดแบบเดียวกัน เขาเหล่านั้นเป็นครอบครัว หล่อนเป็นห่วงคนที่เคว้งคว้างมากกว่า

“แล้วเธอต้องกลับไปเจอปัญหาเก่า ถ้าคุณพัสภูมิเขาเกิดจริงจังกับเธอจริงๆ ขอให้กลับไปเริ่มต้นกับเขา เธอคิดว่าจะรับไหม? ทั้งสมบัติส่วนตัวที่ไม่ต้องพึ่งครอบครัวพ่อแม่ ทั้งหน้าที่การงาน เขาก็คงช่วยเราได้อย่างเต็มที่...”

หญิงสาวถอนหายใจ จริงสิ หล่อนลืมเขาคนนั้นไปเสียสนิท ชายหนุ่มผู้แสนดี... ที่หล่อนก็ไม่อาจเอื้อมเช่นกัน

“วรรณ.....ฉันไม่อยากเริ่มต้นกับเขาด้วยเหตุผลคือเงินหรอกนะ อีกอย่าง...ฉันไม่คิดว่าเราจะอ่อนแอจนช่วยตัวเองไม่ได้ ร่ำเรียนมาจนถึงขนาดนี้แล้ว จะมาเจอทางทางตันได้อย่างไร? ถ้าฉันจะเริ่มต้นอย่างจริงจังกับเขา ฉันจะเริ่มต้นด้วยความรัก ไม่ใช่แบบนี้ ”


หล่อนจำเป็นต้องให้กำลังใจทั้งวรรณและตัวเอง ถึงแม้หนทางข้างหน้าจะมืดมนก็ตาม

“อย่างนี้สิถึงจะเป็นธิชา! เอาเถอะ...พรุ่งนี้ฉันต้องไปแล้วนะ มินโฮเขาจะไปช่วยด้วย เขาจะยกเงินค่าเขียนซอฟท์แวร์ให้พวกเราก้อนหนึ่ง บอกว่าในฐานะเป็นเขยใหญ่ เขาจะช่วยรับผิดชอบ”

ธิชากรถอนใจยาว สำนึกผิดแล้วสินะ ถึงจะชั่วครั้งชั่วคราวก็เถอะ...

“หมอนี่! ฉันไม่รู้ว่าจะรักหรือเกลียดสามีของเธอคนนี้ดี ดูสิ ...ตอนนี้เป็นคนดีเสียแล้ว”
หญิงสาวอดค่อนไม่ได้ จริงๆ เมื่อวันก่อนเพิ่งทำร้ายเพื่อนรักไปหยกๆ จนธิชากรพาลโกรธไปถึงผู้ชายเกาหลีทุกคน มาคราวนี้กลับมาเป็นที่พึ่งและเคียงข้างวรวรรณเสียนี่

“ธิชา เธอคิดให้ดีนะ เรื่องลาออกไม่ใช่เรื่องที่จะมาตัดสินใจประเดี๋ยวประด๋าว อีกอย่างตอนนี้เรื่องโรคระบาดกำลังเป็นข่าว อาจจะมีผลกระทบต่องานได้ ให้ฉันไปถึงประเทศไทยก่อน เรื่องราวจะส่งข่าวมาทีหลัง”

“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันจะรีบตามไปโดยเร็วที่สุด”



หญิงสาวโทรศัพท์ไปประเทศไทยหลังจากที่วางสายจากวรวรรณแล้ว ทางนั้นกำลังปั่นป่วนเพราะทุกอย่างเป็นทางการและแน่ชัด หล่อนปลอบทุกคน จากนั้นถึงมานั่งซุกตัวอยู่คนเดียว อ่อนแรงและกดดันจนไม่อยากทำอะไร หล่อนก็เหมือนคนไร้บ้านทั่วไป อยากมาอยู่เกาหลีหรือ? ไม่หรอก! ไม่ได้ต้องการเลย เพราะไม่มีที่ไหนที่เป็นบ้านที่แท้จริงต่างหาก ต้องทนและต่อสู้ เพื่ออนาคต เพื่อไม่ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม และเพื่อให้คนอื่นๆมีโอกาส แต่อีกนานเท่าไหร่กัน?


หล่อนซับน้ำตากับหัวเข่า ร่างกายอ่อนแรงและไม่อยากพบใคร มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการรักษาบ้านให้กับเด็กที่มีแต่คนบอกว่าด้อยโอกาสและเป็นภาระของสังคม ธิชากรยอมให้บ้านซึ่งเป็นอดีตแห่งเดียวที่เหลืออยู่สูญสลายไปไม่ได้หรอก เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่บอกที่มาของความมีตัวตนของหล่อน!



************************



เช้าวันนี้ดูทุกอย่างจะเร่งรีบและกะทันหันไปหมด เทซกเรียกประชุมตั้งแต่เช้าเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่ดีมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ตอนนี้รัฐบาลออกข่าวชัดเจนว่ากำลังมีการแพร่ระบาดของโรคที่ร้ายแรงกว่าโรคซาร์ ตอนนี้ทัวร์ที่จะมาที่เกาหลีได้ถูกสั่งระงับ ซึ่งมีผลกระทบต่อเราอย่างมาก”

เทซกให้เลขาส่งรายงานข่าวที่ได้รับ หน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียด การระบาดของโรคที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ก็ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียชะงักงันไปช่วงใหญ่ คราวนี้โรคร้ายวนกลับมาอีกครั้งและทำท่าจะรุนแรงกว่าเดิม

“สาขาใหญ่ให้เราส่งรายงานพร้อมแผนสำหรับรองรับสถานการณ์แบบนี้โดยด่วน”
ชายหนุ่มนิ่งคิด
“สถานการณ์แบบนี้ แม้กระทั่งรัฐบาลยังแก้เกมส์ไม่ได้”

คิมมูนจุงออกความเห็น หล่อนอยู่มานานพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
“ปัญหาของเราคือถ้าเราขยับตัวไม่ได้ ก็ต้องให้พนักงานออก เพื่อตัดค่าใช้จ่าย ตอนนี้เรายังมีเงินพอที่จะจ่ายค่าชดเชย” ยุนชินเน่เสนอทางออก
“ไม่ ผมยังไม่อยากทำอย่างนั้น เงินที่ชดเชยให้อาจจะพอใช้ในตอนแรก แล้วต่อๆไปล่ะ ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้นจะทำอย่างไร หรือถ้าสถานการณ์ดีขึ้นเราก็ต้องเสียเวลามาเทรนคนใหม่ น่าจะมีหนทางที่ดีกว่านี้สำหรับเรา และพนักงานของเรา”

เทซกปฏิเสธ แม้นั่นจะเป็นวิธีมาตรฐานที่ใครๆก็ใช้กัน ชายหนุ่มเปิดแฟ้มค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นประจำ ในแต่ละเดือน
ธิชากรได้แต่เงียบ เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องของธุรกิจลึกซึ้งพอ ที่ต้องมานั่งในที่ประชุมนี้เพราะโดยตำแหน่ง ทั้งที่ไม่ใช่ผู้บริหาร

“ที่จริง เงินเดือนเป็นค่าใช้จ่ายที่มากที่สุดของเราแล้วค่ะผู้อำนวยการ”มูนจุงบอกสัดส่วนทั้งหมด
“คุณว่าอย่างไรล่ะธิชา?” ชินเน่หันมาถาม คงเห็นว่าหญิงสาวนั่งเงียบอยู่นาน
หญิงสาวขยับตัวพยายามดึงความคิดกลับเข้ามาอยู่ที่เดิม ในขณะที่สายตาทุกคู่มองตรงมา

“ฉัน...ไม่แน่ใจ ว่าจะเสนอดีหรือไม่ ถ้า...หากว่าเราใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายเช่น การลดจำนวนห้องที่เปิด หรือปิดบางส่วน”
หญิงสาวคิดได้เท่านี้จริงๆ เพราะมัวคิดถึงเรื่องอื่นๆ และอาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ได้เผชิญหน้ากับชายหนุ่มตรงๆ
“มันก็พอช่วยได้ แล้วก็เป็นวิธีปกติที่ใช้กัน”
เทซกพูดอย่างใจเย็น
“แต่ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ในเมื่อภาระของเราส่วนใหญ่อยู่ที่ค่าใช้จ่ายพนักงาน ถึงปิดบางส่วน แต่ถ้าพนักงานยังอยู่ เราก็ต้องจ่ายเงินเดือน.....”
“แต่ถ้าคิดจะเก็บพนักงานเอาไว้ก็ต้องทำเรื่องนี้ด้วยนะคะ แล้วต้องทำเลยไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เรายังมีส่วนของการให้สิทธิการลาโดยไม่จ่ายเงินเดือนตามความสมัครใจ”
“คนที่ลาก็จะเป็นพนักงานระดับหัวหน้า พนักงานระดับล่างเงินเดือนน้อยอยู่แล้วถ้าถูกหักก็คงไม่พอกิน”
เทซกเปิดแฟ้มหาช่องทางลดค่าใช้จ่าย
“แล้วถ้าปิดสนามกอล์ฟด้วยล่ะคะ สักส่วนหนึ่งก็ยังดี เพราะสนามกอล์ฟมีค่าใช้จ่ายในการดูแลมากเหมือนกันนะคะ”
ธิชากรอดไม่ได้ที่จะออกความเห็นอีกครั้ง มูนจุงขึงตาเข้าใส่เห็นสัญญาณว่าห้ามพูด
“สนามกอล์ฟเป็นจุดขายของเรานะ แล้วถ้าไม่ดูแล หญ้าในสนามตายหมด จะทำอย่างไร” ชินเน่ถลึงตาเข้าใส่อีกคน ราวกับความคิดของธิชากรเป็นความคิดที่ผิดมหันต์
“แต่ว่า...ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยว สนามกลอล์ฟก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ฉันรู้ว่าหญ้าต้องใช้ปุ๋ยอย่างดี แต่ฉันเห็นว่าหญ้าต้องการน้ำเป็นแหล่งอาหารหลัก ที่สนามของเรามีสระน้ำมากมาย ถึงการใช้น้ำอย่างเดียวจะทำให้หญ้าไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่ตาย พอทุกอย่างคลี่คลายเราก็ค่อยบำรุงใหม่ได้ เราก็ลดค่าใช้จ่ายได้”

“เธอนี่ ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย” ชินเน่ตำหนิธิชากร
มูนจุงเขียนโน้ตเล็กๆส่งมาให้ “คุณเทซกรักสนามกอล์ฟมาก ไม่มีใครกล้าแตะ” ทำให้ธิชากร หน้าแดงแล้วนั่งเงียบ ปล่อยให้คนอื่นๆถกปัญหากัน
เทซกดูจะมีความอดทนเป็นพิเศษ

ชายหนุ่มนั่งฟังทุกคนสรุปปัญหาและเสนอแนะอย่างใจเย็น จนในที่สุดเมื่อทุกอย่างเกือบลงตัว
“ผมคิดว่า เราคงต้องบริการงานแบบเป็นกะ ลด โอที และสวัสดิการพิเศษ อะไรลดได้ก็ขอให้ลด รวมทั้งการเปิดห้องพัก ขอความร่วมมือกับพนักงานให้ช่วยกันประหยัด สำหรับเงินเดือน อนุญาตให้ลางานแบบไม่จ่ายเงินเดือน การลดคนเป็นทางเลือกสุดท้าย อย่างเลวร้ายที่สุดคงต้องขอให้พนักงานลดเงินตัวเองโดยเริ่มที่ผู้บริหารทั้งหมดด้วย ตอนนี้ถ้ามีคนคิดจะลาออกก็ให้อนุมัติ และสำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายสนามกอล์ฟ ผมจะขอลงไปสำรวจดูอีกที แล้วจะต้องหาทางคุยกับสมาชิก VIP ก่อน”

เทซกสรุปในที่ประชุม ท่าทางเขาหนักใจไม่น้อย เขาคงถูกทางสาขาใหญ่กดดันให้แสดงความสามารถในการเสนอแผนงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ



เมื่อออกจากห้องแล้ว ธิชากรจึงเดินตามมูนจุงไปที่ห้องอาหาร
“เป็นอะไรไปนะธิชา พักนี้ดูเธอใจลอยบ่อยมา แล้วก็เงียบ ยิ่งประชุมเมื่อกี้ พี่เห็นตาเธอดูลอยๆ”
“ขอโทษคะ ไม่มีอะไรหรอกพี่มูนจุง เพียงแต่รู้สึกเสียใจที่ฉันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ฉันขาดความรู้เรื่องการบริหารโรงแรมจริงๆ บางทีฉันอาจจะไม่เหมาะกับงานแบบนี้”
ธิชากรพูดไม่ออกถึงการตัดสินใจที่กระชั้นเข้ามา เอกสารฟอร์มลาออกยังในกระเป๋าเสื้อ รอแค่ส่งเท่านั้น

“อะไรกัน! มาพูดแบบนี้ อย่าท้อไปเลย เธอก็ไม่ได้เสนออะไรที่แย่นี่นา คนไม่มีประสบการณ์อย่างเธอ แต่สามารถเสนอความคิดเห็นได้ขนาดนี้ก็ดีถมไป”
ธิชากรทราบว่ามูนจุงปลอบใจ แต่ท้ายประโยคก็มีต่ออีกเล็กน้อย “แต่เสียอย่างเดียว ไม่น่าไปนึกถึงสนามกอล์ฟนั่น”
“ขอโทษค่ะฉันลืมไป อาจเป็นเพราะว่าฉันไม่ได้เล่นกอล์ฟ ก็เลยมองข้ามจุดนี้ไป ไม่เฉพาะผู้อำนวยการ สมาชิก VIP คงไม่สบอารมณ์แน่ถ้าต้องมาเล่นกอล์ฟบนสนามหญ้าที่ไม่สวย”
“เอาเถอะ ไม่รู้เหมือนกันว่าพนักงานคนอื่นจะเป็นอย่างไรM คงต้องลำบากกันแน่นอน ที่นี่เป็นเมืองชายทะเล แต่คนส่วนใหญ่ที่นี่ก็เป็นชาวประมง เกิดเรื่องแบบนี้ แล้วลูกหลานจะยังมาตกงานอีก คงลำบากกันแย่”
“ฉันไม่รู้ว่าคนจะเข้าใจหรือเปล่า?”
“ไม่ทราบเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ต้องประกาศสถานการณ์ก่อน บ่ายนี้จะไปร่างประกาศและให้คุณเทซกเซ็น”


มูนจุงเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล ต้องเป็นด่านแรกที่ต้องเจรจากับพนักงาน ธิชากรภาวนาขออย่าให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม แค่นี้เป็นสิ่งที่พอจะทำได้

ตกบ่ายแก่ๆ พนักงานส่วนใหญ่ยกเว้นที่ต้องมีหน้าที่ดูแลแขกต่างได้รับเชิญให้ไปประชุมกันที่โรงอาหาร ผู้ที่เรียกประชุมคือผู้อำนวยการ มูนจุงโทรมาแจ้งว่าชายหนุ่มอยากจะแจ้งกับพนักงานเอง

ใจหนึ่งธิชากรไม่อยากให้เขาไปเลย หญิงสาวเคยรับรู้สถานการณ์นี้ เคยมีข่าวว่าบางแห่งมีการประท้วงกันวุ่นวาย และหาข้อยุติไม่ได้ เกิดความเสียหายมากมาย บางแห่งไม่มีปัญหากระทบมากนัก แต่ใช้สถานการณ์เป็นข้ออ้างในการให้พนักงานออก หญิงสาวเกรงว่าก่อนที่เทซกจะพูดจบ อาจจะมีการประท้วงเกิดขึ้นก็ได้ แต่หญิงสาวตัดสินใจที่จะไป อย่างน้อยเพื่อยืนเคียงข้าง เพราะหล่อนเชื่อใจ เหมือนกับประโยคแรกที่เทซกกล่าวคือไม่ต้องการให้คนออก และก็หวังว่าพนักงานจะเชื่อใจเขา และอาจ...จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่จะได้ทำเช่นนั้น

สิ่งที่คิดว่าจะเกิด ก็ไม่เกิด เทซกเริ่มต้นด้วยการกล่าวขอโทษพนักงาน และแจ้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เขาบอกถึงวิธีแก้ และขอความร่วมมือจากพนักงาน มีไม่กี่คนที่มีอาการต่อต้าน แต่เห็นชอยซองอึนเข้าไปประกบให้ทุกอย่างสงบ นักเลงเก่าอย่างเขาพอทำให้พวกพนักงานระดับล่างสงบลงได้มากทีเดียว ดูเหมือนว่าซองอึนเองก็เต็มใจทำทุกอย่างเพื่อเทซก นับว่าชายหนุ่มช่วยคนไม่เสียเปล่าจริงๆ



ท้ายของการประชุม เทซกไม่ได้ให้พนักงานต้องตัดสินใจในวินาทีนั้น เขาให้ทุกคนไปปรึกษาทางบ้านและเสาะหาข้อมูลก่อนที่จะลงรายชื่อยินยอมต่างๆ พนักงานจำนวนไม่น้อย รวมทั้งชินเน่ มูนจุงและธิชากร ที่ลงชื่อยินยอมก่อนเป็นพวกแรกโดยมีรายชื่อของเทซกอยู่คนแรกสุด ที่เหลือไม่มากนักก็คงนำไปคิดทบทวน
เอกสารที่พนักงานเซ็นชื่อยินยอม ถูกส่งมาให้ชายหนุ่ม
“เกือบหมดเลยนะคะ”
มูนจุงยิ้มอย่างดีใจ เมื่อเห็นลำดับทั้งหมด
“ผมอยากให้คุณมูนจุงล่ารายชื่อที่เหลือ แล้วคุยกับแรงงานให้เรียบร้อย คงไม่ยากถ้าจะให้เหตุผลกับพวกเขา ส่วนชินเน่...พี่อยากจะให้ไปเช็คกับทัวร์ชั่วโมงต่อชั่วโมง ว่ามีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขของคนที่ยกเลิกการมาโรงแรมของเราเท่าไหร่? จะได้จัดเปิดห้องพักได้ทันเวลา ส่วนผมจะนัดสมาชิก VIP ที่อยู่ที่เมืองนี้เพื่อขอความร่วมมือ”
ชายหนุ่มสั่งงานคนนั้น คนนี้วุ่นไปหมด ซึ่งทุกคนก็รับคำโดยดี
ธิชากรก็รอรับคำสั่งอยู่เหมือนกัน อย่างน้อย อยากมีส่วนช่วยบ้างก็ยังดี
“ผู้อำนวยการค่ะ จะให้ฉันทำอะไรบ้างคะ?”
เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ยอมคุยด้วยโดยดี หล่อนสบตากับเขาอย่างเก้อๆ ที่จริงคงที่เริ่มเมินชาก่อนน่าจะเป็นธิชากร และเทซกคงรับรู้ได้เพราะเป็นครั้งแรกที่เขามองตอบอย่างเพ่งพิศและมีคำถามนอกเหนือไปจากเรื่องที่เป็นประเด็น
“คุณ...ดูแลแขกตามปกติและช่วยคุณมูนจุงไปก่อน”
ธิชากรรับคำแล้วรับเลี่ยงไปหามูนจุงเสีย หญิงสาวกลัวว่าเขาจะค้นหาเจอบางสิ่งบางอย่าง สำหรับเขา คงเป็นเรื่องธรรมดาที่พนักงานคนหนึ่งที่เคยทำงานร่วมกันจะต้องลาออก อาจจะใจหายเล็กน้อยตามปกติ แต่คงไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับหล่อน

หญิงสาวยอมรับสภาพตัวเอง โดยการตามมูนจุงไปคุยกับพนักงาน หว่านล้อมและใช้เหตุผลที่ถูกต้อง พนักงานส่วนที่ไม่ต้องการลงชื่อต่างก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป บางคนที่บ้านลำบาก บางคนก็เกิดจากการที่ไม่ต้องการรับรู้ปัญหาขององค์กร ซึ่งเป็นปกติไม่ว่าชนชาติไหน พวกหล่อนเกลี้ยกล่อมเพิ่มได้อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือกลายเป็นส่วนที่น้อยมาก มูนจุงจึงจะใช้วิธีให้คนหมู่มากช่วยกันเกลี้ยกล่อม ซึ่งต้องทิ้งเวลาอีกสักพัก

หญิงสาวเห็นผู้สูงวัยกว่าอ่อนล้าเมื่อเสร็จสิ้นจากภารกิจ
“เสร็จเสียที คราวนี้โรงแรมของเราต้องกลับมาเงียบเหงาอีกแล้ว ไม่ว่าแขกจะเชื่อมั่นอย่างไร? แต่บางที คนเราก็ไม่อยากเสี่ยงหรอกนะ”

“งานก็คงจะน้อยลงใช่ไหมคะ?”

“อือม์... คงต้องเริ่มที่การหยุดแบบ Without Pay”
“แล้วจะทำได้ไหม? ถ้าลาออกล่วงหน้า 1 เดือน และ ลาแบบไม่ขอรับเงินเดือนอีก 15 วัน”
“มันก็ ทำได้อยู่แล้ว ธิชา! หวังว่านี่คงไม่ใช่แผนส่วนตัวของเธอหรอกนะ..”
มูนจุงทำตาดุ เข้าใส่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเป็นคนหนึ่งที่อ่านหล่อนออกและรับรู้กันได้ ธิชากรดึงซองเอกสารออกมาวางไว้อย่างเกรงใจ แต่เวลาที่เหลือมันน้อยลงไปทุกขณะ วรวรรณส่งข่าวมาบอกว่าคงต่อรองกับเจ้าของที่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกหล่อนจะต้องรีบจัดการย้ายออกจากบ้านโดยเร็วที่สุด การส่งใบลาออกสำหรับระดับของหญิงสาวอาจทำได้สองทางคือส่งผ่านผู้จัดการแผนกบุคคล หรือกับผู้บังคับบัญชาโดยตรงซึ่งก็คือฮันเทซก สิ่งที่ยอมรับกับตัวเองคือหล่อนไม่เข้มแข็งพอที่จะทำอย่างหลัง

“นี่อะไร? หมายความว่าอย่างไร?”
ผู้อาวุโสกว่านั่งขมวดคิ้ว ไม่ยอมแตะต้องซองสีขาวตรงหน้า มูนจุงคาดคั้นเมื่อเห็นหล่อนนั่งเงียบ หน้าจืด
“เธอเห็นพี่เป็นพี่หรือเปล่านะ? ธิชา เธอจะมาทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
“มันเป็นความจำเป็น ค่ะ ฉันมีปัญหาที่ทางเมืองไทย ต้องรีบกลับไปจัดการ แต่ถ้าลาธรรมดา ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะได้กลับมาหรือเปล่า?”
หญิงสาวบอกคร่าวๆ เรื่องที่ประเทศไทย พยายามรวบรวมเรื่องราวให้สั้นที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเล่าให้คนฟังเห็นภาพ
แต่มูนจุงยังไม่รับจดหมายลาออกง่ายๆ
“พี่เข้าใจ แต่เธอทำแบบนี้ไม่ได้หรอกนะธิชา เธอควรจะคุยกับคุณเทซกนะ เขาไม่ใช่คนใจร้าย และเขาอาจจะมีทางออกที่ดีกว่านี้”
“ฉันทราบค่ะ แต่ว่า...ฉันก็ไม่ได้อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับที่นี่ อีกอย่าง...บอกตามตรงนะคะ ใจของฉันไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีกแล้ว”

“เธอพูดเหมือนกับ ไม่เห็นว่าที่นี่มีอะไรที่จะต้องผูกพัน”
ผู้อาวุโสกว่าบอกอย่างตำหนิแกมน้อยใจ ใครกันที่ว่าคนเกาหลีไม่มีน้ำใจกับคนต่างชาติ ธิชากรคนหนึ่งที่ขอคัดค้านหัวชนฝา หล่อนได้รับน้ำใจจากคนรอบตัวตลอดเวลา
“พี่มูนจุง!”
ธิชากรรีบดึงมือคนที่หล่อนสนิทด้วยตั้งแต่มาที่ซกโซวันแรก และได้รับความปรารถนาดีจากอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้น ความปรารถนาดีจากคนรอบข้างมักเป็นเกราะป้องกันให้หล่อนปลอดภัยและแข็งแกร่งเสมอมา
“ฉันแค่ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้พี่มากไปกว่านี้เท่านั้นเอง ทั้งพี่ทั้งผู้อำนวยการต่างก็กำลังมีเรื่องใหญ่ที่ต้องกังวลใจมากกว่าเรื่องของฉัน อีกอย่าง...เรื่องของฉันเป็นปัญหาส่วนตัวและไม่อยากจะให้เป็นเรื่องเอิกเกริก”
“แต่พี่...เฮ้อ เรื่องของเธอเป็นเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวข้องได้ยากมาจริงๆเสียด้วยสิ เธอควรต้องยื่นสิ่งนี้ให้กับคุณเทซกเอง เขาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง เธอปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องส่วนตัวกับคุณเทซก แบบนี้ .. พี่ว่าเธอทำไม่ถูกนะ”
“แต่...” ธิชากรมีสีหน้าคิดหนัก เขาอาจจะหาว่าหล่อนหนีเอาตัวรอดก็ได้
“ถามจริงๆเถอะ ที่เธอไม่ไปยื่นจดหมายกับคุณเทซกนี่ เพราะว่าโกรธกับคุณเทซกหรือ? ระยะนี้พี่เห็นเธอห่างๆกับเขา คุณเทซกเค้ายังมาบอกพี่ว่าเธอดูเงียบไป บ่นว่าเบื่อที่จะถามเธอ แล้วเขาก็งานยุ่งมาก ปกติ...เขาชอบกระแตงเธอไปไหนมาไหนนี่นา”

“ไม่มีอะไรหรอก เขาคงเบื่อลูกไล่อย่างฉันแล้ว”

“นั่นแหละ เอาจดหมายให้คุณเทซกเถอะ พี่จะไม่คัดค้านการตัดสินใจของเขา ทางที่ดี เธอน่าจะขอลาพักก่อน อย่างน้อยเด็กๆที่เมืองไทยก็ยังต้องการรายได้จากเธออย่างต่อเนื่องหลังจากเรื่องต่างๆเรียบร้อย อยู่ที่นี่...โอกาสเธอหาเงินได้มากกว่าที่เมืองไทยมากนะ แล้วขอบอกก่อน มาถึงขึ้นนี้แล้ว อย่าคิดว่าพี่กับพี่จีวันเป็นอื่น พี่โกรธจริงๆนะ”
หญิงสาวได้แต่ยิ้มรับ ในที่สุดก็ต้องแอบแนบใบลาไปกับเอกสารเสนอเซ็น


ผลที่ออกมาก็คือการ “ไม่อนุมัติ” ผ่านมาทางมูนจุง


“เขาไม่ได้มาถามพี่เลย” มูนจุงปฏิเสธ เมื่อถูกถามเรื่องเอกสารที่ส่งคืนมา
“พี่คิดว่าเขาอยากได้คำอธิบายจากเธอ เธอเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างไรก็ต้องอ่อนเข้าไปหานะ“
มูนจุงไม่เข้าใจหรอก ว่ามันยากเย็นเพียงใดกับการที่ต้องไปบอกเล่าเรื่องที่ต้องจากลาแบบนี้ อีกด้านหนึ่งก็เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เกิดเรื่องที่บ้านอย่างนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เป็นการบังคับให้ไปเริ่มต้นที่อื่นใหม่ก่อนที่จะถลำไปลึกกว่านี้
ซองจดหมายสีขาวยาวถูกเคาะลงบนโต๊ะก่อนที่จะถูกร่อนไปที่ถาดสำหรับรอพิจารณา ฮันเทซกอ่านเนื้อความในจดหมายภาษาอังกฤษซึ่งมีความกระชับ ความขุ่นใจเริ่มต้นตั้งแต่จดหมายลาพักร้อนที่ส่งมาตั้งแต่ตอนแรก ชายหนุ่มส่งฉบับนั้นคืนผ่านมูนจุงไป นี่...คงประชดกันถึงได้ส่งจดหมายลาออกตามมาอีก เขาอยากทราบเหตุผลที่ยาวกว่านี้แต่ก็ไม่อยากเสียหน้าไปถาม


เดี๋ยวจะหาว่าง้อ!


แต่...เจ้าหล่อนคงไม่ทราบอีกว่าที่ไม่อนุมัตินั่นเพราะตอนนี้ประเทศที่ได้รับผลกระทบเรื่องโรคระบาดมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย ไม่อยากให้เสี่ยง...ก็เท่านั้น เทซกเถียงกับตัวเอง เพราะลึกๆ คือความกลัว กลัวว่าถ้าปล่อยให้กลับบ้านไปแล้ว เกิดหล่อนไม่กลับมาอีกเล่า คง...เหงา..พิลึก

“คุณเทซกคะ” มูนจุงทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาทวงเอกสารอีกแล้ว

“มีคนมาถามเรื่องใบลาค่ะ คุณเทซกพิจารณาแล้วหรือยังคะ?”
คนที่เป็นนายหน้าออกจะเกรงใจเมื่อเขาทำเป็นไม่ใส่ใจว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?

“คุณเทซกคะ?”
“ถ้าผมไม่ตอบ เขาก็ตั้งใจจะไป ไม่ใช่หรือ?”

“ธิชาไม่ใช่คนไร้มารยาทขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นให้มาทวงกับผมเองสิ”

ชายหนุ่มลากปากกาสนใจกับเอกสารอื่น
“อะไรกันคะ? พวกคุณสองคนเล่นอะไรกันอยู่? คนหนึ่งพยายามยัดเยียดจดหมายลาผ่านฉัน อีกคน....ไม่อนุมัติก็มาผ่านฉันอีก อย่างนี้ฉันลำบากใจนะคะ!” คราวนี้มูนจุงโวยวายบ้าง
“ก็บอกแล้วไง!....ให้มาทวงกับผมเอง”เขาบอกประโยคเดิม
“คุณเทซกคะ ธิชากรมีเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาที่บ้าน เขาไม่กล้าลาคุณตรงๆ เพราะเกรงว่าจะหาว่าทิ้งกัน แล้วอีกอย่างไม่ทราบว่าพวกคุณมีอะไรกันน๊า? ปกติไม่ใช่อย่างนี้”

“ผมก็ไม่ทราบ จู่ๆ ทางโน้นก็ไม่พูดกับผมก่อน ทำเป็นมึนตึง เฉยชา ผมเป็นผู้อำนวยการนะ จะให้ไปง้อเด็กได้อย่างไร?”
เทซกถามเสียงสูง วางปากกา เอื้อมไปหยิบซองจดหมายมาคืนให้

“นี่....ดูสิ เรื่องสำคัญแบบนี้ มาทำสื่อสารกันโดยเอกสาร ผมไม่อยากง้อหรอก ช่วยรับฝากไปบอกให้ด้วย ถ้าหนีไปโดยไม่ได้รับการอนุมัติจะถูก Backlist ไม่ให้กลับมาทำงานที่เกาหลีได้อีก ผมจะทำจริงๆ คุณทราบใช่ไหม? ”
เทซกยังไม่ได้สะสางเรื่องที่มาทำหมางเมินใส่กัน เคยมีคนทำแบบนี้ที่ไหนกัน? เห็นเป็นคนโปรดเข้าหน่อยมาทำแผลงฤทธิ์เข้าใส่ได้อย่างไร?

“ถึงผมจะโปรดปรานขนาดไหน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมาทำอย่างนี้ได้ ถ้าไม่คิดอยากจะอยู่ต่อก็เก็บของไปเลย! เมื่อไหร่ก็ได้! ไม่ต้องมารอใบอนุมัติให้เสียเวลา ...แค่คำอนุมัติ มันไม่ได้มีอำนาจที่จะฉุดรั้งใจคนไว้ได้หรอก!”
เขาพูดอย่างคนแล้งน้ำใจ มูนจุงค้อน อยากจะต่อว่ากลับกลับไปแรงๆ พอรู้...... เกิดอาการพาลขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าคู่กรณีอีกคนได้ฟังจากปากคงเสียใจแย่
“เข้าใจแล้วค่ะ จะจัดการให้ แต่อย่าไปว่าอะไรแรงๆนะคะ พักนี้จิตใจของธิชาไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ เค้าเองก็มีเรื่องหนักของเค้า หนักมากทีเดียวจาก...ที่ประเทศไทย...”

“ฮื่อ!”
คำตอบคล้ายไม่ใส่ใจนัก ทำเป็นเว็นเอกสารเอกสารบนโต๊ะต่อ
หญิงสาวลุกขึ้น ขอตัวกลับ ขณะที่กำลังจะก้าวขาออกจากห้อง
“คุณมูนจุง..... นี่!“

ชายหนุ่มวางมือจากการปากกา กระแทกตัวกับพนักเก้าอี้เต็มแรงด้วยความขัดใจ
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว” ใบหน้าคมสันงอง้ำ
“ช่วยบอกเหตุผล.....ของธิชาหน่อยสิ ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเจอโรคระบาด แล้วตอนนี้ก็ลามมาประเทศเรา ถ้าธิชาจะต้องเสี่ยงกลับไป ผมก็อยากให้การเสี่ยงนั้นคุ้มค่าที่สุด”

คนฟังพยายามไม่ขยับยิ้ม “
ได้สิคะ ท่านผู้อำนวยการ”
หล่อนเดินกลับเข้ามานั่งหน้าโต๊ะของชายหนุ่มอีกครั้ง นึกว่าจะไม่ถาม ไม่สนใจเสียอีก ที่แท้....!

หลังจากที่มูนจุงเข้าไปพบเทซกได้ไม่นาน คนที่ต้องไปหาฮันเทซกตามคำสั่งของมูนจุงก็หน้ามุ่ย
“ลาออกจะคือลาออก ทำไมฉันต้องไปอธิบายอีกล่ะคะ? มีที่ไหนกัน...พนักงานลาออกก็ไม่ให้ลา? ก็เขียนเหตุผลชัดเจนอยู่แล้วว่าจะกลับบ้าน”


พอถึงคราวดื้อ ธิชากรก็เหมือนอีกคนหนึ่ง มูงจุงเห็นด้วยกับเทซกว่าหญิงสาวต้องไปคุยกับเขาโดยตรง ไม่ว่าจะด้วยความเกี่ยวข้องกันเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวก็ตามที
คนนอกส่วนหนึ่งเห็นอยู่แล้วว่าเทซกให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ และสำหรับมูนจุง เรื่องส่วนตัวที่ผูกพันกันแน่นหนาที่ลากกันไปลากกันมาอย่างนั้นจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันคงไม่ได้

“พูดก็พูดเถอะนะธิชา พี่เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องทำแบบนี้ แค่ให้เหตุผลดีๆ เขาจะคัดค้านได้อย่างไร นี่..เพราะเธอไม่เดินไปหาเขาต่างหาก..... เธอต้องมีอะไรในใจแน่ๆ”
“พี่มูนจุง...เฮ้อ!”
ธิชากรถอนหายใจยาว จะบอกว่ากลัวใจตัวเองได้อย่างไร ถ้าเกิด....ตัดใจไม่ได้อย่างที่วรวรรณปรามาศเอาไว้ก็แย่สิ อีกอย่างตั้งแง่เอาไว้ไม่น้อย กลับตัวไม่ทันนี่นา

“นี่! ดันทุรังมากๆ เกิดเขาโมโหขึ้นมาให้ทางสถานทูตแบล็คลิสส์เธอจะลำบากนะ ถึงเธอไม่คิดจะกลับมาอีก ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น เกิดอะไรไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เธอยังมีโอกาสได้กลับมานะ”
เหตุผลของผู้สูงวัยกว่าทำให้ต้องพยักหน้ารับ ครั้งนี้ดูเหมือนจะเอาแต่ใจตัวเองและไร้มารยาทเอามากๆ ทั้งๆที่ปกติจะคิดถึงคนอื่นเสมอ คง...ต้องทำอย่างที่ผู้สูงวัยกว่าว่าไว้ ด้วย..ความ...หนัก...ใจ



***********


เทซกไม่แปลกใจเลยที่จางซงหยวนมาบอกว่าธิชากรมาขอเข้าพบ ชายหนุ่มถอนหายใจ แม้กระทั่งจะโทรศัพท์มาโดยตรงยังไม่ยอมทำ...อะไรกันนักหนา?
“คุณธิชามาขอเข้าพบครับ รออยู่ข้างนอก”
“ผมยังติดงานอยู่ ให้มาใหม่ก่อนเลิกงานสัก 5 นาทีนะ”
สักนิดเถอะน่า ขอแกล้งสักนิด ใครใช้ทำให้เขารอก่อน?



ห้านาทีก่อนเลิกงาน เทซกเลิกทำอะไรเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลาก่อนที่จะเดินออกไปข้างนอก จางซงหยวนกำลังเก็บของบนโต๊ะทำงานเพื่อกลับบ้าน เลขาหนุ่มส่งสายตาไปยังที่นั่งรอเข้าพบ ร่างบางๆ รออยู่ก่อนแล้ว
“รอตั้งแต่แรกล่ะครับ ไม่ได้ไปไหน”
ซงหยวนรายงาน คงกลัวถูก “เบี้ยว”เหมือนครั้งก่อนๆ
คนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นชายหนุ่ม
เทซกใจหายเมื่อเห็นใบหน้านวลไร้แววสดใสผิดจากปกติ รู้สึกผิดขึ้นมา

“ผู้อำนวยการคะ ขออนุญาต…” หางเสียงห้วนสั้น หน้าตาไม่ยินยอมพร้อมใจ บ่งบอกว่าเจ้าตัวยังไม่ละพยศเท่าไหร่
“ตามผมมาก่อนสิ” ร่างสูงเดินนำหน้าออกไป
หญิงสาวได้แต่สบตาให้กำลังใจของซงหยวนก่อนจะเดินตัวลีบตามไป แผ่นหลังของเขากว้างดีนะ คง..ไม่ได้กลับมาเห็นอีกแล้ว หญิงสาวกลั้นใจ มองตามอิริยาบถของเขาจากด้านหลัง ก้าวเท้าช้ากว่า เพื่อที่จะได้มีโอกาสเก็บความทรงจำเอาไว้ในใจ เอาเถอะน่า...ต้องจากกันอยู่แล้ว ... ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หล่อนก้าวเข้าไปในลิฟต์
“ผู้อำนวยการคะ!”

เทซกทำเฉยทำให้ต้องเก็บปากเก็บคำอีกครั้ง พอออกจากลิฟต์ ก็ต้องวิ่งตามขายาวๆที่เดินทิ้งห่างอย่างจงใจ พนักงานกลุ่มที่ทำงานประจำเช้าเย็นต่างทยอยกันขึ้นรถกลับ ทำท่าจะทักทายกันตามความคุ้นเคย หากพอเห็นผู้อำนวยการ เดินหน้าเคร่งโดยมีธิชากรรีบเร่งตามต้อยๆ ต่างคนต่างกระจัดกระจายไปคนละทาง พร้อมกับสายตาที่มีคำถาม ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นตรงที่เทซกเดินตรงไปยังบ้านพัก ที่ตั้งอยู่บนยอดเนิน ต้นไม้สองข้างทางร่มรื่นและสมกับเป็นที่พักส่วนตัวของผู้บริหาร


หญิงสาวหยุดรีรอที่เทอเรสด้านหน้า เมื่อเขาไขกุญแจ
“เข้ามาสิ” คนพูดหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ

“ไม่รีบเข้ามา ถ้ามีคนเห็นเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่โตนะ ผมไม่เดือดร้อนหรอก แต่ไม่อยากอธิบายกับใครให้เมื่อยปาก”

เขากลัวเรื่องนี้ แต่ธิชากรกลัวมากกว่านั้น จะอธิบายให้ใคร? คงมีคนกล้ามาถามตรงๆหรอก! ในที่สุดต้องยอมเดินเข้าไปข้างใน นานๆจะได้เข้ามาสักที หากแทบทุกครั้งมักจะมีคนอื่นอยู่ด้วยเสมอ นี่เป็นถิ่นของเทซก ถ้าเป็นที่ในเมืองสิ... ธิชากรจะไม่กระดากใจเท่านี้เลย
ข้างในสะอาดสะอ้านเพราะหัวหน้าผู้ดูแลบ้านพักแขกระดับสูงอย่างคังฮี เครื่องเรือนสีขาวนวลทำให้ดูสบายตาไปอีกแบบ หญิงสาวยืนหมุนไปมาอยู่กลางห้อง
“นั่งก่อนสิ....ดูทีวีไปด้วยก็ได้”

ไม่พูดเปล่าเทซกกดรีโมทเปิดให้ แล้วยังหยิบหมอนอิงกำมะหยี่วางให้บนโซฟายาว
“นั่งรอก่อน ผมขอไปทำธุระส่วนตัวสักประเดี๋ยว”
“.....แต่........ผู้อำนวยการคะ” หญิงสาวตาโต “..เรื่องของฉันแค่นี้ ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ”
หญิงสาวพยายามอธิบายแต่กลับถูกกดลงไปบนกองหมอนนุ่มๆที่วางอยู่รายรอบ จากนั้น ร่างสูงก็เดินขึ้นบันไดหายไป
“ไม่อยากจะเชื่อเลย”

บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ มีที่ไหนกันเนี่ย?ให้พนักงานมานั่งรอแล้วตัวเองไปอาบน้ำ ผู้อำนวยการแบบนี้!
ธิชากรมองค้อนขึ้นไปข้างบน เผลอหาวขึ้นมาอีกแล้ว พักนี้นอนไม่หลับ ฝันไม่ดี แล้วยังต้องมาทรมานสังขารรอเจ้านายให้พร้อมอีก

เขาแกล้ง! เอาเถอะ จะให้แกล้งจนหนำใจ เผื่อว่าอีกหน่อย...จะไม่มีโอกาส ร่างบางๆเริ่มเอนตัวพิงหมอน ทีเขา..ยังไปนอนที่บ้านในเมืองได้ คราวนี้หล่อนจะเอาคืนบ้าง... ไม่เห็นแปลก โซฟาทั้งใหญ่ทั้งกว้าง สุดแสนจะสบาย ไม่รู้เหมือนกัน เผลอหลับไปไม่รู้เรื่อง


เทซกเดินไปเดินมาในห้องพักใหญ่ ก่อนที่จะโผล่หน้าออกไปแอบดูคนที่กำลังนั่งหน้ามุ่ย สักพักเมื่อเห็นว่าเอนตัวลงบนหมอนอย่างระแวดระไว เขาถึงกลับเข้าไปอาบน้ำ ลงมาถึงเห็นคนรอหลับปุ๋ยไปเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบผ้าห่มเนื้อเบามาห่มให้พร้อมจัดท่านอนให้ใหม่ ให้สบายขึ้น เจ้าตัวลืมตาบ่นพึมพำอะไรไม่ทราบแปลไม่ออก แล้วก็หลับต่อ เทซกเขี่ยเส้นผมให้เข้าที่ ตาแดงหน้าเซียวบ่งบอกถึงความกังวลใจลึกล้ำ คงต้องปล่อยไป...แล้วถ้าไม่กลับมา?.......ถึงอย่างไร? ...คง.....ต้องปล่อยไป


***********


กลิ่นหอมของไข่เจียวทำให้ธิชากรลุกขึ้นมางงๆ หญิงสาวมองไปรอบๆ รายการโทรทัศน์เปลี่ยนไปแล้ว ข้างนอกหน้าต่างกลายเป็นกลางคืน มีแสงไปจากโคมไฟทางเดินเป็นจุดๆ รู้สึกขายหน้าเหมือนกันที่เผลอตัวหลับไป ผ้าห่มยิ่งทำให้นอนสบายไปใหญ่ หล่อนรีบสะบัดหน้าเตือนตัวเองไม่ให้ใจอ่อนกับความอ่อนโยนที่ได้รับ “อย่าคิดเข้าข้างตัวเองเชียว” เตือนตัวเองก่อนจะพับผ้าห่มแล้วเดินไปในครัว


เทซกหันมายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครมายืนแอบอยู่ที่ประตูครัว ธิชากรมองเขาในชุดกันเปื้อนตาไม่กระพริบ ตะหลิวกับกระทะช่วยเสริมให้ดูเป็นเชฟมืออาชีพ ถ้าเติมหมวกอีกใบล่ะใช่เลย! ส่วนอีกฝ่ายก็นึกขำที่มีคนหัวยุ่งมายืนดู มองเห็นอดีตเด็กหญิงหน้าตาเกรอะกรัง
“เป็นคนที่ไม่น่ารักเอาเสียเล้ย! ตอนเป็นเด็กคงน่าเกลียดชะมัด” เทซกส่ายหน้า
“หิวล่ะสิ ไปล้างหน้าก่อนไป๊! แล้วค่อยมาทานข้าว”

คำตอบคือถูกย่นจมูกเข้าใส่ ก่อนที่จะเดินไปล้างหน้าตามคำสั่ง กลับมาอีกที หน้าตาสะอาดขึ้น ผมยังคงยุ่งเหยิงเหมือนเดิม ไม่เห็นรักสวยรักงามเหมือนคนอื่น
ชายหนุ่มจัดจานชามเรียงให้ไม่ถือว่าเป็นถึงเจ้านาย ทำให้ตาใสๆมองอย่างเต็มตื้น
หญิงสาวรู้สึกท้องไส้ร้องโครกครากทันทีที่กลับเข้ามาในครัว แค่ไข่เจียวร้อนๆ หรือที่บางคนเรียกว่าออมเล็ต กับน้ำซุปก็ทำให้ตาลายได้เหมือนกัน

“นี่แหน่ะ ซุป คังฮีเอามาให้เมื่อครู่ ส่วนไข่เจียวนี่ฝีมือของผม”
เขาชี้พร้อมเลื่อนของมาให้
“ไม่เห็นน่ากินสักนิด!”
หล่อนทำเห็นปรายตา ทำให้คนตรงข้ามตาเขียว ดุลั่น
“นี่! เห็นว่านอนหลับปุ๋ย ตื่นขึ้นมาน่าจะหิว ยังจะมาวิพากษ์วิจารณ์กันอีก ปล่อยให้หิวเสียให้เข็ดดีกว่ามั้ง?”
“อย่านะคะ! อย่านะ!”
หล่อนรีบลากจานมาไว้ใกล้ตัวเมื่อเขาแกล้งเอื้อมมือมาจะดึงจานไป
หญิงสาวยิ้มประจบรีบตักข้าวกับไข่เจียวร้อนๆเข้าปาก หิวอย่างนี้อะไรก็ต้องอร่อยไปเสียหมด
เทซกรินนมสดให้อีกแก้วใหญ่

“ไม่ไหวแล้วค่ะ ผู้อำนวยการ”
“เอาน่า จะเลี้ยงให้จุกไปเลย ...จะได้จำไว้ ว่า มื้อนี้ผู้อำนวยการทำกับข้าวเลี้ยง จะได้รีบกลับมาเร็วๆเมื่อเสร็จธุระ”
ชายหนุ่มทอดเสียงอ่อน ทำให้ธิชากรเกิดอาการตื้นตัน ก้มหน้าตักอาหารได้อีก 2-3 คำ น้ำตาก็ไหลออกมา
“อะไรกัน? จู่ๆ ก็บ่อน้ำตาตื้นขึ้นมา” ขาพยายามฝืนล้อเลียน ทั้งๆ จริงก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน
“ไหน?.....แม่คนขี้แย” มือเรียวยาวแตะแก้ม แล้วใช้กระดาษซับน้ำตาให้เบามือ “ปกติเก่งนักนี่นา...”

“ก็...ผู้อำนวยการ ปกติก็ไม่ใจดีอย่างนี้นี่คะ”
ธิชากรตอบแก้เก้อ รู้สึกผิดที่ไปทำมึนตึงกับเขาก่อน รับรู้กันอยู่แล้วว่ากำลังเล่นแง่กัน แล้วนี่....มาทำเป็นดีด้วยแบบนี้ ตั้งตัวไม่ทันจริงๆ
“ผมหน่ะนะ ใจดีเสมอ ขึ้นอยู่ว่ากับใคร? แล้วก็เมื่อไหร่? เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มแกล้งบอกเสียงห้วน
“ฉันโชคดีมากเลยนะคะที่ผู้อำนวยการทำกับข้าวให้”

.....มื้อสุดท้าย

“ถ้าอย่างนั้นก็....จัดการเสียให้หมดนะ”

เทซกเลื่อนจานให้ใหม่ ซึ่งหญิงสาวก็รับประทานอย่างว่าง่าย จนกระทั่งเรียบร้อย หน้าตาผ่องใสขึ้น
“ผมไม่อยากให้คุณไปเลยนะธิชา ที่ไม่อนุมัติเพราะทางโน้นมีโรคระบาด ยังไม่มีข่าวว่าควบคุมได้แล้ว มันเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไปทีจะเดินทาง”
ธิชากรรู้สึกผิดซ้ำสองที่เข้าใจผิดยกใหญ่ว่าถูกแกล้ง แล้วนี่...เทซกยังไม่เอ่ยเรื่องที่ถูกหมางเมินไม่รู้ตัว ตอนนี้... คนที่เป็นต้นเหตุอย่างมินโฮกลับเป็นพระเอกขี่ม้าขาวไปช่วยวรวรรณเรียบร้อยแล้ว เขา...คงไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ

“ขอโทษค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากทิ้งทางนี้ เหมือนคนเอาตัวรอด แต่ฉันมีความจำเป็นต้องไปนะคะ ที่บ้านของฉันกำลังเดือดร้อน มีคนเขาอยากให้น้องๆที่ พวกฉันดูแลอยู่ย้ายออกจากบ้านด่วน แล้วบ้านนั้นเราก็ไม่มีสิทธิ์จริงๆ คนที่พอจะเป็นเสาหลักได้ มีฉันกับวรวรรณ ตอนนี้ ตอนนี้เขากับสามีก็ไปเมืองไทยแล้ว ฉันควรจะรีบตามไปโดยเร็ว ไหนจะหาที่อยู่ใหม่ ไหนจะไปให้กำลังใจกัน?”
หญิงสาวเล่าให้ชายหนุ่มฟังช้าๆโดยละเอียด
ชายหนุ่มตั้งใจฟังด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

“เรื่องแบบนี้ ผมห้ามไม่ได้หรอก มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล เป็นความจำเป็นที่ต้องไป อีกอย่างสถานะการณ์ที่นี่มันก็พอไหว เพราะยังไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรต่อไป?”
หญิงสาวอยากให้เขาคัดค้านสักนิด ดึงรั้งไว้สักหน่อย หาก...ถึงอย่างไรต้องยืนยันว่าต้องไปอยู่แล้ว จะไปหวังทำไม?
“แล้ว จะไปนานเท่าไหร่? หนึ่งเดือน? หรือสองเดือนฦ”

“ยังไม่ทราบเลยค่ะ” ธิชากรตอบเสียงแผ่ว ทั้งที่ทราบอยู่เต็มอก
“ลาพักร้อนแบบ WithoutPay ไปก่อนก็แล้วกัน แล้วรายงานคุณมูนจุงเป็นระยะๆ”
“แล้วถ้า...จะไม่กลับมา...”
“เอาไว้ ว่ากันทีหลัง ดีกว่า...นะ”
เขาตอบเสียงเรียบ อยากรั้งร่างบางๆมาแนบอกเพื่อปลอบประโลม หากที่ทำได้คือการเอามือวางศีรษะของอีกฝ่ายแล้วตบเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นหันหลังให้เสีย

ธิชากรมองตามหลังนิ่งเงียบเพราะไม่ทราบจะหาคำพูดใดมาบรรยายความรู้สึกที่มีอยู่ บางที การไม่พูดอะไรเลยดูจะเป็นการดีที่สุด

มูนจุงกับจีวันมาส่งที่สนามบินเมืองยางยางเพื่อที่ ธิชากรจะไปที่โซลก่อนแล้วเดินทางต่อไปกรุงเทพฯ หญิงสาวเก็บซ่อนความผิดหวังเอาเมื่อมูนจุงบอกว่าเทซกติดธุระไม่สามารถมาได้ เข้าใจดีที่เขาต้องวิ่งวุ่นกับเรื่องของลูกค้าที่ทยอยกันยกเลิกกำหนดการมาซกโซกะทันหัน
“ฉันไม่อยากทิ้งคุณเทซกไปตอนนี้เลยค่ะ”
หญิงสาวสารภาพกับคนมาส่งเสียงอ่อย
“ไม่เป็นไรหรอกธิชา เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เขาต้องผ่านมันไปได้อีกครั้ง”
จีวันบอกให้คลายใจ

“ใช่ ท่านประธานฮันและคนอื่นๆต่างมีประสบการณ์ อาจจะเซบ้างเล็กน้อยแต่ก็คงไม่เป็นไร อีกอย่าง.....พี่ว่ามันคงไม่เลวร้ายกว่าที่ผ่านมาหรอก เราเตรียมตัวค่อนข้างพร้อม ที่สำคัญ เธอต้องส่งข่าวให้พวกพี่ด้วย ไม่ใช่หายไปเลยนะ เธอต้องสัญญามาก่อน”

“ค่ะ..” หญิงสาวรับคำ
มูนจุงยื่นซองยาวให้สามซอง
“นี่เป็นของพี่กับพี่จีวัน ของท่านศาตราจารย์กับคุณนายยุน ส่วนนี่เป็นของคุณเทซก อย่าหาว่าพวกพี่ดูถูกหรืออะไรเลย น้องๆ ของเธอมีความจำเป็นต้องใช้นะ”
ธิชากรไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของทุกคนได้ ทุกอย่างรวดเร็วหลังจากที่ได้รับคำอนุญาตจากเทซก หล่อนเก็บของย้ายออกจากห้องพักของโรงแรม ข้าวของที่ห้องในเมืองส่วนใหญ่ถูกเก็บลงกล่อง ส่วนรถก็ทิ้งเอาไว้ก่อน ทุกอย่างเหมือนหยุดชะงัก ราวกับหยุดหายใจ
“รีบกลับมาเรียนวาดภาพด้วยนะ” จีวันสั่งสั้นๆ หากได้ใจความ
ธิชากรรับคำเสียงเบา ลาเขาและ มูนจุงด้วยการไหว้แบบคนไทย

มูนจุงกระพริบตาไล่น้ำใสๆ ยกมือขึ้นโอบคนที่พนมมือลงบนบ่าอย่างอ่อนน้อม ตื้นตันในอก นอกจากประเพณีการโค้งตัวต่ำแบบเกาหลีแล้ว ยังมีการไหว้ซึ่งแสดงออกได้อย่างซาบซึ้งเช่นกัน เป็นภาษาสากลที่รับรู้ได้

“กลับ...มาเร็วๆนะ”

ผู้สูงวัยกว่าแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต้องทำใจยอมรับกับการที่จะสูญเสียเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องที่น่ารักคนนี้

มูนจุงมั่นใจ เทซกเองก็คงใจหายเช่นกัน
“คุณมูนจุงช่วยเอาซองนี้ให้ด้วยก็แล้วกัน ผมคงติดลูกค้า ไม่ได้ไปส่งหรอก”
ตอนยื่นซองเงินมาให้นั้นสงบนิ่งและเงียบขรึม และ...แม้ไม่มีใครสักคนเอ่ยเรื่องหล่อนจะไม่กลับมา เหมือนกับว่าเป็นการลางานตามปกติ ทุกคน..พยายามไม่พูดถึง หากธิชากรทราบดี คงไม่ได้กลับมา....


ก่อนเดินเข้าไปยังข้างในห้องผู้โดยสาร หญิงสาวหันกลับไปมองคนมาส่ง แวบหนึ่ง อยากเห็นเงาสูงๆของอีกคน อยากเห็นจริงๆ เป็นครั้งสุดท้าย แต่...พยายามมองหาเท่าไหร่ ก็ไม่เจอ และคง...ไม่มีวันเจอ

>





Create Date : 10 มิถุนายน 2555
Last Update : 10 มิถุนายน 2555 22:28:14 น. 0 comments
Counter : 1003 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ปันนที
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




สวัสดีทุกท่าน
ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยม ถ้ามีอะไรช่วยติชม วิจารณ์ได้เลยนะคะ
[Add ปันนที's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com