All Blog
|
ให้ = เติมเต็ม เมื่อวานได้มีโอกาสไปจัดกิจกรรมที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง เป็นความรู้สึกประทับใจที่ไม่มีวันลืมเลย ตอนอยู่ปีหนึ่งเรามีเวลาว่างเยอะ มีโอกาสได้กิจกรรมแบบนี้หลายครั้ง ยอมรับว่าเวลาเตรียมงานเหนื่อย อดหลับอดนอนกันหลายวัน แต่พอได้ไปทำกิจกรรมเล่นกับน้องๆ ก็เหนื่อยยิ่งกว่า แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาไม่เคยผิดหวังเลยจริงๆ รอยยิ้มของเด็กๆ รอยยิ้มที่ปราศจากการปรุงแต่ง ตลอดเวลาที่ทำกิจกรรม เรายิ้มตลอดเวลา หัวใจมันก็ยิ้มตามไปด้วย จนมาเรียนปีสอง ก็เริ่มไปทำกิจกรรมกับเด็กมัธยม ก็ประทับใจไม่ลืมอีกเช่นกัน แต่กิจกรรมเด็กโตค่อนข้างเหนื่อย เราไม่ค่อยถนัดจูงใจเด็กโตเท่าไร แต่ก็ประทับใจไปอีกแบบ การทำกิจกรรมพวกนี้ ทำให้เรารู้จักการให้จริงๆ เพราะทุกกระบวนการของการคิดวางแผนทำกิจกรรม เราแทบจะไม่ใช้หลักการอะไรเลยแค่คิดว่าเราจะให้อะไรกับน้อง แล้วกิจกรรมมันก็ออกมาดีเอง เราเองก็เต็มที่กับงาน ผลที่ออกมาก็คุ้มค่าจริงๆ อีกอย่างหนึ่ง การได้เห็นความร่วมมือกันของทุกคนในคณะจริงๆ คนที่ไม่ชอบหน้า หรือเคยเกลียดกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พอมีเป้าหมายเดียวกัน คือการให้ เรารู้สึกว่าทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้ดีเชียวล่ะ หลังจากปีสาม ล่วงเลยมาปีสี่ เราไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมพวกนี้อีกเลย รู้สึกห่างหายไปนานมาก จนลืมความรู้สึกพวกนั้นไปแล้ว หัวใจมันเหี่ยวแห้งยังไงก็ไม่รู้ เราก็สงสัยอยู่บ่อยว่า ทำไมเราถึงรู้สึกเหงา เติมเท่าไรก็ไม่เคยเต็มซักที จนเมื่อวานได้มีโอกาสอีกครั้งหนึ่ง ได้จัดกิจกรรมให้เด็กๆโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง เรารู้เลยว่าสิ่งนี้แหละ มันเติมเต็มหัวใจของเราอีกครั้งหนึ่ง ราวกับว่าหัวใจมันได้รับการรดน้ำ รู้สึกอย่างงั้นจริงๆนะ การจัดกิจกรรมรอบนี้เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับสุขลักษณะอนามัย ซึ่งรูปแบบกิจกรรมก็แบ่งเป็นฐานๆไป กลุ่มเราเลือกแสดงนิทาน บางฐานก็เต้นประกอบเพลง เตรียมอุปกรณ์+ซ้อมกันสองคืน นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอกับโมเม้นต์ของการซ้อมละคร ซ้อมเต้น กับเพื่อนบางคนที่เราหลีกเลี่ยง อคติมาตลอด วันนี้เราเห็นข้อดีของเขาแล้วนะ :) โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนในเมือง ตอนแรกที่คิด แอบกลัวว่าเด็กๆจะมีทุกอย่างครบแล้ว เราไปให้อะไรที่เขามีแล้วหรือเปล่า แต่พอมาจริงๆแล้วๆ อื้อหือ เป็นโรงเรียนที่ด้อยโอกาสกว่าโรงเรียนอื่นในเมืองอีกมาก ยิ่งช่วงนี้ฝนตก ได้เห็นสภาพของโรงเรียนเลยล่ะ ตั้งแต่ถนนทางเข้าที่มีน้ำท่วมเป็นพักๆ เด็กๆมาโรงเรียนกันน้อยมาก เพราะที่บ้านถูกน้ำท่วม มาโรงเรียนกันไม่ได้ วันนี้คุณครูเกณฑ์เด็กมาทั้งโรงเรียนเลย เพราะพวกเราเตรียมของมาเยอะ แถมวันที่ไปไฟก็ดับอีก คุณครูบอกว่า ปัญหาไฟฟ้าก็เป็นปัญหาสำคัญสำหรับโรงเรียน พวกเรามาเจอสภาพจริงๆเลย กว่าจะจัดกิจกรรมได้ พวกเราต้องแพลนกันใหม่ เครียดกันอยู่แปบนึง เพราะสถานที่มันแฉะ แถมไฟฟ้าก็ไม่มี เคร่ืองเสียงก็ใช้ไม่ได้ กว่าจะคุยกันลงตัวก็นานใช้ได้ แต่สุดท้ายก็ลงตัวจนได้ ไม่มีลำโพง ก็ตะโกนมันปากเปล่านี่แหละ ฐานนึงมีเวลาอยู่กับน้องแต่ละกลุ่ม 20นาที ตอนที่พวกเราแสดงนิทาน น้องตั้งใจกันดูมาก ถามอะไรก็ให้ความร่วมมือกันดีมาก พอแสดงจบ พวกเราชวนน้องคุยเล่น ก่อนเลิกฐานก็มีน้องคนนึง มาบอกว่า "พี่หมอมาทุกวันได้มั้ย" ^_____^ บางคนก็ดึงมือพี่ๆไปจับ บางคนก็มากอด ความไร้เดียงสาของเด็กๆนี่ สวยงามจังเลยนะ เรารับรู้ได้เลยว่าตอนนั้นหัวใจของพี่หมอทุกคนคงจะพองโตมากๆ ถึงจะเจ็บคอแค่ไหนก็ไม่หวั่นจริงๆ ก่อนกลับก็มีกิจกรรมสันทนาการ แต่คุณครูบอกว่าน้องๆต้องกลับบ้านแล้ว พวกเราก็ถามน้องว่า เดี๋ยวน้องๆต้องกลับบ้านตอนบ่ายสามครึ่งใช่มั้ย เด็กตะโกนตอบมาว่า ไม่กลับ 555 น่ารักกันจริงๆ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ลากันไปด้วยความรู้สึกดีๆ หัวใจพองโตเหมือนได้รับการเติมเต็มทั้งพี่หมอ และน้องๆค่ะ ฉันพอแค่นี้ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ;) เล่ามายาวมาก ใครที่แวะมาอ่านก็ขอบคุณมากค่ะ แวะมาเยี่ยมในวันหยุด...สวัสดีครับ
เป็นกิจกรรมที่ดีมาก... โหวต และไลค์ส่งกำลังใจไปให้จขบ.ด้วยนะครับ บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต Risorius Diarist ดู Blog โดย: **mp5** วันที่: 23 พฤศจิกายน 2556 เวลา:9:24:12 น.
การทำแบบนี้ทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ^^
โดย: เจ้าหญิงแห่งความเหงา วันที่: 23 พฤศจิกายน 2556 เวลา:10:08:54 น.
เชียร์เลยนะครับ
อยากให้อ่านหนังสือครับ ไม่ว่าจะอ่านอะไรก็ดีทั้งนั้นครับ สมัยเรียนพี่ก๋าอ่านหมดทุกแนว ขนาดหนังสือเรียนยังหยิบมาอ่านได้สองสามรอบเลยครับ 555 โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 พฤศจิกายน 2556 เวลา:10:51:48 น.
|
Risorius
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?] I am muslim. Islam is my religion. Allah is my God. Muhammad is my prophet. "Islam is a way of life" ขอบคุณที่เข้ามาอ่านบล๊อกคนเพ้อเจ้อ :) บางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะเพ้อเจ้อใส่ใคร ก็เลยต้องเพ้อเจ้อผ่านแป้นพิมพ์ ไปวันๆ Friends Blog
Link |
พี่ก๋าเชียร์ๆๆๆๆครับ
ทำกิจกรรมให้มาก แต่ก็รักษาระดับผลการเรียนไว้ด้วย 555
การทำกิจกรรมเป็นโลกจำลองของสังคมจริงที่เราจะต้องเจอเมื่อเรียนจบครับ
สมัยเรียนพี่ก๋าก็ทำกิจกรรมตลอดเลย
การอยู่กับการเอาตัวรอด
มันทำให้เรายังมีลมหายใจอยู่
แต่สิ่งที่พี่ก๋าว่ามันแตกต่าง
น่าจะเป็นคำว่า "หน้าที่"
การอยู่อย่างไม่ได้ทำหน้าที่อะไร
คล้ายกับการเอาตัวรอด
แต่การอยู่อย่างมีหน้าที่ทำให้เราสามารถทำสิ่งต่างๆ
เพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่นได้
มันสำคัญทั้งสองแบบครับ
ถ้าไม่มีชีวิต เอาตัวรอดไม่ได้
ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เช่นกัน