|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
30 กันยายน 2548
|
|
|
|
คำแถลงการณ์ บริษัทมติชน จำกัด(มหาชน) : 14/09/2548 : ข่าวสด
คำแถลงการณ์ บริษัทมติชน จำกัด(มหาชน)
วันที่ 13 ก.ย.2548
ตามที่บริษัทจีเอ็ม เอ็ม มีเดีย จำกัด(มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) เป็นจำนวน 32.23 เปอร์เซ็นต์ นั้น บริษัทยังไม่อาจคาดถึงผลกระทบต่อแนวทางในการดำเนินนโยบายของบริษัท ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม บริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) ซึ่งประกอบด้วยผู้ยึดถือวิชาชีพสื่อสารมวลชนอิสระ ดำรงความเป็นกลาง ยึดมั่นความถูกต้อง เที่ยงธรรมในการนำเสนอข่าวสารมาโดยตลอด ขอยืนยันความมุ่งมั่นที่จะรักษาปณิธานดั้งเดิมของบริษัท ในความเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน ด้วยเจตนาอันแน่วแน่ที่จะดำรงรักษาความเป็นอิสระ และจะยืนหยัดทำหน้าที่เพื่อสังคมส่วนรวมต่อไป
วันเดียวกันเวลา 12.30 น. ที่รัฐสภา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) แถลงภายหลังประชุมวิปฝ่ายค้านว่า ที่ประชุมหยิบยกกรณีที่มีข่าวซื้อสื่อของกลุ่มธุรกิจบันเทิงผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 2 ประเด็น คือ 1.การดำเนินการดังกล่าวเป็นการดำเนินธุรกิจตามปกติของกลุ่มทุนนั้นหรือไม่ และ 2.มีผลกระทบต่อสังคมหรือไม่ เพราะกลุ่มธุรกิจนี้เดิมเป็นธุรกิจด้านบันเทิง แต่กลับมาซื้อสื่อด้านการเมือง และกลุ่มทุนกลุ่มนี้เคยมีข่าว มีความใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล ตั้งแต่มีข่าวว่าจะซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูลมาแล้ว และแม้ว่าจะอ้างว่าเป็นการดำเนินธุรกิจตามปกติ
"เนื่องจากหุ้นที่ซื้อเป็นหุ้นสื่อสารมวลชน ซึ่งมีหน้าที่เป็นสื่อกลางนำเสนอข่าวต่อประชาชนผู้บริโภค โดยที่รัฐธรรมนูญมาตรา 39 และ 40 ได้บัญญัติให้ความคุ้มครองการทำหน้าที่ของสื่อ ห้ามมิให้มีการแทรกแซงทั้งสื่อของรัฐและเอกชน จึงจำเป็นที่กลุ่มทุนดังกล่าวต้องชี้แจงต่อประชาชนให้ชัดเจนว่า จะเข้าไปแทรกแซงครอบงำการนำเสนอข่าวสารของสื่อนั้นหรือไม่ จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารหรือไม่ หรือเปลี่ยนแปลงทิศทางการนำเสนอข่าวสารหรือไม่" ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าว
ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าวอีกว่า เรื่องนี้เป็นกรณีที่น่าศึกษา เพราะภายใต้บรรยากาศในปัจจุบัน มีปัญหาและมีข่าวเข้ามาครอบงำสื่อเป็นระยะ โดยผู้นำรัฐบาลและบริษัทกลุ่มทุนของตนเอง เคยเข้าไปเทกโอเวอร์บริษัทไอทีวี จนเกิดปัญหาภายในองค์กรและเกิดกบฏไอทีวีมาแล้ว ดังนั้นวิปฝ่ายค้านจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยควรออกกฎหมายป้องกันการครอบงำสื่อด้วยการซื้อหุ้นข้ามสื่อ ซึ่งวิปฝ่ายค้านจะศึกษาเรื่องนี้โดยเทียบเคียงกับต่างประเทศ หากพบว่าควรออกกฎหมาย ฝ่ายค้านจะเป็นผู้เสนอกฎหมายต่อสภาเอง โดยที่ผ่านมานักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ศึกษาไว้ว่า บางประเทศออกกฎหมายห้ามซื้อหุ้นข้ามสื่อ หากเห็นว่าธุรกิจเดิมได้รับความนิยมสูงอยู่แล้ว เพื่อป้องกันการครอบงำ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หยิบยกเรื่องซื้อหุ้นบริษัท โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน) และบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) มาหารือและเห็นว่าการซื้อดังกล่าวน่าจะเป็นความพยายามลุกคืบเข้าไปมีบทบาทในสื่อสารมวลชนอิสระของเอกชนมากยิ่งขึ้น โดยผู้มีอำนาจในบ้านเมืองผ่านบริษัทธุรกิจเอกชนที่มีความรู้จักมักคุ้นกัน จนการเสนอข่าวสารถูกแทรกแซงไม่เป็นอิสระ
นายองอาจกล่าวต่อว่า สิ่งที่ในที่ประชุมพูดกันมากคือเวลานี้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปยึดกุมอำนาจไว้ครบวงจรจะส่งผลต่อการนำเสนอทัศนคติความเคลื่อนไหว ฝ่ายที่เห็นตรงกันข้ามกับรัฐบาลจะยากลำบากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรายการด้านโทรทัศน์ที่ในอดีตอาจเป็นรายการที่บุคคลสามารถแสดงความเห็นได้หลากหลายจะกลายเป็นรายการที่มีแต่โฆษณาชวนเชื่อ จากที่อันตรายอยู่แล้วยิ่งทวีมาก ซึ่งพรรคพูดคุยกันว่าน่าจะถึงเวลาที่จะพิจารณาทบทวนว่าสื่อสารมวลชนแม้เป็นของเอกชนก็ควรมีกฎเกณฑ์บางอย่างหรือไม่ในการเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการหรือเป็นผู้ถือหุ้นจำนวนมากในกิจการเหล่านี้
"เราวิเคราะห์กันว่ารัฐบาลนี้แสดงเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นที่จะพยายามเข้าไปยึดกุมสื่อให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่มีความพยายามลักษณะนี้หลายกรณีทั้งทางตรงและทางอ้อม ฉะนั้นการเข้าไปเป็นเจ้าของจะมีบทบาทและอิทธิพลเหนือการทำงานได้มากยิ่งขึ้น อย่างกรณีของมติชนเป็นที่น่าสังเกตว่าผู้บริหารแกรมมี่คุ้นเคยกันดีกับผู้บริหารมติชน ถ้าจะซื้อขายกันตามปกติธรรมดาน่าจะรับรู้กันได้ แต่นี่กลับซื้อผ่านทางต่างประเทศโดยผู้บริหารมติชนรับรู้ทีหลัง แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ไม่น่าจะเป็นการลงทุนตามปกติธรรมดา เรื่องนี้ถือเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ เพราะไม่รู้ว่าจะใช้สื่อหาประโยชน์ส่วนตัวหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่" นายองอาจกล่าว
ทางด้านนายจอน อึ๊งภากรณ์ ส.ว.กทม. เจ้าของรางวัลแม็กไซไซคนล่าสุด ในฐานะอนุกรรมาธิการปฏิรูปสื่อ วุฒิสภา กล่าวถึงการกว้านซื้อหุ้นหนังสือพิมพ์มติชน และหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ จำกัด(มหาชน) ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังสือพิมพ์มติชน และหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ทำให้เกิดการรวมศูนย์ของสื่อ ซึ่งเราจะเห็นได้จากที่ผ่านมาสื่อทีวีถูกจำกัดไม่ให้นำเสนอข่าว และทีวีส่วนใหญ่มีรัฐเป็นเจ้าของ เช่น ช่อง11 อยู่ในกำกับของรัฐ โดยขึ้นกับรัฐมนตรีที่กำกับ ช่อง5 อยู่ในกำกับของทหาร หรือกรณีของไอทีวี ที่เจตนาตอนก่อตั้งหลังจากยุคพฤษภาทมิฬ เพื่อต้องการข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและแม่นยำ แต่หลังจากที่กลุ่มชินคอร์ปอเรชั่นเข้าไปกว้านซื้อหุ้น และเปลี่ยนนโยบายจากสถานีข่าวเป็นสถานีความบันเทิงจนทำให้การเสนอข่าวเกิดปัญหา และทำให้สื่อทีวีขาดเสรีภาพในการนำเสนอข่าว
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับไอทีวีกำลังเป็นสิ่งเดียวกับที่เกิดขึ้นกับหนังสือพิมพ์ การเข้ามากว้านซื้อหุ้นของนายทุน ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันกับคนในรัฐบาล จะทำให้หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นๆ ถูกควบคุมจากนายทุนเหล่านั้น โดยเฉพาะมติชนและบางกอกโพสต์ที่มีผลงานโดดเด่นในการเป็นหนังสือพิมพ์เชิงตรวจสอบรัฐบาล ผมคิดว่าหนังสือพิมพ์เป็นด่านสุดท้ายที่จะนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นอิสระ แต่ขณะนี้ความเป็นอิสระของหนังสือพิมพ์กำลังถูกรุกคืบและถูกบั่นทอนเข้าทุกที ซึ่งการมีความสัมพันธ์ระหว่างนายทุนที่เข้ามากว้านซื้อหุ้นกับรัฐมนตรีในรัฐบาลย่อมมีอิทธิพลต่อการนำเสนอเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นๆ อย่างแน่นอน การกระทำเช่นนี้ผมคิดว่าเป็นอันตรายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ประชาชนและสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้องควรออกมาคัดค้าน และสื่อมวลชนเองต้องหนักแน่นและยืนหยัดในวิชาชีพของตนเอง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก" ส.ว.เจ้าของรางวัลแม็กไซไซกล่าว
ส.ว.เจ้าของรางวัลแม็กไซไซ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราอยากเห็นคือธุรกิจสื่อสารมวลชนกระจายอย่างกว้างขวางไม่ควรมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ควรมีผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งหากมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพียงคนเดียวผลที่เกิดขึ้นตามมาจะกลายเป็นเหมือนอย่างไอทีวี มติชนเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีบทความของนักวิชาการ นักคิด นักเขียน ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนมาก เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงเหมือนกัน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นแล้วเนื้อหาจะเปลี่ยนแปลงด้วยหรือไม่
"ผมไม่เคยเชื่อเลยว่านายทุนที่เข้ามากว้านซื้อสื่อหนังสือพิมพ์จะหวังว่าหนังสือพิมพ์ฉบับที่เขากว้านซื้อนั้นจะทำกำไรให้ สิ่งที่ต้องการจริงๆ ผมคิดว่าเขาต้องการใช้สื่อนั้นเป็นกระบอกเสียงให้ตัวเองมากกว่า เพราะค่าตอบแทนของกิจการหนังสือพิมพ์มันไม่ได้มีกำไรสูงขนาดนั้น ผมค่อนข้างมองเรื่องนี้อย่างระแวง แต่ละก้าวที่รุกคืบเข้ามาของกลุ่มทุนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาล อย่างผู้บริหารของจีเอ็มเอ็มก็เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลในตอนซื้อหุ้นลิเวอร์พูล เพราะฉะนั้นการเข้ามาซื้อหุ้นมติชนครั้งนี้จึงน่าสงสัยว่า มาซื้อแทนใครหรือเปล่า" ส.ว.เจ้าของรางวัลแม็กไซไซกล่าว
วันเดียวกันที่ที่ทำการพรรคไทยรักไทย อาคารไอเอฟซีที นายภูมิธรรม เวชยชัย รมช.คมนาคม และรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย อดีตผู้บริหารเครือชินวัตรฯ กล่าวถึงกรณีหลายฝ่ายเป็นห่วงว่ารัฐบาลโดยเฉพาะพรรคไทยรักไทย จะเข้ามาแทรกแซงสื่อผ่านนายทุนแกรมมี่ ว่า ก่อนหน้านี้เคยมีผู้เสนอพ.ต.ท.ทักษิณซื้อกิจการหนังสือพิมพ์บางฉบับ ในช่วงการตั้งพรรคไทยรักไทย แต่พ.ต.ท.ทักษิณปฏิเสธแนวคิดดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นเรื่องของวิชาชีพ ที่ไม่สามารถไปซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ได้ แต่หากคิดว่านายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม เจ้าของแกรมมี่ฯสนิทสนมกับนายกฯ แล้วมาจับโยงมันก็ผูกได้หมด เพราะวันนี้สังคมสลับซับซ้อนมาก การที่ใครจะรู้จักใคร แล้วบอกว่าเกี่ยวข้องกับคนนั้นไม่ถูก ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของพรรค
"เขาก็เป็นนักธุรกิจมีสิทธิ์ลงทุนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่าพยายามสร้างประเด็น อย่ามาถามหรือดึงให้พวกเราเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของนักลงทุน ขอร้องอย่าหลงประเด็น เพราะเป็นเรื่องธุรกิจของเขา ขอให้คิดในสิ่งที่เป็นความจริงบ้าง การลงทุนอย่างนี้มันครอบงำสื่อไม่ได้ เพราะถ้าต้องการแทรกแซงจริง คนหนังสือพิมพ์ต้องไม่พอใจแน่ เขาอาจจะย้ายออกไปเปิดหนังสือพิมพ์ใหม่ ถามว่าคนอย่างพี่ช้าง คุณพงษ์ศักดิ์ และไอ้ถึกไทยโพสต์ คงไม่ยอมแน่ แล้วถามว่าคนที่เป็นแฟนประจำหนังสือพิมพ์ก็ต้องติดตามไปอ่านหนังสือพิมพ์ใหม่ สื่อที่เข้ามาลงทุนด้วยก็คงขายไม่ได้ และขอยืนยันด้วยว่า ไม่มีนักการเมืองคนใด ที่คิดจะไปทำอะไรอย่างที่เข้าใจกัน" นายภูมิธรรมกล่าวอย่างมีอารมณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ตระกูลชินวัตรซื้อหุ้นไอทีวี และกลุ่มทราฟฟิคคอนเนอร์ของน้องสาวนายกฯ เข้าไปประมูลงานสื่อโทรทัศน์และวิทยุรวมทั้งตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทเนชั่นฯ ก็ดูเหมือนเป็นความพยายามที่รัฐบาลต้องการแทรกแซงสื่อ นายภูมิธรรม กล่าวว่า รู้ได้อย่างไรว่าตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจต้องการแทรกแซงสื่อ ถ้าพูดอย่างนี้แสดงว่าคนที่ถามคิดฝ่ายเดียว เพราะอาจเป็นเรื่องของการลงทุน สื่อควรยุติการคิดลักษณะนี้ได้แล้ว มิเช่นนั้นสื่ออาจตีค่าตัวเองอยู่แค่จุดๆหนึ่ง ควรประเมินตัวเองใหม่ ไม่ควรนำความคิดลักษณะนี้ไปบอกคนอื่นด้วย จะทำให้สังคมเข้าใจผิด ส่วนการซื้อหุ้นไอทีวีก็เป็นเรื่องของธุรกิจที่เข้าไปลงทุน ไม่ใช่เข้าไปแทรกแซงสื่อ
ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีพฤติกรรมแทรกแซงสื่อทั้งทางตรงและทางอ้อม ขนาดบิดาของตนคือนายนิสสัย เวชชาชีวะ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกฯ ที่เข้าไปเป็นผู้บริหารเครือเนชั่น โดยได้รับเชิญจากนายสุทธิชัย หยุ่น กรรมการบริหารบริษัทเครือเนชั่น ให้บิดาตนเป็นกรรมการบริหาร เพราะเห็นว่าเป็นคนกว้างขวาง และมีความสัมพันธ์กับสื่อระดับผู้ใหญ่ รวมทั้งบุคคลในครอบครัวของนายสุริยะ จึงรุ่งเรื่องกิจ ที่มีหุ้นอยู่ในบริษัทเนชั่นจำนวนมาก ก็ไม่เคยแทรกแซงการเสนอข่าว ดังนั้นกรณีของแกรมมี่ฯ จึงยืนยันว่าเป็นการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ตามปกติ ในโลกทุนนิยมที่ใครมีเงินก็สามารถเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทต่างๆ ได้ และความสัมพันธ์ระหว่างนายไพบูลย์กับพรรคไทยรักไทยก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นเพียงแค่คนรู้จักในวงการธุรกิจ แต่ถ้าไปซื้อหนังสือพิมพ์บางฉบับที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชุดนี้อย่างหนักจะกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ขณะที่น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม เป็นนักธุรกิจด้านสื่อบันเทิงและประชาสัมพันธ์ จึงเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะซื้อหุ้น หากสิ่งที่ทำไม่ผิดกฎหมายก็ไม่เป็นไร ส่วนที่หลายฝ่ายโยงว่านายกฯอยากเข้ามาควบคุมสื่อให้ครบทุกแขนงนั้น ที่ผ่านมามีนักธุรกิจรู้จักกับนายกฯจำนวนมาก การที่จะไปซื้อหุ้นตัวไหนจึงไม่เกี่ยวกับนายกฯ แต่ถ้านายไพบูลย์ไปซื้อหุ้นแล้วรัฐเข้าไปแทรกแซง ลักษณะนี้จึงจะเรียกว่าผิด
ขณะที่น.ส.สายรุ้ง ทองปลอน ผู้จัดการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค(สอบ.) ออกแถลงการณ์ว่า สัญญาณอันตราย การใช้ตลาดหลักทรัพย์เป็นเครื่องมือในการครอบงำสื่อกระแสหลักของประเทศ
จากกรณีที่บริษัทแกรมมี่ฯ ทุ่มเงินกว่า 2,600 ล้านบาท กว้านซื้อสื่อหนังสือพิมพ์สำคัญแนวสาระหรือซีเรียส ที่ทรงอิทธิพลในสังคมไทย ทั้งหนังสือพิมพ์ภาษาไทย คือ เครือมติชน และหนังสือพิมพ์ ภาษาอังกฤษ คือ เครือบางกอกโพสต์นั้น เป็นการส่งสัญญาณอันตรายต่อสังคม
เนื่องจากเครือหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับเป็นสื่อกระแสหลักที่ทำหน้าที่สื่อสารข่าวข้อมูล เน้นสาระ และการวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อก่อให้เกิดการตั้งคำถามเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสังคมและผู้บริโภค ส่งผลต่อการเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลชี้นำสังคมได้ ซึ่งองค์กรเช่นนี้ต้องสามารถทำหน้าที่ฐานะนักสื่อสารมวลชนของตนได้อย่างมีอิสระมีเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารตามจรรยาบรรณ และหลักการของสื่อมวลชนที่ดีที่ต้องพึงกระทำ และคำนึงถึงภารกิจและหน้าที่ที่สังคมคาดหวัง และมีความซื่อสัตย์ต่อการสื่อสารต่อสาธารณะ
การที่องค์กรสื่อหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับนี้ต้องถูกครอบงำด้วยกลุ่มทุนสื่อบันเทิง ที่มีอาณาจักรธุรกิจด้านบันเทิงทั้งการสร้างนักร้อง ดารา ละคร ภาพยนตร์ และการครอบครองธุรกิจสื่อมากมายทั้งโทรทัศน์ และวิทยุ ซึ่งกว้างขวางครอบคลุมธุรกิจสื่อเกือบจะรอบด้านอยู่แล้ว ทั้งยังกล่าวกันว่ากลุ่มทุนดังกล่าวนี้ มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลหมายถึงใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทางการเมืองด้วย จึงถือเป็นปรากฏการณ์ของสัญญาณอันตรายสำหรับสังคมไทยและผู้บริโภคสื่อ เพราะการครอบงำสื่อส่งผลต่อการครอบงำสังคมและผู้บริโภคสื่อด้วย
ปรากฏการณ์นี้ได้อาศัยช่องทางของตลาดหลักทรัพย์เข้ามารุกคืบครอบงำกิจการที่มีลักษณะเฉพาะเช่นกิจการสื่อสารมวลชนที่มีผลชี้นำสังคม เช่นเดียวกับกิจการเฉพาะเช่นกิจการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา ที่เป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่รัฐบาลเตรียมนำเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้กลุ่มทุนธุรกิจการเมืองครอบงำนโยบายและหาผลประโยชน์ได้เต็มที่
สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค(สอบ.) เห็นว่า 1.เป็นการไม่เหมาะสมและไม่สมควรอย่างยิ่งที่บริษัทแกรมมี่ฯ จะมาเทกโอเวอร์สื่อหนังสือพิมพ์แนวสาระ ซีเรียส ทั้ง 2 ฉบับนี้ ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นจำนวนมากดังกล่าว อาจหมายถึงการใช้อำนาจในฐานะผู้ถือหุ้นแทรกแซงการทำหน้าที่สื่อสารมวลชน หรือสร้างความอึดอัดในการทำหน้าที่ของคนทำสื่อสาระ แนวซีเรียส ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการสื่อสารกับสาธารณะที่ต้องมีอิสระ และอิสรภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ไม่ถูกครอบงำจากกลุ่มทุนธุรกิจ และการเมือง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นสังคมและผู้บริโภคสื่อคือผู้เสียประโยชน์ 2.จากกรณีดังกล่าวเป็นบทเรียนและเป็นคำถามสำคัญอีกครั้งว่า สมควรหรือไม่ ที่กิจการบางประเภท เช่น สื่อสารมวลชน ซึ่งมีอิทธิพลชี้นำสังคมได้ จะเข้าไประดมทุน เพิ่มหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคิดถึงผลกำไร เป็นที่ตั้งและตลาดหลักทรัพย์ยังเป็นช่องทางที่ทำให้กลุ่มทุน ธุรกิจการเมืองสามารถเข้าไปเทกโอเวอร์ หรือฮุบกิจการที่นอกจากหวังผลทางธุรกิจ ยังหวังผลการเมืองได้ด้วย โดยเฉพาะในบางกิจการที่มีความละเอียดอ่อนต่อสังคม เช่น ธุรกิจสื่อสารมวลชน
หน้า 1
Create Date : 30 กันยายน 2548 |
|
3 comments |
Last Update : 30 กันยายน 2548 12:37:03 น. |
Counter : 405 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: กุมภีน 30 กันยายน 2548 22:12:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: ยัยบี๋ 30 กันยายน 2548 23:33:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: oilfanclub IP: 203.156.75.167 4 ตุลาคม 2548 20:17:38 น. |
|
|
|
| |
|
|
Nutty Professor |
|
|
|
Madagascar : The Island of Opportunity
|
|
|
|