ความรู้มีไว้แบ่งปัน

CM Triplets
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
12 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add CM Triplets's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 
สิ่งปกติที่พบในตัวลูกแล้วจะหายไปเองเมื่ออายุ 1-2 เดือน

สิ่งปกติที่พบในตัวลูกแล้วจะหายไปเองเมื่ออายุ 1-2 เดือน

ถ้า คุณเป็นคนช่างสังเกตจะพบว่าลูกในระยะนี้จะมีอะไรหลาย ๆ อย่างไม่เหมือนเด็กวัยอื่น ตัวอย่างข้างล่างนี้คือสิ่งปกติที่คุณจะพบได้ที่ลูก
สิ่ง เหล่านี้เป็นปัญหาที่คุณมักจะนำมาปรึกษากับหมอบ่อย บางคนได้รับคำแนะนำที่ไม่ถูกต้องจนเกิดปัญหาตามมาทีหลัง ดังนั้นเพื่อความแน่ใจคุณควรสังเกตให้ดีนะครับว่าสิ่งที่พบเหล่านี้คือความ ปกติของลูก จะได้ไม่ต้องใช้ยาโดยเกินความจำเป็น
1. ตุ่มขาว เล็ก ๆ รอบ ๆ จมูก
2. ตุ้มขาวบนเหงือกหือบนเพดาน
3. ตุ่มขาวเข้มที่หัวนมลูก
4. ผื่นแดงเล็ก ๆ ตามลำตัวและใบหน้า
5. ลูกผู้หญิงมีเลือดออกจากช่องคลอด เมื่ออายุ 2-3 วัน
6. ขาและข้อเท้าโก่งเล็กน้อย หรือแบะออกเล็กน้อย
7. จามโดยไม่มีสาเหตุ
8. เวลาจะฉี่หรืออึ ลูกจะเบ่งแรงมาก
ยังมีสิ่งปกติที่พบในตัวลูกในอายุนี้และจะหายไปอีกถ้าสงสัยควรนำมาปรึกษาหมอครับ

ผดเต็มหลังลูก
ใน ช่วงแรกเกิดลูกจะต้องระบายความร้อนออกจากร่างกายให้เหมาะสมกับความร้อนที่ เกิดขึ้นภายในร่างกายเพราะในวัยนี้ลูกจะสร้างความร้อนมากกว่าวัยอื่นตัวลูก จึงอุ่นกว่าวัยอื่นๆ
ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ควรสวมเสื้อผ้าบางและโปร่งให้ลูก ควรเปิดพัดลมเบา ๆ เพื่อช่วยระบายความร้อนรอบ ๆ ตัวลูกด้วย
ถ้าไม่ช่วยระบายความร้อนให้ลูก ผิวหนังของลูกจะเกิดเป็นผดผื่นแดง โดยเฉพาะบริเวณที่ด้านหลังและแขนด้านที่ทับกับที่นอน

แก้ไข
ถ้า ลูกมีผดขึ้นที่หลังและแขนมาก ไม่ต้องให้ยาก็หายครับ เพียงคุณพยายามให้ลูกนอนคว่ำและระบายอากาศรอบ ๆ ตัวลูกให้ดี เช่น ใส่เสื้อผ้าโปร่ง เป่าพัดลมเบา ๆ แก่ลูกเพียง 2-3 วันผดเหล่านี้จะยุบลงเองโดยไม่ต้องใช้ยาทา

คลำได้กระดูกบริเวณยอดอกของลูก
ตรง บริเวณยอดอกของลูกจะมีกระดูกชิ้นเล็ก ๆ ต่อจากกระดูกทรวงอกลงมา เด็กทุกคนจะมีกระดูกชิ้นนี้ แต่อาจจะคลำไม่ได้ บางครั้งถ้าลูกทานนมจนอิ่มมาก จนเต็มกระเพาะ คุณอาจจะมองเห็นกระดูกบริเวณนี้หรืออาจะคลำกระดูกชิ้นนี้ได้ และเมื่อคลำได้ไม่ต้องตกใจ ไม่ผิดปกติอะไรหรอก และไม่ต้องวิ่งหน้าตื่นพาลูกไปหาหมอนะครับ พอลูกโตขึ้นโดยทั่วไปเมื่อมีอายุมากกว่า 6 เดือนมักจะมองไม่เห็นกระดูกบริเวณนี้อีกเลย

ลูกตัวเหลือง
ลูก อายุ 1-2 วันอาจจะเริ่มตัวเหลือง โดยจะสังเกตได้ว่าบริเวณตาขาวของลูกจะเหลืองขึ้น ระดับความเหลืองที่ต่ำกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์จะไม่เป็นอันตรายต่อสมองของลูก แต่ในช่วงอายุ 7 วันแรกถ้าความเหลืองของลูกสูงเกินกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อาจจะเป็นอันตรายต่อสมองของลูก ดังนั้นถ้าความเหลืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หมอจะต้องหยุดยั้งมิให้ความเหลืองเพิ่มขึ้น โดยการส่องไฟบริเวณผิวหนังของลูก ไฟจากหลอดทังสเตนจะไม่ช่วยลดความเหลืองได้ ถ้าส่องไฟแก่ลูกแล้วความเหลืองยังไม่ลดลงและเกินกว่า 20 มิลลิกรัม เปอร์เซ็นต์ หมอจึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายเลือด โดยการเปลี่ยนถ่ายเอาเลือดลูกออกและเอาเลือดใหม่ให้เพื่อลดความเหลือง ในกรณีลูกตัวเหลืองไม่มาก หมอจะไม่ทำอะไร และถ้าความเหลืองของลูกไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หมอก็จะอนุญาตให้คุณนำลูกกลับบ้านได้ ถึงแม้ว่าลูกยังตัวเหลืองอยู่เมื่ออยู่ที่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องส่องไฟหรือนำ ลูกออกไปตากแดดและไม่จำเป็นต้องให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ ทดแทนการดื่นนมเพื่อช่วยลดความเหลืองรอกครับ ในกรณีที่ลูกได้รับนมแม่ลูกอาจจะตัวเหลืองนานกว่าปกติ บางคนอาจจะตัวเหลืองนาน 1 เดือน แต่ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ ให้ลูกทานนมแม่ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนนมหรือหยุดนมแม่ ลูกจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากเรื่องตัวเหลืองนี้เลย

น้ำตาไหลทุกวัน
หลัง คลอดจนถึงอายุ 1 เดือนลูกมักจะมีน้ำตาไหลอาจจะเป็นข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมีสาเหตุต่าง ๆ มากมาย เช่น ท่อระบายน้ำตาบริเวณโคนจมูกอุดตันชั่วคราวหรืออุดตันแต่กำเนิด หรือเกิดจากการอักเสบของเยื่อตาจากเชื้อโรคต่าง ๆ การรักษาจึงขึ้นกับสาเหตุ

ข้อแนะนำ
1. ให้ นวดและคลึงบริเวณหัวตาที่ต่อกับดั้งจมูกทำทั้ง 2 ข้าง วันละ 2 ครั้ง ทั้งนี้เชื่อว่าท่อน้ำตาที่พาน้ำตาจากตาลงจมูกบริเวณนี้อาจจะอุดตันเนื่อง จากเศษเซลล์เล็ก ๆ ขณะอยู่ในครรภ์ ถ้าทำเช่นนี้อยู่หลายวันลูกยังน้ำตาไหลอยู่ควรพาลูกไปให้หมอตรวจนะครับ
2. ถ้าน้ำตามีสีเหลืองบางครั้งอมเขียวคล้ายหนองควรรีบพาไปพบหมอเพื่อรับการตรวจและรักษาโดยด่วนจะปลอดภัยกว่าครับ

มีผื่นแดงตามตัวง่าย
ผิว หนังของลูกในวัยนี้อาจจะมีผื่นแดง ๆ ขึ้นกระจัดกระจาย อาจจะขึ้นที่แก้ม หรือตามลำตัว โดยเฉพาะถ้าอากาศร้อนจะยิ่งมีผื่นมากขึ้น ผื่นเหล่านี้เกิดกับเด็กเกือบทุกคน ดูแลง่ายไม่จำเป็นต้องไปหาหมอหรอกครับ ส่วนใหญ่ผื่นจะหายเอง สำหรับผื่นที่คล้ายผด ให้แก้ไขสภาพแวดล้อมของลูก คืออย่าให้ลูกอยู่ในสถานที่ร้อนอบอ้าวเกินไป และไม่ควรสวมถุงมือถุงเท้าให้ลูกโดยเฉพาะในฤดูร้อน เพราะการสวมถุงมือถุงเท้าจะทำให้ลูกระยายความร้อนออกมาไม่ดี ลูกจึงพยายามระบายความร้อนออกตามลำตัว ศีรษะ ทำให้เกิดผดผื่นตามตัวถ้าดูแลไม่ดีอาจทำให้ผิวหนังของลูกอักเสบหรือเป็นตุ่ม ใสเมื่อถึงระยะนี้ควรพาลูกไปหาหมอเพื่อตรวจและรักษา
การ ที่ผิวหนังของลูกค่อนข้างบางจะทำให้บริเวณข้อพับและตามขาหนีบเกิดเป็นแผลได้ ง่าย สาเหตุเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังบริเวณนี้จะพบผื่นแดงตามข้อพับของลูกได้ บ่อยโดยเฉพาะถ้าลูกเป็นคนค่อนข้างอ้วน สามารถป้องกันมิให้เกิดผื่นแดงเหล่านี้ได้โดยใส่แป้งลงบริเวณนี้มากหน่อย และเมื่อเวลาร้อนอบอ้าวควรหมั่นดูตามบริเวณข้อพับลูก ถ้ามีเหงื่อหรือความชื้นควรเช็ดให้แห้ง และหมั่นลงแป้งบริเวณนี้แต่ถ้าผื่นแดงที่เกิดขึ้นและให้การดูแลแล้วไม่ดี ขึ้นควรพาลูกไปพบหมอเพื่อตรวจและรับยามาทาผื่นเหล่านี้

ผื่นแดงตามซอกคอและขาหนีบ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าลูกในวัยนี้ตัวจะอุ่นมากกว่าวัยอื่นและจำเป็นต้องระบายความร้อนออกจากร่างกายให้ได้ จึงจะสังเกตได้ง่ายว่า “ลูกขี้ร้อน” มีคุณแม่หลายคนกลัวว่าลูกจะเป็นหวัดง่าย จึงใส่เสื้อผ้าให้ลกแน่นหนาและปกปิดมิดชิด เท่านั้นยังไม่พอบางคนยังใส่ถุงมือถุงเท้าให้ลูกอีก ลูกจึงระบายความร้อนออกได้เพียงบริเวณซอกคอและศีรษะจึงมีเหงื่อออกมากตามข้อ พับต่าง ๆ ทำให้ผิวหนังบริเวณนี้เป็นผื่นแดง

แก้ไข
เมื่อ เกิดผื่นแดงตามข้อพับต่าง ๆ ควรผึ่งลมบริเวณที่เป็นผื่นให้แห้งและไม่ควรให้ลูกอยู่สภาพอบอ้าว เช่น ถ้าเกิดผื่นขึ้นบริเวณคอ คุณควรเอาผ้าหนุนบริเวณด้านหลังของคอของลูก เพื่อให้ด้านคอของลูกด้านหน้ารับลมและไม่เกิดการสีของเนื้อนี้ ในกรณีของขาหนีบที่มีเนื้อมาชนกัน ควรเช็ดบริเวณนั้นให้แห้ง แล้วใส่แป้งเด็กตามและไม่ควรให้ขาหนีบบริเวณนั้นอบมาก ควรใส่กางเกงขาสั้นบาง ๆ ให้แก้ลูก และถ้าให้ลูกนอนคว่ำจะช่วยลดความอบของบริเวณขาหนีบได้อย่างดี แต่ถ้าทำเช่นนี้แล้วผื่นแดงไม่ดีขึ้น คุณควรพาลูกไปหาหมอครับ หมอจะสั่งยาทาที่ถูกต้องได้ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นครีมที่มีตัวยาในกลุ่มสตี รอยด์ที่นิยมกันคือเพรดนิโซโลนทาบริเวณนี้ซึ่งตามปกติจะใช้เวลาเพียง 1-2 วันเท่านั้นผื่นแดงก็จะดีขึ้น เมื่อผิวหนังของลูกหายดีแล้วควรเลิกทายาให้ลูกทันทีและไม่ควรทาให้ลูกบ่อย ๆ เพราะจะเกิดผลเสียต่อร่างกายของลูกได้

การป้องกัน
อย่าให้ลูกอยู่ในสาภพอากาศที่ร้อนอบอ้าวเกินไป ตัดเล็บของลูกให้สั้น และไม่ควรใส่ถุงมือถุงเท้าให้ลูก เพื่อจะได้ระบายความร้อนได้ดี

ลูกหายใจเสียงดังเหมือนเป็นหวัด
อาการ หายใจดังคล้ายคนเป็นหวัดหรือมีน้ำมูกในจมูกจะพบได้บ่อยในระยะนี้ โดยจะได้ยินชัดเจนมากเวลากลางคืน หรือในห้องนอนที่ค่อนข้างเย็น การดูแลปัญหานี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาครับ เพียงแต่ใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำสะอาดเช็ดในรูจมูกของลูกก่อนนอนและปรับ อุณหภูมิห้องนอนอนของลูกให้สูงขึ้นเล็กน้อยโดยให้อยู่ประมาณ 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิระดับนี้จะพอเหมาะสำหรับจมูกลูกมาก
ถ้า ลูกยังหายใจเสียงดังเวลานอน ทำให้คุณไม่สบายใจควรพาลูกไปหาหมอ หมอจะให้ยาลดน้ำมูกมาเช็ดในรูจมูกหรือมทานก็ได้ อาการคัดจมูกของลูกอาจจะดีขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังคงเดิม จึงไม่ควรทำอะไรต่อไปทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะลูกยังคงนอนกลับได้ดีถึงแม้จะหายใจเสียงดัง และอาการนี้จะหายไปเองเมื่อลูกมีอายุใกล้ 3 เดือน

ลูกหายใจดังและมีเสมหะกลางคืน
คุณ จะพบปัญหานี้ได้ตั้งแต่ลูกกลับจากโรงพยาบาลจนลูกมีอายุ 2 เดือน ปัญหานี้คุณอาจจะคิดว่าลูกคุณเป็นหวัดหรือมีเสมหะในลำคอ แต่อาการเหล่านี้ไม่รบกวนการนอนหลับรวมทั้งการดูดนมของลูก และพอตื่นนอนลูกคุณจะไม่มีอาการเหล่านี้เลย จึงไม่ควรจะให้ลูกทานยาหรือให้ยาลดน้ำมูกเพราะอาการนี้จะเป็นเฉพาะเวลานอน และไม่รบกวนการหลับของลูกด้วย คุณอาจจะเพิ่มอุณหภูมิของห้องนอนช่วงเวลากลางคืนโดยให้อยู่ระหว่าง 25-26 เซ็นติเกรด อุณหภูมินี้จะพอเหมาะกับโพรงจมูกของลูก และอาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อลูกอายุประมาณ 1-2 เดือน

ปากมีหละ หรือติดเชื้อรา
บาง คนบนเพดานปากหรือบนเหงือกของลูกจะมีเม็ดตุ่มเล็ก ๆ สีขาวอยู่ ไม่ต้องตกใจนะครับ ตุ่มนี้เป็นตุ่มปกติ จะพบตุ่มหรือเม็ดขาว ๆ เหล่านี้ได้บ่อยเมื่อลูกอยู่ในวัยนี้ ตุ่มนี้จะแตกและหายไปได้เองอย่าใช้เข็มบ่งเพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อ และอักเสบขึ้นมา ชาวบ้านมักเรียกตุ่มนี้ว่า “หละ” ซึ่งหละนี้จะแตกต่างจากการติดเชื้อราในปาก เด็กที่มี “หละ” จะไม่มีอาการใด ๆ ทั้งสิ้น และมี 2-3 จุด ตามบริเวณที่กล่าวมาแล้ว แต่การติดเชื้อราในปากซึ่งพบได้บ่อยรองลงมาและมักพบในเด็กที่ไม่ได้รับนมแม่ จะพบบนเพดานปาก กระพุ้งแก้มทั้งสองข้างและลิ้น โดยจะมีตุ่มขาวนูนเต็มไปหมด บางครั้งรวมกันเป็นปื้นเชื้อราภายในปากนี้จะทำให้ลูกเบื่อนม อาจจะเนื่องจากการอักเสบภายในปาก เมื่อพบเชื้อราภายในปากควรใช้ยาสีหมึก (gentian violet) ทาภายในปากของลูกวันละ 1-2 ครั้ง เป็นเวลา 10 วันจะรักษาโรคนี้ได้และจะทำให้ลูกกลับมาดูดนมได้ดีดังเดิม

ดูดนมแล้วอาเจียนบ่อย นมออกมาเป็นตะกอนเล็กๆ
ลูก อาเจียนออกมาแต่ละครั้งทำให้หัวใจคุณแทบสลายกว่าลูกจะดูดนมหมดขวดกินเวลานาน เหลือเกินแต่อาเจียนพรวดเดียวนมออกมาหมด บางครั้งนมเปื้อนเปรอะเต็มหน้าเต็มตาลูก
ใน ระยะ 6 เดือนแรกของชีวิต หูรูดบริเวณหลอดอาหารต่อกับกระเพาะอาหารของลูกยังไม่ค่อยแข็งแรง เมื่อลูกดูดนมเข้าไปเต็มกระเพาะ ถ้ามีอะไรที่ทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นเช่นการไอ หรือการกดทับบริเวณช่องท้องอาจทำให้ลูกอาเจียนหรือสำรอกนมออกมาได้ การที่ลูกเอานิ้วล้วงคอใส่เข้าไปในปากก็อาจจะทำให้ลูกอาเจียนนมที่ทานเข้าไป แล้วออกมาได้
สาเหตุ ของการอาเจียนที่พบบ่อยคือให้ลูกดูดนมหรือทานอาหารมากเกินไป ตัวเลขที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการคำนวณให้นมลูกในแต่ละมื้อ คือประมาณ 20-25 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม เช่น ถ้าลูกมีน้ำหนักตัว 5 กิโลกรัม ในแต่ละมื้อควรจะดูดนมประมาณ 100-120 มิลลิลิตร แต่มีเด็กบางคนถ้าให้ตามนี้ยังทานไม่หมด ในขณะที่เด็กบางคนสามารถดูดได้มากกว่าที่คำนวณได้ ไม่ต้องเครียดกับตัวเลขที่กำหนดไว้ ถ้าตราบใดลูกทานแล้วไม่อาเจียนหรือมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าลูกทานนมมื้อนั้นพอหรือไม่คือให้สังเกตว่าขณะที่ลูกดูดนมหมดขวด ลุกยังคงดูดขวดนมเปล่านั้นแรงและยังลืมตากว้างหรือร้องกวนเมื่อนมหมด คุณอาจจะชงนมให้ลูกเพิ่มอีกสัก 30-50 มิลลิลิตร
สำหรับ สาเหตุการอาเจียนที่พบบ่อยรองลงมาคอการให้นมแต่ละมื้อถี่เกินไป เมื่อลูกดูดนมอิ่มในมื้อหนึ่งแล้ว มื้อต่อไปควรห่างจากนมื้อแรกประมาณ 21/2 – 3 ชั่วโมง แต่ไม่ควรต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เพราะในช่วงนี้ยังมีนมของมื้อก่อนอยู่ที่กระเพาะอาหาร ถ้าทานนมเข้าไปอีกจะทำให้กระเพาะมีนมมากเกินไป กระเพาะของลูกจะบีบให้อาเจียนนมออกมา ซึ่งจะออกทางปากและทางจมูก ให้รีบจับศีรษะลูกก้มต่ำลงแล้วให้หน้าของลูกตะแคงไปข้างใดข้างหนึ่งเพื่อให้ ลูกอาเจียนนมออกให้หมดและนมจะได้ไม่ลงไปในปอด
ถ้าเห็นนมเป็นตะกอนเล็ก ๆ ออกมาไม่ ต้องตกใจครับ นมที่ลูกดื่มเข้าไปไม่เสียหรอกที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเมื่อนมลงไปในกระเพาะ อาหารและผสมกับน้ำย่อยที่เป็นกรด นมจะกลายเป็นตะกอน นมวัวทุกชนิดจะเกิดตะกอนง่ายกว่านมแม่ จึงย่อยยากกว่านมแม่

จะดูแลอย่างไรถ้าลูกเป็นคนอาเจียนง่าย
ใน ระยะ 6 เดือนแรกของชีวิต ถ้าลูกเป็นคนอาเจียนง่ายกว่าเด็กอื่น โดยเฉพาะเมื่อดูดนมอิ่มอาการอาเจียนของลูกจะลดลงถ้าระวังและดูแลลูกให้ดี เช่น เวลาลูกดูดนม ควรชูก้นของขวดนมให้สูงเพื่อไม่ให้อากาศเข้าไปใกล้จุกนม โดยที่ศีรษะของลูกสูงกว่าลำตัวประมาณ 30 องศา เมื่อลูกดูดนมได้ครึ่งหนึ่งให้เอาขวดนมออก หรือเวลาลูกดูดนมแม่ขณะกำลังเปลี่ยนเต้านมควรจุบลูกมาไล่ลมประมาณ 2-3 นาทีแล้วค่อยให้ลูกดูดนมต่อ ลูกก็จะได้พักชั่วคราว และเมื่อลูกดูดนมเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งวางลูกนอนทันที การนอนคว่ำและก้นโด่ง รวมทั้งการนอนหงายจะทำให้ลูกอาเจียนง่าย ถ้าเป็นไปได้ควรอุ้มลูกให้อยู่ในอ้อมแขนโดยให้ศีรษะของลูกอยู่เหนือกว่า กระเพาะอาหารของลูกเล็กน้อยนานประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ท่านอนที่ดีที่สุดคือให้ลูกนอนคว่ำบนเบาะที่เอียงลงประมาณ 30 องศา ให้หัวลูกอยู่ในตำแหน่งบนตลอดเวลา คำแนะนำนี้เหมาะสำหรับลูกที่อาเจียนหลังดูดนมบ่อย ๆ นะครับ

หูมีกลิ่น
บาง ครั้งคุณอาจจะได้กลิ่นฉุนจากรูหูลูกและสงสัยว่าลูกเป็นหูน้ำหนวกหรือไม่ บางคนรีบพาลูกไปหาหมอ เพื่อให้หอมส่องดูในรูหูของลูกว่าทีอักเสบหรือไม่

กลิ่นมาจากขี้หู
เด็ก บางคนจะมีขี้หูมากกว่าคนอื่น ขี้หูจะมีกลิ่นฉุนตามธรรมชาติ แต่กลิ่นที่ฉุนนี้มีประโยชน์เพราะจะช่วยไล่แมลงหรือดไม่ให้เข้าไปในรูหู การมีกลิ่นที่หูจึงเป็นการดีต่อลูก

ไม่ต้องทำอะไร
ถ้า ลูกไม่มีอาการใด ๆ ไม่จำเป็นต้องทำอะไร แต่ถ้าคุณไม่สบายใจควรพาไปให้หมอตรวจดู ถ้าหมอตรวจพบว่ามีแต่ขี้หู ให้คุณทำความสะอาดเพียงบริเวณภายนอกของหูเท่านั้นไม่ควรเอาไม้แคะหูหรือ cotton bud ไชเข้าไปในรูหู เพราะอาจจะทำให้หูอักเสบได้

น้ำเข้าหูทำให้เป็นหูน้ำหนวกจริงหรือ
ยังมีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าน้ำที่เข้าหูลูกเวลาอาบน้ำ ทำให้เป็นหูน้ำหนวกซึ่งตามจริงแล้วน้ำที่เข้าหูลูกไม่ทำให้เกิดกรอักเสบหรอกครับ

การเกิดหูน้ำหนวก
หู น้ำหนวกมักเกิดจาการที่ลูกเป็นหวัดนำมาก่อน แล้วเชื้อโรคจะลุกลามจากบริเวณภายในลำคอเข้าช่องต่อหูชั้นกลางบริเวณนี้เกิด เป็นน้ำหนองขึ้นมาที่บริเวณหูชั้นกลาง เมื่อมีมากขึ้นจะทำให้แก้วหูเป่งตึง ระยะนี้ลูกจะปวดหูมาก ถ้าลูกยังเล็กและบอกไม่ได้จะมีแต่ตัวร้อนและร้องกวนมากจนเมื่อเยื่อแก้วหู ทะลุคุณจึงเห็นน้ำหนองไหลออกมาจากรูหู

ข้อควรปฏิบัติเมื่อน้ำเข้าหู
บริเวณทางเดินของหูชั้นนอกของลูกจะอักเสบได้ง่ายมาก และเวลาอักเสบลูกจะปวดบริเวณรูหูมาก จึงไม่สมควรที่จะใช้ cotton bud หรือไมแคะหูไชเข้าไปในรูหูลูก เพื่อซับน้ำหรืแคะขี้หูลูก คุณควรซับน้ำบริเวณภายนอกหูก็เพียงพอ

ท้องผูกมาก
ถ้า ลูกท้องผูกมากในวัยนี้มักจะเป็นมาก่อนขวบปีแรก อุจจาระของลูกจะก้อนใหญ่และแข็ง ลูกจะปวดเวลาถ่ายอุจจาระมาก จนบางครั้งอาจมีเลือดปนออกมกับอุจจาระ อาการคล้ายโรคริดสีดวงทวารในผู้ใหญ่เมื่อพบว่าลูกท้องผูกควรให้ความสำคัญ ตั้งแต่ต้น เพราะถ้าทิ้งไว้นานอุจจาระจะก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ การที่ลูกท้องผูกส่วนหนึ่งเกิดจากนมวัวที่ลูกทานที่ทำให้เกิดก้อนแข็งขึ้นมา ร่วมกับการที่ลูกไม่ทานผักและผลไม้จึงไม่มีกากอาหารที่ช่วยอุ้มน้ำในอุจจาระ เมื่อลูกเริ่มท้องผูก ลองคิดดูซิว่าเกิดจากการเปลี่ยนนมหรือไม่ ถ้าใช่ให้เปลี่ยนนมกลับไปชนิดที่เคยทานอยู่ทันที ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนนมควรพิจารณาดูว่าลูกทานผักผลไม้เพียงพอหรือ ไม่ ถ้าไม่พอก็ควรให้ผักผลไม้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าลูกเป็นคนทานผักและผลไม้ยาก ควรหาน้ำลูกพรุนหรือน้ำแอปเปิ้ลให้ลุกทานวันละ ½-1 แก้ว ถ้าไม่ดีขึ้นควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อให้ยารักษาแต่โดยเร็ว โดยทั่วไปหมอจะให้ยา liquid paraffin ซึ่ง เป็นไขมันนิดที่ลำไส้ไม่ดูดซึมเข้าร่างกาย จึงไปเคลือบอุจจาระให้ลื่นและถูกเบ่งออกง่าย ควรทานยานี้อยู่ระยะหนึ่ง โดยทานครั้งละ 2-3 ช้อนชา วันละ 2 ครั้งในระยะแรก ถ้าลูกท้องผูกเรื้อรังมาเป็นเวลานานอาจจะต้องทานยานานกว่า 6 เดือนโดยค่อย ๆ ลดยาลงมาพร้อมๆ กับทานผลไม้หรือน้ำผลให้มากขึ้น

ท้องผูก
ใน ระยะแรกเกิดถ้าลูกได้รับแต่นมแม่อย่างเดียวจะไม่ท้องผูก อุจจาระของลูกจะนุ่มกว่าเด็กอื่นที่ได้รับนมผสม ลูกจะถ่ายอุจจาระแข็งได้ ปัญหาเรื่องลูกถ่ายแข็งอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียวเพราะลูกจะพยายามเบ่ง อุจจาระอย่างรุนแรงแต่อุจจาระไม่ออกมาสักที เมื่อเบ่งไม่ออกลูกจะร้องกวนลั่นบ้าน บางทีคุณอาจจะเห็นก้อนอุจจาระผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ที่รูก้น แต่ไม่ยอมออกาจนคุณทนไม่ไหว จำเป็นต้องเอานิ้วแคะอุจจาระออกจากรูก้นของลูก ลูกจึงสบายขึ้น แต่ต้องระวัง! การทำเช่นนี้รูก้นลูกอาจจะฉีกเกิดเป็นแผลได้ ลูกจะไม่ยอมถ่ายอุจจาระมากขึ้นเพราะเจ็บแผลที่บริเวณรูก้น

ลูกเบ่งไม่ออกเพราะอุจจาระแข็งมาก
ใน ภาวะฉุกเฉินควรหาสบู่เด็กมาตัดแต่งให้เป็นแท่งแล้วชุบน้ำเมื่อลดเหลี่ยมมุม ต่าง ๆ สวนเข้าไปในก้นเพื่อลูกจะได้เบ่งอุจจาระออกมาได้ง่ายขึ้น

ทำไมลูกถึงท้องผูก
ขณะ นี้เชื่อว่าในนมผสมมีไขมันบางชนิดจับกับแคลเซียมในนมรวมตัวเป็นก้อนแข็งออก มากับอุจจาระ ซึ่งมักไม่พบปากฎการณ์นี้ในเด็กที่ทนนมแม่ นมผสมส่วนใหญ่มีไขมันเหล่านี้อยู่ ถึงแม้คุณจะเปลี่ยนชนิดของนม ลูกก็ยังท้องผูกเช่นเดิม

แล้วจะเลือกนมชนิดใดดี
ใน ระยะแรกคุณลองเปลี่ยนเป็นนมซิมิแล็ค หรือนมถั่ว ชนิดโปรโซบี และ ไอโซมิล นมที่ผมกล่าวนี้จะมีปัญหาน้อยกว่านมชนิดอื่น อาจจะช่วยได้บ้าง ถ้าลูกถ่ายดีขึ้นควรทานนมชนิดนี้ประมาณ 1-2 เดือนแล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นนมผสมชนิดที่คุณต้องการให้ลูกทาน

ท้องผูกเป็นประจำ
การ ถ่ายอุจจาระเป็นประจำทุกวันไม่ได้หมายความว่าลูกท้องไม่ผูกขนาดของอุจจาระมี ความสำคัญเช่นกัน เด็กบางคนถ่ายทุกวันแต่อุจจาระก้อนใหญ่มากและถ่ายเพียงก้อนเดียวก็เลิกถ่าย ทุกวันถ่ายเพียงก้อนเดียวก็ถือว่าท้องผูก ควรให้การรักษาโดยทันที เพราะการถ่ายขั้นนี้จะทำให้ลูกมีโอกาสเป็นริดสีดวงทวารและเลือดออกเวลาถ่าย อุจจาระได้ ควรเพิ่มผักและผลไม้ในอาหารของลูก ผลไม้ที่ช่วยระบายได้ดี ได้แก่ แอ๊ปเปิ้ล ลูกพรุนและลูกพีช แต่ผลไม้อื่นก็ช่วยระบายได้ถ้าลูกขอบก็ให้ทานเป็นประจำ เพราะต้อใช้เวลานานโดยสังเกตง่าย ๆ ว่าอุจจาระก้อนแรกของลูกมีขนาดเล็กลง ถ้าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรจะถือว่าภาวะท้องผูกของลูกจะดีขึ้น แต่ถ้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 2 เซนติเมตร ยังถือว่าไม่หายสนิทถึงแม้ว่าจะถ่ายอยู่ทุกวัน ควรเข้มงวดกับลูกเรื่องทานผลไม้และผักต่อไปอีกระยะหนึ่ง

ยามเจ็บป่วยจะดูอย่างไรว่าลูกป่วย
วิธีการดูง่าย ๆ ว่าลูกป่วยหรือไม่ก็คือดูกาดูดนมในแต่ละครั้ง และถ้าต้องการดูให้ละเอียดยิ่งขึ้นก็ดูจำนวนนมที่ลูกดูดในแต่ละวัน
ถ้า ลูกดูดนมแรงและเร็ว และเต็มอิ่มทุกมื้อ ถึงแม้จะนอนมากหลังการดูดนมก็ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเจ็บป่วย คุณอาจจะคำนวณนมที่ลูกได้รับทั้งวัน โดยใช้สูตรดังนี้ แต่ละมื้อ : 20 – 25 มิลลิลิตร x (คูณ) กับน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม ยกตัวอย่างเช่น ลูกมีน้ำหนักตัว 4 กิโลกรัม แต่ละมื้อควรได้รับนมประมาณ = (20 – 25) x 4 = 80 – 100 มิลลิลิตร หรือในแต่ละวันควรได้รับ = 140 – 160 มิลลิลิตร x น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) เช่นลูกมีน้ำหนักตัว 4 กิโลกรัม แต่ละวันควรได้รับนมประมาณ = 560 – 640 มิลลิลิตร
ถ้าลูกทานนมได้ปริมาณดังกล่าว โอกาสที่ลูกจะป่วยนั้นจะมีน้อยมาก

ปากเป็นเชื้อรา
ถ้า ลิ้นของลูกเป็นฝ้าขาวโดยที่บริเวณอื่นในปากปกติก็ดี ลิ้นที่เป็นฝ้านี้จะไม่รบกวนการทานอาหรหรือทานนมของลูก ไม่ต้องทำอะไรหรือหายาอะไรมาทาลิ้น แต่ในกรณีที่ฝ้าขาวอยู่เต็มช่องปาก ทั้งเพดานและกระพุ้งแก้มของลูกถึงแม้จะให้ดื่มน้ำแล้ว ฝ้าขาวนี้ยังคงอยู่ ฝ้าขาวที่เห็นนี้คือการติดเชื้อราซึ่งมีแนวทางการรักษาได้ 2 วิธี วิธีแรกใช้ยาทา gentian violet หรือยาสีหมึกทาในปาก ทั้งกระพุ้งแก้ ลิ้น และเพดานปาก วันละ 2 เวลา ประมาณ 10 วันหรือจนกว่าฝ้าในปากจะหายไป หรือจะให้ลูกรับประทานยา mycostatin เป็น เวลา 10 วันเช่นกัน ถ้าเป็นมากอาจจะให้ยาทานร่วมกับยาทาในปากก็ได้ ยานี้มีทั้งในรูปยาน้ำและยาเม็ด อย่าลืมนะครับว่าต้องรักษาให้ได้ตามจำนวนวันที่แนะนำหรือรักษาจนกว่าจะหาย เพราะอาจลุกลามลงไปในหลอดลมและลำไส้ได้

ถ่ายเป็นมูกเลือด ลูกยืดตัวหรือเปล่า
เมื่อ ลูกถ่ายเหลวผิดปกติ ไม่ว่าจะมีมูกเลือดหรือไม่ ถือว่าการถ่ายนี้ผิดปกติ โดยไม่เกี่ยวกับการยืดตัวของลูกเลย มีคนจำนวนมากปล่อยอาการถ่ายเหลวไว้เฉย ๆ ไม่รักษา โดยคิดว่าสักพักหนึ่งการถ่ายเหลวนี้คงหายเอง แต่ความจริงแล้วการถ่ายเหลวนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการติดเชื้อ จากการคลานหรือคืบของลูกไปอมสิ่งของต่าง ๆ โดยเฉพาะการถ่ายของลูกมีมูกเลือดปน เราเรียกภาวะโรคนี้ว่าโรคบิด จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ จำเป็นต้องได้ยาแก้อักเสบที่ถูกชนิดในการรักษา ยารับประทานในกลุ่มที่ใช้รักษาเป็นยาเม็ดคือ norfloxacin ซึ่งทานยามาก ต้องทานเช้า – เย็น และทานเป็นวลา 3 วันเป็นอย่างต่ำ ถ้าลูกอายุยังน้อยควรได้รับยาฉีดรักษาจะเหมาะสมกว่าการทานยา

ยาสมุนไพรต้ม
ยา สมุนไพรหลายชนิดสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้ถ้าได้รับคำแนะนำที่ดีแต่ สำหรับลูกแล้วอย่านำมาให้ลูกเลย เพราะการจะให้ยาอะไรแก่ลูกควรทราบว่ามีตัวยาอะไรบ้างและเป็นจำนวนเท่าใด ตัวยาที่จะให้ลูกทานนั้นมีผลข้างเคียงอะไรบ้างและตัวยานั้นมีปฏิกิริยากับ ตัวยาอื่นหรือไม่ บ่อยครั้งที่เราพบว่าในตัวยาสมุนไพรต้มนั้นมียาสเตียรอยด์ ตัวยานี้เป็นยาอันตรายที่ควรระมัดระวังการใช้อย่างยิ่ง ถ้าทานเข้าไปจะทำให้ลูกทานอาหารเก่ง หอบหืด ปวดข้อ ปวดเมื่อยต่าง ๆ จะดี แต่เมื่อทานยานี้เกิน 4-5 วันขึ้นไปยานี้จะกดการทำ งานของต่อมหมวกไต ทำให้เวลาขาดน้ำ ขาดเกลือ ร่างกายจะเกิดอาการช็อคอย่างรุนแรงและรวดเร็ว นอกจากนั้นยานี้ยังสลายกระดูกและกัดกระเพาะได้ด้วย จึงทำให้กระดูกผุและหักง่าย และเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเนื่องจากกระเพาะอาหารอักเสบได้

อายุนี้ต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง
ตาม ปกติภายในอายุ 5 ปี ลูกจะได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน แต่มีวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม ที่ลูกควรได้รับการฉีดกระตุ้นในช่วงอายุ 4-6 ปี และวัคซีนป้องกันคอตีบและบาดทะยักที่ควรได้รับการกระตุ้นเมื่ออายุ 10-16 ปี ลองนำสมุดสุขภาพของลูกมาดูว่าได้รับการฉีดวัคซีนหรือยัง สำหรับที่โรงเรียนอาจจะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก บางครั้งอาจจะรณรงค์หยอดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ถ้าโรงเรียนไม่คิดเงินก็รับเกินได้แต่ขณะนี้มีบริษัทที่ติดต่อโรงเรียนโดย ตรงจะฉีดวัคซีนให้เด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนในราคาถูกนั้นส่วนใหญ่จะเป็น วัคซีนที่ลูกได้ครบถ้วนแล้ว และถ้าเป็นวัคซีนที่ลูกไม่เคยได้รับก็มักจะเป็นวัคซีนที่ไม่จำเป็นต้องทำ เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันโรคกาฬหลังแอ่น เป็นต้น ยังมีวัคซีนอีก 3 ชนิดที่ไม่ได้อยู่ในตารางภาคบังคับ คือ 1. วัคซีนป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ฮิบ) ถ้าต้องการให้ลูกฉีดควรให้ลูกฉีดเมื่ออายุ 2, 4 และ 6 เดือน รวมทั้งหมด 3 เข็ม 2. วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบ เอ ควรให้ลูกฉีดเมื่ออายุ 6 ปีขึ้นไป โดยฉีด 2 เข็มห่างกันเข็มละ 6 เดือน และ 3. วัคซีนป้องกันโรคสุกใส ถ้าจะให้ลูกฉีดควรเริ่มฉีดเมื่ออายุ 10 ปี แต่ถ้าลูกอายุเกิน 13 ปี ควรฉีด 2 เข็มห่างกันเข็มละ 4-8 สัปดาห์



Create Date : 12 กันยายน 2552
Last Update : 12 กันยายน 2552 17:24:11 น. 8 comments
Counter : 58097 Pageviews.

 
เน„เธงเธฃเธฑเธชเธ•เธฑเธšเน€เธญ เน€เธฃเธดเนˆเธกเธ‰เธตเธ”เน„เธ”เน‰เธ•เธฑเน‰เธ‡เนเธ•เนˆ 2 เธ‚เธงเธšเธ„เนˆเธฐ เนเธฅเธฐเน€เธ™เธทเนˆเธญเธ‡เธˆเธฒเธเน€เธŠเธทเน‰เธญเธ™เธตเน‰เธ•เธดเธ”เธ•เนˆเธญเธเธฑเธ™เน„เธ”เน‰เธ‡เนˆเธฒเธขเธ—เธฒเธ‡เธญเธฒเธซเธฒเธฃเนเธฅเธฐเธ™เน‰เธณเธ”เธทเนˆเธก เธ”เธฑเธ‡เธ™เธฑเน‰เธ™ เธ—เธฒเธ‡เธ—เธตเนˆเธ”เธตเธ„เธงเธฃเธˆเธฐเธ‰เธตเธ”เธเนˆเธญเธ™เธ—เธตเนˆเธ™เน‰เธญเธ‡เธˆเธฐเน€เธ‚เน‰เธฒเน‚เธฃเธ‡เน€เธฃเธตเธขเธ™เธ‹เธถเนˆเธ‡เธˆเธฐเธกเธตเน‚เธญเธเธฒเธชเธชเธฑเธกเธœเธฑเธชเน€เธŠเธทเน‰เธญเธชเธนเธ‡ เธ‰เธตเธ”เนเธฅเน‰เธงเธกเธตเธ เธนเธกเธดเน„เธ›เธ•เธฅเธญเธ”เธŠเธตเธงเธดเธ•

เธชเนˆเธงเธ™เธงเธฑเธ„เธ‹เธตเธ™เธชเธธเธเนƒเธช เธ›เธฑเธˆเธˆเธธเธšเธฑเธ™เน€เธ”เน‡เธเธ•เนˆเธณเธเธงเนˆเธฒ 13เธ›เธต เธเน‡เนเธ™เธฐเธ™เธณเนƒเธซเน‰เธ‰เธตเธ”เธชเธญเธ‡เน€เธ‚เน‡เธกเนเธฅเน‰เธงเน€ เธ™เธทเนˆเธญเธ‡เธˆเธฒเธเธ‰เธตเธ”เน€เธ‚เน‡เธกเน€เธ”เธตเธขเธง เธˆเธฐเธ›เน‰เธญเธ‡เธเธฑเธ™เน‚เธฃเธ„เน„เธ” 70 เน€เธ›เธญเธฃเนŒเน€เธ‹เธ™เธ•เนŒ เธ–เน‰เธฒเธ‰เธตเธ”เธเธฃเธฐเธ•เธธเน‰เธ™เน€เธ‚เน‡เธก 2 เธˆเธฐเธ›เน‰เธญเธ‡เธเธฑเธ™เน„เธ”เน‰เธ–เธถเธ‡ 98 %เธ„เนˆเธฐ


โดย: เธœเนˆเธฒเธ™เธกเธฒ IP: 222.123.171.244 วันที่: 25 ธันวาคม 2552 เวลา:12:06:22 น.  

 
ขอบคุณมากคราบบบ


โดย: พ่อลูกออ่น IP: 115.87.13.145 วันที่: 9 มกราคม 2556 เวลา:10:25:04 น.  

 
ขอบคุงค่ะ


โดย: ชิดนีย์ IP: 101.51.162.6 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2556 เวลา:12:56:45 น.  

 
เป็นข้อมูลที่ดีมีประโยขน์ มากๆๆค่ะ


โดย: อมรรัตน์ มะธุรส IP: 27.55.24.251 วันที่: 15 ธันวาคม 2556 เวลา:0:00:58 น.  

 
เราเคยเป็นเหมือนกันนะปัญหาการมีกลิ่นที่ขาหนีบอ่ะแต่เดียวนี้เราหายล่ะเราใช้แป้งFICระงับกลิ่นกายใช้แล้วเราไม่มีกลิ่นตัวเลย


โดย: วาวา IP: 61.90.105.88 วันที่: 15 กันยายน 2557 เวลา:14:58:06 น.  

 
เครียด


โดย: แม่ลูกสาม IP: 49.230.199.202 วันที่: 10 ธันวาคม 2558 เวลา:10:37:53 น.  

 
คือตรงกระพุ้งแก้มด้านในลูกทฝมีสีขาวๆ. เหมือนร้อนในอะคะ. มันคืออะไร. น้ำลายไหลตลอดเลยทานนมไม่ค่อยได้


โดย: สุพรรณิการ์ IP: 1.46.14.172 วันที่: 3 มีนาคม 2559 เวลา:10:29:23 น.  

 
น้องอายุเดือนเศษ มีน้ำเหลืองออกมาจากรูหูทั้ง 2 ข้าง เป็นอาการปกติในเด็กป่ะค่ะ แล้วควรต้องทำยังไงค่ะ ช่วยตอบที กังวลมากค่ะ


โดย: ้น้องวุ้นเส้น IP: 118.173.187.52 วันที่: 29 ตุลาคม 2560 เวลา:8:24:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.