ความรู้มีไว้แบ่งปัน

CM Triplets
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Group Blog
 
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
14 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add CM Triplets's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 
ช้าลงฉลาดขึ้น โดย หนูดี

ช้าลงฉลาดขึ้น โดย หนูดี

โลกของเด็กไทยในปัจจุบันนี้ เริ่มน่าสงสารพอ ๆ กับโลกของผู้ใหญ่ที่เป็นคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเขาทีเดียว...หนูดีเริ่มรู้สึกว่า โลกของเรามันหมุนเร็วจี๋ขึ้นทุกทีจนบางครั้งผู้ใหญ่อย่างหนูดีชักจะตามไม่ค่อยทัน...อันความเร็วนี้หนูดีไม่ได้หมายถึงความถี่ในการออกโรศักท์หรือโทรทัศน์จอแบนรุ่นใหม่ ๆ แต่หมายถึงจังหวะชีวิตของคนเมืองอย่างพวกเรา ที่บางครั้งการนั่งลงกินอาหารเช้าด้วยกันสบาย ๆ ด้วยกัน ก็แทบจะไกลเกินเอื้อม เพราะพ่อแม่ต้องรีบแต่งตัวดื่มกาแฟแล้วรีบออกไปทำงาน ส่วนลูก ๆ ก็ตื่นขึ้นมาด้วยการปลุกอย่างเร่งด่วน และไปกินอาหารเช้ากันในรถเพราะไม่อย่างนั้นไปโรงเรียนไม่ทัน...จริง ๆ แล้วปัญหานี้หนูดีเห็นมาหลายปีจนแทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงกันอีกต่อไป แต่กลายเป็นว่า ปีหลัง ๆ เริ่มหนักข้อขึ้นอีกเพราะจากที่เด็กมัธยมต้องไปเรียนพิเศษเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย กลายเป็นว่าตอนนี้ น้อง ๆ ประถมก็ต้องเริ่มไปเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้ามัธยมกันแล้ว และยังไม่พอตอนนี้พ่อแม่น้อง ๆ อนุบาลก็เริ่มมาถามหนูดีแล้วว่า ให้ลูกเริ่มเรียนเปียโนได้หรือยัง กลัวลูกจะเร่มเมื่อสายไป...ประมาณว่ากว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว และตอนนี้ลูกก็อยู่อนุบาลแล้ว ไม่รู้ว่าจะสายเกินไปหรือยัง

ฟังแล้วหนูดีแสนจะเป็นห่วงเด็ก ๆ รุ่นนี้ เพราะชีวิตของเขาเริ่มจะซับซ้อนตั้งแต่เขายังไม่ค่อยจะรู้จักกันเลยว่าด้วยซ้ำว่า ชีวิตคืออะไรความซับซ้อนคืออะไร...คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราใช้ชีวิตอยู่บนเลนเร็วกันมาจนชิน ตั้งแต่เราอยู่มัธยมเราก็สอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งแสนจะเป็นที่ภูมิใจเพราะ “ประหยัดเวลา” กันไปได้เป็นปี และก็จบออกมาทำงานได้ก่อนเพื่อนอายุเท่า ๆ กันตั้งนาน พอคนรุ่นนี้มีลูก ก็เลยจับเอาจังหวะเร็วนี้มาส่งต่อให้ลูกรับไปดำเนินชีวืตด้วย...ในฐานะเจ้าของโรงเรียน หนูดีต้องคุยกับพ่อแม่จำนวนมากในแต่ละปีที่ต้องการให้ลูกตัวเล็ก อายุน้อยกว่าเกณฑ์กระโดดข้ามชั้นไปเรียนกับรุ่นพี่ที่โตกว่าทั้ง ๆ ที่เด็กเองก็ไม่ได้พร้อม เพียงเพราะคิดว่าการที่ลูกเรียนเร็วจะดูเหมือนลูก “ฉลาด” กว่าปรกติ และจะมีโอกาสมากกว่าเพื่อน ๆ ทั่วไป



เร็วกว่า..ไม่ได้หมายความว่าดีกว่า

การเรียนเร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน การกระโดดข้ามชั้นและจบออกมาทำงานได้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าชีวิตลักษณะนี้ดีกว่าชีวิตที่ดำเนินไปย่างช้า ๆ ตามจังหวะนะคะ หลายครั้งการกระโดดข้ามชั้นหมายถึงว่ายังเด็กยังมีสภาวะทางสังคมและอุปนิสัยไม่พร้อมเสียด้วยซ้ำ ในระยะยาวกลับส่งผลเชิงลบให้กับชีวิตเด็กได้มากกว่าผลเชิงบวกอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เด็กคนหนึ่งเรียนเร็วมาก อายุน้อยตัวก็เล็กกว่าเพื่อน แต่เป็นเด็กอ่านไวคำณวนเก่ง ทั้งพ่อแม่และครูเลยอยากให้เลื่อนชั้นขึ้นมาเร็ว ๆ พอขึ้นชั้นมาแล้วกลายเป็นเข้ากับเพื่อน ๆ ไม่ได้ด้วยความที่บุคลิกเด็กกว่าใคร เล่นอะไรก็ไม่เป็นจึงมีเพื่อนน้อย หมดความมั่นใจในตนเอง เกรดก็เลยตกในที่สุด กับเด็กอีกคนหนึ่ง เกิดเร็วกว่าเพื่อนหน่อย พ่อแม่ขอข้ามชั้นแล้วครูไม่ให้ ถึงแม้ไม่พอใจแต่พ่อแม่ก็เข้าใจได้ในความหวังดีของครูจึงยินยอมให้ลูกอยู่ในชั้นเรียนที่มีเพื่อน ๆ ทั่วไปอายุน้อยกว่าทั้งสิ้น ปรากฎว่าเด็กกลับมีพัฒนาการกล้ามเนื้อร่างกายและสังคมล้ำหน้ากว่าเพื่อนจึงได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้องเป็นประจำ เวลาเล่นอะไรก็เป็นหัวหน้ากลุ่ม เด็กคนนี้จึงเกิดความมั่นใจในตนเอง และเมื่อมาดูเรื่องการเรียนก็พบว่า เด็กเข้าใจในเนื้อหาได้ดีมากทำให้มีคะแนนรวมดี...ผลสองด้านมารวมกันเลยทำให้พ่อแม่ยิ้มออก

บางครั้งการที่เราทำอะไรได้เร็วกว่าคนอื่นในเวทีชีวิต...ก็ไม่ได้หมายความว่าเราได้โอกาสที่ดีที่สุดเสมอไป...แน่นอนว่า ถ้าเป็นการแข่งขันเกมอัจฉริยะข้ามคืน เวลาแค่หนึ่งวินาทีที่เราเร็วกว่าคู่ต่อสู้ก็ย่อมมีคุณค่าทำให้แพ้ชนะได้ แต่ในเวทีชีวิต...เวลาที่ต่างไปหนึ่งปีหรือบางครั้งห้าปีก็ไม่ได้ทำให้แตกต่างขนาดนั้น ลองนึกดูสิคะเด็กเรียนจบมหาวิทยาลัยเร็วกว่าเพื่อนหนึ่งปีมีความหมายมากมายขนาดไหนเมื่อเด็กคนนั้นอายุสิบห้าปี...หรือคน ๆ หนึ่งเรียนจบออกมาทำงานแล้วห้าปี เทียบกับเพื่อนคนหนึ่งไม่เคยทำงานเลยแต่เลือกไปเรียนปริญญาเอก เมื่อเรียนจบอาจได้ตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าของคนที่จบมาก่อนทำงานมานานกว่าด้วยซ้ำ...เพราะฉะนั้น การทำอะไรได้เร็วกว่าอาจไม่ได้หมายความว่าดีกว่าเสมอไปหรอกค่ะ



มากกว่า...ก็ไม่ได้หมายความว่าดีกว่า

การทำอะไรได้มากกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเราเก่งกว่าหรือฉลาดกว่าหรอกค่ะ...บางครั้งการเรียนพิเศษมากมายหลายประเภท หรือมีอะไรทำมากมายตลอดเวลาก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เด็กเก่งกว่าในระยะยาว เพราะการที่เราเรียนพิเศษเป็นการฝึกทักษะหนึ่งหรือสองประเภทเท่านั้น เช่น คณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษ หรือดนตรี แต่การเป็นคน “ฉลาด” มีความหมายหลาหลายชนิดมาก...และการ “ฝึกทักษะ” กับการ “ฝึกกระบวนการคิด” บางครั้งก็เป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว

หลายครั้งหนูดีเห็นเด็กวัยรุ่นบางคนเก่งหลายอย่างทั้งดรตรี กีฬา แถมเรียนเก่งอีกด้วย...แต่เด็กไม่มีความสุขเลยค่ะ ส่วนใหญ่เด็กที่ไม่มีความสุขเป็นเพราะถูกพ่อแม่บังคับให้เรียนมาก ๆ ส่วนเด็กที่มีทักษะหลาย ๆ อย่างและมีความสุขไปด้วยส่วนใหญ่เด็กจะเป็นคนขอเรียนเอง...เพราะฉะนั้นในฐานะพ่อแม่ ถ้าเราอยากให้ลูกเก่งหลาย ๆ ทางเราอาจจะถามและแนะนำลูกว่า อยากลองเรียนสิ่งนั้นสิ่งนี้ไหมแต่ไม่ควรบังคับ...เพราะอย่างที่คุณแม่ทำกับหนูดีก็คือชักชวนไปเรียนและถ้าไม่ชอบ พอหมดคอร์สที่เราจ่ายเงินไปแล้วก็เลิกเรียนได้และที่ตลกคือ หนูดีก็ชอบไปเสียแทบหมดทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่ตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เช่น เรียนละครเรียนบัลเลต์ เรียนโยคะ เรียนการพูดหน้าที่ชุมชน เรียนเปียโน เรียนร้องเพลง ฯลฯ... และที่น่ารักคือแม่รักษาสัญญาค่ะ อย่างเปียโน...ทำอย่างไรหัวหนูดีก็ไม่รับเครื่องดนตรีชนิดนี้ ญาติดีกันไม่ได้จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ชอบฟังเปียโนมาก แถมแม่ก็ซื้อเปียโนเครื่องเบ้อเริ่มมาตั้งไว้แล้วในบ้าน...พอลูกพูดคำเดียวว่า “มันไม่ไหวจริง ๆ ค่ะแม่”หนูดีก็ไม่ต้องเรียนอีกต่อไป.แต่เรายังมีเปียโนหนึ่งหลังตั้งไว้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความจำค่ะ

เด็กฉลาดคือเด็กที่มีกระบวนการคิดที่ดีและชัดเจน เป็นระบบเป็นสายที่ต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน สิ่งที่จะสร้างตรงนี้ได้ จริง ๆ แล้วก็คือการที่พ่อแม่มีเวลานั่งลงชวนลูกคุยถึงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน หรือยกเอาหัวข้อที่ทำให้เกิดการคิดมาพูดคุยกันในเวลาว่างหรือโต๊ะอาหาร เช่น ลูกคิดว่าเราจะทำอะไรได้ในบ้านหลังนี้เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน (แล้วถือโอกาสคุยกับลูกเลยค่ะว่า ภาวะโลกร้อนคืออะไร) หรือลูกรู้ไหมว่า เกิดอะไรขึ้นเมื่อปลาแซลมอนในฟาร์มที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมแล้ว หลุดออกมาปนกับแซลมอนในธรรมชาติ (น่าสงสารค่ะแซลมอนธรรมชาติในบริเวณนั้นถูกแย่งอาหารกินเสียแทบสูญพันธุ์...อ้อ แล้วอย่าลืมคุยเรื่องพืชและสัตว์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมนะคะ แล้วบอกลูกเสียเลยว่า จุดยืนของบ้านหลังนี้ อยู่ตรงไหนในเรื่องของการรบกวนธรรมชาติ) วิธีการนี้ เราเรียกกันว่า “ยิมนาสติกสำหรับสมอง” ค่ะ ออกกำลังสมองทุกวันแบบนี้ดีนะคะ ดีกว่าส่งลูกไปเรียนพิเศษที่ต่าง ๆ จนเด็กขยาดการเรียนไปเลย...



ถึงมหาวิทยาลัยก็ยังไม่สาย

หนังสือบางเล่มตั้งชื่อได้เสียน่าตกใจสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างมากเช่น “กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” พ่อแม่บางคนเพิ่งมาเห็นหนังสืออย่างนี้เมื่อลูกอยู่ประถมก็พากันตกใจว่า “แล้วฉันทำอะไรพลาดไปแล้วบ้างนี่” ...อย่ารีบด่วนตกใจไปค่ะ...สมองเราพัฒนาได้เรื่อย ๆ ทุกวัน แม้แต่เป็นผู้ใหญ่อย่างเราแล้วยังพัฒนาได้...เด็ก ๆ ยิ่งทำได้ดีใหญ่ไม่ว่าเป็นน้องมัธยมหรือพี่มหาวิทยาลัย...ไม่มีคำว่า “สายไป” สำหรับสมองหรอกค่ะ มีแต่ “เริ่มวันนี้ดีที่สุด” อย่ากังวลถึงเวลาที่ล่วงผ่านไป กังวลถึงอนาคตดีกว่าค่ะว่า วันนี้จะดูแลสมองอย่างไร และพรุ่งนี้จะเรียนรู้อะไรดี...โดยไม่มากไม่น้อยไป การเรียนรู้ก็เหมือนการวาดภาพศิลปะค่ะ...คือรู้ว่าเมื่อใดควรจะหยุด



ชมรมช้าลง

ในโลกยุคปัจจุบันนี้ หากเราให้ของขวัญพิเศษอะไรให้ลูกได้ชิ้นหนึ่ง หนูดีอยากแนะนำให้ลองให้เวลา “ว่าง ๆ ” กับลูกดูสิคะ เวลาที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นเวลาสบาย ๆ ที่เด็กในอดีตและเด็กในต่างจังหวัดมีกันเหลือเฟือจนเขารู้สึกว่าโลกนี้เป็นที่สบาย ๆ และน่าอยู่เสียเหลือประมาณ

เชื่อไหมคะว่า ทุกวันนี้เด็ก ๆ รุ่นนี้แทบจะใช้เวลานั่ง ๆ กับตัวเองไม่เป็นแล้วทั้ง ๆ ที่เราเองก็รู้ดีว่าการอยู่นิ่ง ๆ สงบ ๆ ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การวางแผนและการใช้สมองขั้นสูงได้ดีแค่ไหน แม้แต่งานวิจัยสมองใหม่ ๆ ก็ออกมายืนยันว่าการนั่งสมาธิในความสงบพบว่าพัฒนาสมองในเรื่องความทรงจำและการเพ่งความคิดได้ดีแค่ไหน แม้แต่ฝรั่งยังเริ่มหันมานั่งสมาธิมากมาย โดยเฉพาะฝรั่งในวงการวิชาการเพราะเขารู้ดีว่า มันใช้พัฒนาสมองได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเลยด้วยซ้ำ



ช้าลง...ฉลาดขึ้นได้

ในการที่เราใช้ชีวิตช้าลง...สามารถทำให้เราฉลาดขึ้นได้ค่ะ เพราะเราจะมีเวลาจัดระบบให้ชีวิตมากขึ้นคิดถึงสิ่งที่ทำแล้วคุ้มค่าเวลาในชีวิต แทนที่จะทำในสิ่งที่ “ต้องทำ” และเมื่อทำเสร็จทุกรายการในลิสต์ เราก็เหนื่อยแสนเหนื่อยและไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขหรือมีคุณค่ามากขึ้นเท่าไรเลย และหากเราเลือกพัฒนาอัจฉริยภาพได้ด้านหนึ่งที่สำคัญที่สุด...ทุกคนที่หนูดีรู้จักไม่ว่าเป็นเพื่อนนักวิจัย หรือคนไทยทุกคนที่ได้เคยสัมผัส ต่างก็โหวตให้ “อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง” สำคัญและเร่งด่วนที่สุด สังเกตไหมคะว่า อัจฉริยภาพด้านอื่น ๆ เราต้อง “วิ่ง” ออกไปเรียนรู้ แต่อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเองนั้น เราต้องอยู่นิ่ง ๆ กับตัวเองให้มากที่สุด...ยิ่งนิ่งยิ่งได้ ยิ่งนิ่งยิ่งเข้าใจ...ถ้าวันนี้จังหวะของเราและลูกเร็วไป...ลองลดลงก็ได้นะค่ะ ตัดบางสิ่งที่เหมือนจะจำเป็นแต่ไม่จำเป็นออกไป มีเวลาหายใจสบาย ๆ ขึ้นบ้าง จูงลูกไปเดินเล่นและคุยกันในสวนสาธารณะบ้าง...นี่ละค่ะเป็นของขวัญทางปัญญาที่ดีที่สุดที่เราจะให้ลูกได้แล้ว ในโลกปัจจุบันนี้...ช้าลงอาจจะไม่ได้หมายความว่าไม่ฉลาดนะคะ...ช้าลง ยิ่งนิ่งลง...อาจจะฉลาดขึ้นก็ได้...อย่าเชื่อหนูดีค่ะ ตามหลักกาลามสูตรแล้ว...ต้องลองเองนะคะ แล้วค่อยเชื่อ



Brain Tips

คนมักคิดว่า สมองเป็นตัวสั่งการให้เราทำสิ่งต่าง ๆ แสดงท่าทางต่าง ๆ พูดประโนคต่าง ๆ แต่ทราบไหมค่ะว่า นักวิทยาศาสตร์เริ่มจะมีความคิดใหม่ ๆ ว่าจริง ๆ การทำงานของสมองน่าจะเป็นผลพลอยได้ของสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ สภาพแวดล้อมทางอารมณ์ และสภาพอาหารการกินมากกว่า เพราะฉะนั้น หากเราอยากดูแลสมอง เราเริ่มจากการดูแลสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่และเลือกคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของเราให้ดี ๆ ดีกว่าค่ะ แล้วสมองของเราจะค่อย ๆ ดีตามไปเอง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการดูแลสมองทุกวัน ๆ วันค่ะ




(update 18 พฤษภาคม 2009)
[ ที่มา.. นิตยสารบันทึกคุณแม่ Vol. 15 Issue 179 June 2008 ]



Create Date : 14 กันยายน 2552
Last Update : 14 กันยายน 2552 10:18:53 น. 2 comments
Counter : 736 Pageviews.

 
โลกหมุนช้า ทำให้ใจเราไม่ร้อนรนเกินไป แต่ถ้าเราอยู่เฉยๆ ทุกอย่างก็จะแซงเราไปอย่างรวดเร็วไม่รู้ตัว คิดว่าเป็นจังหวะก็แล้วกัน ถ้ารู้สึกเหนื่อยก็ช้าลง แต่ถ้ายังเต็มที่ก็ลุยไปเลย.....


โดย: pinkcat2002 วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:10:55:10 น.  

 
ขอ copy ไว้เตือนความจำ

ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่แบ่งปัน


โดย: ภูเลโอ วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:19:12:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.