space
space
space
 
กุมภาพันธ์ 2567
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
14 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

พระรัตนตรัยเป็นยอดสรณะ ที่โยงเราไปยังปัญญาซึ่งเห็นอริยสัจ แต่เพราะว่าเราไม่ได้ค้นพบธรรมด้ว
พระรัตนตรัยเป็นยอดสรณะ  ที่โยงเราไปยังปัญญาซึ่งเห็นอริยสัจ
 
 
     แต่เพราะว่าเราไม่ได้ค้นพบธรรมด้วยตนเอง   เราก็เลยไม่ได้เป็นสัมมาสัมพุทธะ   เราอาศัยพระสัมมาสัมพุทธะมาบอกมาแนะนำให้  เราจึงเป็นผู้รู้ตาม    เราก็เป็นอนุพุทธะไป   แต่ก็เป็นพุทธะนั่นแหละ
 
     เพราะฉะนั้น ในพระสูตร  พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงพระสาวกที่เป็นพระอรหันต์  ว่าเป็น  ผู้ตรัสรู้แล้ว  คือเป็น  พุทธะ เช่น คราวหนึ่งพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น มาเฝ้าพระพุทธเจ้า กำลังเดินเข้ามา พระพุทธเจ้าทรงเปล่งพระอุทาน  ใช้คำว่า  ท่านเหล่านั้นเป็น  พุทธะ   (ขุ.อุ. ๒๕/๔๒)
 
     (ทรงใช้คำนี้ในการอธิบายเหตุที่ตรัสเรียกท่านเหล่านั้นว่าเป็นพราหมณ์ คือ เป็นพราหมณ์แท้ที่ลอยบาปให้หมดหายไปได้จริงด้วยการปฏิบัติ   ไม่ใช่สักว่าเป็นพราหมณ์ไปตามชาติกำเนิดที่เกิดขึ้นมาในวรรณะนั้นแล้วก็มาอาบน้ำล้างลอยบาปไปในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์  เช่น  แม่น้ำคงคา)
 
     นั่นก็คือว่า  ทุกคนเมื่อได้ฝึกตนจนกระทั่งเข้าถึงธรรมโดยสมบูรณ์อย่างพระองค์  ก็เป็นพุทธะเช่นเดียวกับพระองค์เหมือนกัน
 
     เมื่อมนุษย์มีการฝึกฝนพัฒนาตน  เขาก็เริ่มใช้ความสามารถที่มีอยู่ของเขาเดินหน้ามาเข้าถึงธรรม  ตัวทัมม์  ท ทหาร (ทัมมะคือผู้ฝึกได้)  ก็มา ประสานกับตัวธัมม์  ธ  ธง  (ธัมมะคือธรรม) ตอนนี้ก็คือเขาเดินในทางของการที่จะเป็นพุทธะ
 
     เมื่อเขาเดินทางที่จะเข้าถึงความเป็นพุทธะนี้  เขาจะเริ่มเป็นอริยชน และก้าวหน้าไปตามลำดับ  คนที่พัฒนาขึ้นมาสำเร็จในระดับแรกที่ท่านยอมรับ ก็คือเป็นโสดาบัน พอพัฒนามากขึ้นก็เป็นสกทาคามี  พัฒนามากขึ้น ก็เป็นอนาคามี  จนกระทั่งจบก็เป็นพระอรหันต์
 
     ท่านเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในวิถีทางของการศึกษา   ระหว่างที่ยังไม่จบการศึกษา ยังไม่บรรลุธรรมสูงสุดก็เรียกว่า เสขะ หรือ เสกขะ
 
     เสขะ หรือ เสกขะ  ก็มาจาก สิกขา  สิกขานั้นแปลง  อิ เป็น  เอ  ก็ เป็นเสกขา แล้วทำ อา ให้สั้นเป็น  อะ เป็นเสกขะ (ตัด “ก” ออกก็เป็น เสขะ)  ก็คือ  คนผู้บำเพ็ญสิกขา หรือพูดง่ายๆ ว่านักศึกษานั่นเอง
 
     ผู้บำเพ็ญสิกขา  ก็เป็นเสกขะ  และเริ่มได้ชื่อว่าเข้าสู่ชุมชนที่จะเป็นพุทธะแล้ว  พอจบก็เป็นอเสกขะ  ไม่ต้องศึกษาต่อไป ก็คือเป็นพุทธะ
 
     คนที่กำลังศึกษาพัฒนาตนทั้งหลาย ก็พัฒนาอยู่ในระดับต่างๆ กัน  เป็นโสดาบัน  เป็นสกทาคามี  เป็นอนาคามี ตลอดจนคนที่พัฒนาตน ศึกษาจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์  เป็นอเสขะ หรืออเสกขะ  รวมกันแล้วก็เกิดเป็นชุมชนขึ้นมา คือชุมชนของคนที่มีการศึกษาพัฒนาตน  ชุมชนนี้  กำหนดให้เรียกชื่อว่า สังฆะ
 
     สมาชิกของชุมชน ซึ่งเป็นนักศึกษาผู้บำเพ็ญสิกขา   ได้สร้างชุมชนนี้ขึ้นให้เป็นจริง  มีอยู่จริง  เป็นไปได้ และเราก็จะต้องเข้ามาร่วมในชุมชนนี้ด้วย  เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมที่ดีงามขึ้น
 
     ถ้าเราเอาหลักสังฆะมาเตือนใจ   เราก็จะได้เพิ่มกำลังใจที่โยงมาถึงตัวเอง
 
        ๑. เรามองพุทธะว่า   มีมนุษย์ผู้หนึ่งที่ได้พัฒนาตนสูงสุด  กลายเป็นพุทธะ  ขึ้นเป็นแบบอย่าง  
 
        ๒. เราเกิดกำลังใจที่จะพัฒนาอย่างนั้นให้สำเร็จ ด้วยการดำเนินตามธัมมะ และเข้าถึงธัมมะ
 
        ๓. ตัวเราก็จะเข้าไปอยู่ร่วมในชุมชนที่เป็นสังฆะได้  ดังมีประจักษ์พยานให้เห็นว่า  เราก็จะเป็นได้อย่างนั้น
 
     ถ้าเราระลึกถึงพระรัตนตรัยอย่างถูกต้อง   เราจะเกิดกำลังใจ  และสำนึกในการปฏิบัติหน้าที่แห่งการฝึกฝนพัฒนาตน และเราจะปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกต้องด้วย
 
     อันนี้คือหลักพระรัตนตรัย ซึ่งมาเป็นไตรสรณะ   เป็นที่พึ่ง   ที่ระลึก  เตือนใจเรา ๓ ประการ
 
     ตกลงว่า  หลักพระรัตนตรัยนี้ก็เป็นเครื่องนำเราเข้าสู่ธรรมนั่นเอง  เมื่อเราระลึกถึงพระรัตนตรัยอย่างนี้  เราก็จะเข้าสู่หลักการที่ว่า สิ่งทั้งหลายจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎแห่งธรรม คือ ความเป็นไปตามเหตุปัจจัย  ตอนนี้แหละที่หลักอริยสัจจะมา
 
     พอน้อมรำลึกถึงพระรัตนตรัยถูกต้องแล้ว หลักพระรัตนตรัยนี้จะ โน้มนำไปสู่หลักอริยสัจ ๔ ประการ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เอง   ในคาถาธรรมบทว่า
 
        พหุํ   เว   สรณํ   ยนฺติ    ปพฺพตานิ  วนานิ   จ
 
     มนุษย์ทั้งหลาย   ถูกภัยคุกคามแล้ว พากันยึดถือเจ้าป่า  เจ้าเขา  ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ เป็นที่พึ่ง  แต่สิ่งเหล่านั้นมิใช่เป็นที่พึ่งอันเกษม  บุคคลถือเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นที่พึ่งแล้ว  จะพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงหาได้ไม่
 
        โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ        สงฺฆญฺจ  สรณํ  คโต  

        จตฺตาริ  อริยสจฺจานิ            สมฺมปฺปญฺญาย   ปสฺสติ   (ขุ.ธ.๒๕/๒๔)
 
 
     ส่วนผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ มองเห็นด้วยสัมมาปัญญา ซึ่งอริยสัจ ๔ รู้เข้าใจทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ นั้นจึงจะเป็นสรณะอันเกษม บุคคลเข้าถึงสรณะนี้แล้ว จึงจะพ้นไปได้จากทุกข์ทั้งปวง
 
     นี้แหละเป็นสิ่งสำคัญ  พระพุทธเจ้าทรงให้หลักพระรัตนตรัยไว้ เพื่อโยงเราเข้าสู่ธรรมนั่นเอง  ถ้าพระพุทธเจ้าจะชี้ไปที่ตัวธรรมทันที  คนจำนวนมากก็จะมองไม่ถึง
 
     นอกจากนั้น  ถ้าไม่มีพระรัตนตรัยมาเชื่อมโยง คนมากมายก็จะไปหลงสิ่งอื่นๆ อย่างที่ว่า เมื่อถูกภัยคุกคามแล้วก็ไปยึดถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อ้อนวอนขอผลดลบันดาลอย่างที่เป็นมาในสังคมอินเดีย  จนกระทั่งปัจจุบันก็วุ่นวายอยู่กับเรื่องเหล่านี้ เทวดาอินเดียแทนที่จะน้อยลง กลับมากขึ้นทุกที
 
     ท่านที่อยู่ในอินเดียบอกว่า  ตอนนี้เทวดาในอินเดียไม่รู้กี่หมื่น  คนก็ตั้งใจหาทางอ้อนวอนกันอยู่  เอาอกเอาใจอย่างไรก็ไม่พอ   นี่ถ้ากฎหมายไม่ออกมา   ฝรั่งไม่เข้ามาปกครอง   จนมาต่อกับการปกครองแบบปัจจุบัน  ป่านนี้อินเดียจะพัฒนาการบูชายัญไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้  จะมีอะไรยิ่งกว่าฆ่าคนบูชายัญอีกก็ไม่ทราบ  เพราะการเอาใจเทพเจ้านั้นไม่มีทางสิ้นสุด  เนื่องจากเราไม่รู้ใจเทพเจ้า ไม่รู้ว่าเทพเจ้าจะเอาอย่างไร  ก็มีแต่จะยิ่งเอาใจเข้าไปๆ
 
     เพราะฉะนั้น  จึงเป็นหลักเตือนใจชาวพุทธว่า จะต้องคอยตะล่อมตัวเองให้เข้าสู่หลักพระพุทธศาสนา  มิฉะนั้นเราจะเพี้ยน  ความหวาดและความหวังอำนาจดลบันดาลเร้นลับภายนอกในรูปของเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นั้น  เป็นทั้งสิ่งล่อและสิ่งกล่อม และการที่จะไปขออำนาจดลบันดาลจากภายนอกนี่ก็ง่ายเหลือเกิน
 
     คนเราใจมันน้อมไปที่จะอ่อนแอ และให้คนอื่นช่วยหรือทำให้  ส่วนการที่จะฝึกฝนพัฒนาตนเอง  ทำกรรมด้วยตนเองนี้มันยาก    แต่ความจริงที่สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยก็เป็นความจริงอยู่อย่างนั้นแหละ  หลักการนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  จริงอย่างไรก็จริงอย่างนั้น ความอ่อนแอ และการกล่อมใจด้วยความหวังในอำนาจดลบันดาลไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง
 
     มนุษย์ทั้งหลายถูกภัยคุกคามแล้ว   นี่คือจุดเริ่มต้นของมนุษย์   พอถูกภัยคุกคาม   ก็มีความโน้มเอียงที่จะหันไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์   หันไปพึ่งสิ่งภายนอก    ขอให้สิ่งโน้นช่วยสิ่งนี้ช่วย   แล้วพิธีอ้อนวอนตลอดดจนการบูชายัญก็พัฒนาขึ้นมา
 
     พระพุทธเจ้าทรงเข้าถึงธรรมแล้ว   ก็มีพระทัยกอปรด้วยมหากรุณา  จะช่วยให้หมู่มนุษย์เข้าถึงธรรมเหมือนพระองค์ด้วย  แต่การจะนำคนเข้าถึงธรรมคือตัวความจริงนี้  ต้องมีตัวเชื่อมโยงให้ พระพุทธเจ้าก็เอาพระองค์เองมาเป็นตัวเชื่อม โดยเป็นสรณะ ข้อแรก
 
     หลักพุทธะนั้น   ก็มาเป็นสรณะ   โดยคอยย้ำเตือนให้เราระลึก  ตระหนักว่า   พุทธะก็เกิดขึ้นจากมนุษย์นี่แหละ เราทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน  สามารถพัฒนาได้  เป็นพุทธะได้
 
     พอมีพุทธะมาเป็นแบบให้  ก็ทำให้เรามองเห็นธรรมชาติของเราเอง  ที่เป็นสัตว์ที่ฝึกฝนพัฒนาตนได้   (เป็นทัมม์ ท ทหาร = ทัมมะ)  แล้วก็มีกำลังใจที่จะฝึกฝนพัฒนาตนเอง   ตามแบบอย่างของพุทธะนั้น  โดยทำตามธรรม  จนเข้าถึงธรรม  พุทธะก็โยงเราเข้ามาสู่ธรรม
 
     พร้อมกันนั้น  เราสำนึกในการที่เราก็เป็นคนคนหนึ่ง   มีตัวอย่างของคนที่พัฒนาในระดับต่างๆ เข้าร่วมสังฆะกันได้เยอะแยะแล้ว  ล้วนแต่เป็นกัลยาณมิตรแก่กัน  เราก็ต้องทำได้และเป็นได้อย่างนั้นด้วย เราก็มาปฏิบัติตามธรรม
 
 
 


Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2567 7:25:27 น. 0 comments
Counter : 39 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 7881572
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 7881572's blog to your web]
space
space
space
space
space