ย้อนกลับไปหลายปีก่อนตอนที่เรียนจบมาใหม่ ๆ จากลาดกระบัง ผมกลับมาทำงานกับพ่อ เราร่วมบุกเบิกร้านเครื่องหนังขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยทำต่อจากเจ้าเดิมซึ่งเป็นเพื่อนพ่อ และเริ่มต้นจากการติดลบ คือ เป็นหนี้ก้อนใหญ่
ผมเริ่มต้นทำงานที่ร้านอายุประมาณ 20-21 เรียกว่า “ไฟแรง” สุด ๆ แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการค้าขายมาก่อน แต่ด้วยความที่เป็นคนจริงจังตั้งใจ เวลาทำอะไรก็ตาม ทำให้ผมตั้งความคาดหวังกับลูกน้องสูงมาก แม้ว่าลูกน้องเกือบทุกคนจะมีอายุมากกว่าผมเยอะก็ตาม ผมไม่เคยสนใจใครเลย หากใครทำงานไม่ถูกใจ ผมพร้อมเรียกมาคุยที่โต๊ะทำงานทันที ใครมีปัญหาก็เรียกมาด่า หรือสุดทางกว่านั้น คือ ไล่ออกทันที
และด้วยความที่เป็นวัยรุ่น เลือดร้อน อารมณ์ร้อน ผมไม่กลัวใครเลย ต่อให้เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตแค่ไหน ก็ไม่สน ผมเคยกวนประสาทเจ้าของทัวร์ที่ผมไม่ชอบ จนเขาโกรธและไม่นำลูกค้ามาลงที่ร้าน จนพ่อต้องนำพานธูปพานเทียนไปขอขมาถึงบริษัท เขาถึงยอมกลับมาทำธุรกิจกับเราอีกครั้ง ตอนนั้นผมคิดแค่ว่า “กูไม่ผิด กูไม่ได้ทำอะไรผิด”
เคยมีตำรวจท่องเที่ยวมาเบ่งที่ร้านด้วยอาการมึนเมา เขาเอาปืนมาตบที่เคาท์เตอร์ ผมเกือบจะโทรหาเพื่อนที่เป็นนักเลงให้ยกพวกมารุมกระทืบตำรวจคนนั้น จนพ่อต้องปรามว่า “เราเป็นพ่อค้า ไม่ใช่นักเลง” ผมถึงยอมรามือ
จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นช่วงอายุ 27 ปี
ผมเกิดคิดขึ้นได้ว่า อารมณ์ร้อนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วได้อะไร ? ชอบตัวเองแบบนี้หรือ ? คนที่ทำงานกับเรามีความสุขหรือ ? อยากจะทำงานด้วยความรู้สึกแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ?
การตั้งคำถามกับชีวิต ทำให้เรารู้จักคิดและอยากหาทางออกบางอย่างให้ตัวเอง
สิ่งแรกที่ผมทำ คือ “ลดความคาดหวังที่มีกับคนอื่น” ลงก่อนเป็นอย่างแรก ผมถามตัวเองว่า พนักงานเขาทำงานให้เราได้ 5 แล้วเราไปตั้งความหวังไว้ที่ 100 เขาไม่มีทางทำงานให้เราพอใจได้ ทำไมไม่เริ่มพอใจจาก 5 ที่เขามี แล้วค่อย ๆ พัฒนากันไป ค่อย ๆ บอกสอน ตักเตือนกัน ดีกว่าจะใช้กฎระเบียบหยุมหยิม รวมทั้งการใช้อำนาจบังคับ ผมเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองในตอนนั้น และรู้ว่าพนักงานทุกคนก็รู้ว่าผม “เปลี่ยนไป”
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทุกคนทำงานสนุกขึ้น มีความสุขมากขึ้น ผมทะเลาะกับคนรอบตัวน้อยลง ผมเหนื่อยน้อยลง และลดความขัดแย้งในการทำงานได้มาก
งานซึ่งเคยน่าเบื่อหน่ายในความรู้สึก กลับกลายเป็นงานที่ทำให้ผมมีทั้งเวลาเลี้ยงลูก เล่นบล็อก อ่านหนังสือ งานที่เคยไม่ชอบ กลายเป็นงานซึ่งเลี้ยงดูครอบครัวมาได้ยาวนานหลายปี
ผมอยู่กับร้านเครื่องหนังมาทั้งชีวิต เบื่อมั้ย ? --- เบื่อ แต่ในเมื่อยังไม่มีทางเลือกใดที่ดีกว่านี้ ผมก็ยินดีที่จะทำมันต่อไป
เหมือนช่วงโควิดที่ต้องปิดร้านไป 3 ปี พอกลับมาเปิดร้านอีกครั้ง ผมเรียกพนักงานเก่า ๆ กลับมาทำงาน ทุกคนดีใจ ตั้งใจทำงาน เห็นคุณค่าในงานของตน ทุกวันนี้ผมทำงานเหมือน “คนหมดไฟ” คือ ไม่มีความเคร่งเครียด ไม่มีความคาดหวัง ทำงานเหมือนไม่ทำ ผมดูแลร้านแบบห่าง ๆ และมองเห็นทุกคนทำงานตามหน้าที่ของตนได้อย่างน่าพอใจ ผมไม่ได้ด่าพนักงานมานานแล้ว ผมไม่ได้ทะเลาะกับใครมานานแล้ว
“ไฟ” ที่ทำให้คนอื่นร้อน มันจะย้อนกลับมาเผาใจเราด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น เมื่อเราดับ “ไฟ” นี้ได้ก่อน การทำงานก็ง่าย สบาย ๆ ได้แค่ไหนแค่นั้น ผมไม่ตั้งเป้าสูงเกินจริง ไม่มีความคิดว่าจะต้องขยายงานอะไรอีก มีงานก็ทำไป ทำให้ดี ทำให้มีความสุข เท่านั้นพอ เขาอยู่ได้ เราอยู่ได้ ทุกคนอยู่ได้
เมื่อมองย้อนกลับไป....เด็กหนุ่ม “ไฟแรง” คนนั้น แทบไม่เหลือ “ไฟ” ใดใดในตนอีกแล้ว คนเราเรียนรู้จากตัวเองได้เสมอ เราเปลี่ยนตัวเองได้เสมอ หากเรากล้าพอที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเราเอง
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2567 |
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2567 7:20:20 น. |
|
0 comments
|
Counter : 48 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|