นาริตะซัง
ย้อนเวลากลับไปเมื่อปลายเดือนพฤษภากันต่อนะคะ
นานแล้วเหมือนกันนะนี่ สองเดือนแล้ว
วันกลับจากเมืองไทย พิมเดินทางโดยสายการบินแจล จากกรุงเทพถึงนาริตะ
ตอนไปเช็คอินก็เมียงๆมองๆว่าจะรู้จักใครบ้างมั๊ยหนอ
ปรากฎว่าวันนั้นคนรู้จักทำงานกันเต็มไปหมดค่ะ
โดยเฉพาะเจอพี่แก้ว พี่ที่เคยจัดตารางบินให้กับพวกแอร์ ซึ่งตอนนี้มาทำงานคุมเคาเตอร์เช็คอินแทน
พี่แก้วถามว่าจะขึ้นนั่งซี หรือจะให้บล็อคที่นั่งวายให้
พิมก็ด้วยความเกรงใจเพราะเดินทางกันสามคน ก็เลยบอกว่า พี่แก้วบล็อคที่นั่งตรงวาย(ชั้นประหยัด) ให้ดีกว่า
เอาแบบขอทั้งแถวจากเอถึงเคเลย จะได้นอนยาวเหยียดกันได้ทั้งสามคนเลย ^^
พี่แก้วก็จัดการให้ พร้อมทั้งพาพิมพี่โจ้และพี่สาวพี่โจ้ไปนั่งรอขึ้นเครื่องในเลาจ์ของแจลพลางๆ
ไปถึงก็หอบน้ำ หอบอาหาร ขนมมาให้ทานและให้หอบขึ้นไปบนเครื่องอีกด้วยต่างหาก
พี่แก้วน่ารักจัง ^^ น่ารักเสมอมา ...
พี่แก้วเล่าว่าเลาจ์ของแจลเนี่ยต้องจ้างญี่ปุ่นมาออกแบบเอง ใช้เงินไปประมาณสามล้าน O o"
ลัดเลาะตัดความมาถึงที่นาริตะ ...
พิมคุยกับพี่แก้วและเพื่อนที่เจอที่สนามบินว่าจะออกไปช้อปปิ้งร้านร้อยเยน เมื่อก่อนมีตรงจัสโก เดี๋ยวนี้จัสโกแทบจะร้างไปแล้ว เพราะมีห้างใหม่ อีออน เปิด พิมก็ว่าจะไปที่นั่น (ไม่เคยไปเลย) เพื่อนพิมก็บอกว่าให้ไปอีกที่หนึ่งดีกว่า ร้านใหญ่ด้วย แต่ต้องนั่งรถไฟเลยไปอีกป้าย .. โอเชๆๆๆ เราจะไปที่นั่นกันคะ
แต่กว่าห้างจะเปิดก็ตั้งสิบโมง เครื่องแลนด์ตอนเจ็ดโมง เราจะทำอะไรกันดี
เราไปวัดกันดีกว่า
นาริตะซัง
จากสนามบินคนไทยสามารถขอชอว์พาส(ใบเข้าเมืองชั่วคราว) ได้นะคะ สามารถอยู่ที่ญี่ปุ่นได้ 72 ชั่วโมง แต่ต้องมีตั๋วคอนเฟิร์มออกจากญี่ปุ่นด้วย ของพิมจองเที่ยวบินไว้ตอนหกโมงเย็นค่ะ ส่วนมากเวลาพิมมารอต่อเครื่องที่นาริตะ พิมก็จะออกมาเดินเล่นข้างนอกเป็นประจำ เคยพาพี่โจ้ออกมาสองรอบ ถ้าใครเป็นอเมริกันซิติเซ่นยิ่งง่ายใหญ่ ไม่ต้องไปขอชอว์พาส แค่ยื่นพาสปอร์ตพร้อมตั๋วคอนเฟิร์มให้ดูก็เรียบร้อยแล้วค่ะ
แล้วเราก็ลงไปชั้นล่าง ขึ้นรถไฟหวานเย็นไปลงที่สถานีนาริตะ แล้วก็เดินๆๆๆๆ ไปยังวัดนาริตะซัง ใช้เวลาเดินจากสถานีไปวัดประมาณยี่สิบนาทีได้ค่ะ แต่อากาศเช้าๆกำลังดีเลย เดินไม่ทันเหนื่อยหรอกค่ะ ข้างทางก็มีร้านรวงให้ชมกันตลอดทาง เสียแต่ว่าพิมมาเช้าเกินไปร้านยังไม่ค่อยเปิดน่ะสิคะ
มีร้านขายปลาไหลด้วยละ ร้านอาหารนะคะ ไม่ใช่ขายปลาไหลไปปล่อยนะ แล้วทำกันสดๆหน้าร้าน กึ๋ยยยยยย ต้องรีบเดินปิดตาไม่มองๆๆๆ พี่โจ้สิผ่านทีไรมองทุกที แล้วก็บ่นๆๆๆ สงสาร
อาหารญี่ปุ่นพิมทานแทบจะทุกชนิด แต่ปลาไหลเป็นอย่างเดียวที่พิมไม่ทาน ไม่ว่าจะอะไรที่ทำจากปลาไหลพิมไม่หม่ำ ไม่เคยแม้แต่จะลองชิมนิดๆ แบบทำใจไม่ได้น่ะค่ะ
เต่าที่วัด เยอะมากๆๆๆ
ก่อนเข้าวัดเราก็ต้องล้างมือทำความสะอาดซะก่อน
ธูปนี่เชื่อกันว่า จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นนะคะ อย่างใครเจ็บป่วยตรงไหนเราก็กวักเอาควันธูปไปตรงนั้นก็จะช่วยให้หายได้ หรือเด็กนักเรียนจากจะเรียนเก่งๆก็กวักควันธูปมาตรงหัวก็ได้ค่ะ
วันนั้นที่ไปเสียดายที่ .. เอ๊ เค้าเรียกว่าอะไรไม่รู้ค่ะ สิ่งก่อสร้างหลายตึกที่นั่นน่ะค่ะปิดทำการซ่อมแซม เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย แบบที่เหมือนเก๋งจีนเป็นชั้นๆขึ้นไปก็คลุมปิดหมดเลย
แต่ว่าเราได้เจอพระญี่ปุ่นด้วย กำลังเดินไปทำพิธีอะไรก็ไม่รู้นะคะ
นี่คงเป็นเจ้าอาวาส
เราเดินกันมาอีกวัดข้างๆกันค่ะ เก่ามากๆนะคะ เขียนปีที่สร้างไว้ด้วย แต่พิมจำไม่ได้แล้วล่ะ
นี่ด้านในค่ะ
พี่โจ้แอบถ่ายคุณลุงกำลังทำงาน
ส่วนพิมก็ดีแต่ขอถ่ายรูป
เป้ที่แบกมาน่ะ เพื่อใส่ของที่จะซื้อกลับเลยนะนั่น
เดินชมวัดกันเสร็จ นั่งพักกันนิดหน่อย
มองเวลาเอ๊ะได้เวลาพอดี กว่าจะเดินกลับ กว่าจะนั่งรถไฟไปอีกป้าย ร้านร้อยเยนก็เปิดพอดี งั้นไปกันดีกว่าค่ะ
Create Date : 31 กรกฎาคม 2550 |
|
14 comments |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2550 22:57:11 น. |
Counter : 1204 Pageviews. |
|
|
|
แอนไปวัดนี้เหมือนกันค่ะ แต่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่า คุณพิมถ่ายรูปออกมาสวยมาก ได้อารมณ์ดีค่ะ