To sooth my soul
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
2 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
ชีวิตผมในคณะวิทยาศาสตร์

ชีวิตผมในคณะวิทยาศาสตร์

            สวัสดีตอนเช้าของวันที่สามตุลาคมครับเมื่อราวสิบเอ็ดปีที่แล้ว ช่วงเวลานี้ผมถูกกักตัวเพื่อสำรวจสุขภาพจิตเป็นเวลาเจ็ดวัน เพราะอะไรน่ะหรือครับผมไปตะโกนในที่ชุมชนว่าได้ ฝรั่งฟังคำว่าได้เป็น (Die)ที่แปลว่าตายนั่นแหละครับ ประกอบกับช่วงนั้นอเมริกายังไม่สร่างความตระหนกจากเหตุการณ์ทีผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินชนตึกเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์ ผมเลยถูกจับกุมตัวข้อหาก่อความไม่สงบในที่ชุมชน แถมโดนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายเสียด้วยโดนตรวจเลือดหายาเสพติดอีกต่างหาก

            สาเหตุที่ผมไปตะโกนในที่ชุมชนนั้นก็เพราะว่า หลังจากที่นั่งสมาธิผมเกิดอาการหูแว่วครับ ใครก็ไม่รู้มาคุยกับผมถามผมว่า ถ้าคุณต้องช่วยโลกคุณจะทำได้มั้ย เสียงในหัวนั่นถามซ้ำๆจนผมต้องตะโกนตอบเพื่อให้มันเงียบไป ด้วยเหตุนี้เอง ผมไม่รู้ตัวว่าผมตะโกนคำว่าได้อยู่ท่ามกลางหอพักนักเรียนในมหาวิทยาลัยเลยมีคนไปแจ้งตำรวจมาจับผมไปส่งโรงพยาบาลตรวจเลือดตรวจสุขภาพจิตซะอย่างนั้นรายละเอียดช่วงนี้ขออุบไว้ก่อนนะครับขอย้อนเวลากลับไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก่อนเพื่อวิเคราะห์ปูมหลังของผมต่อ

             ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่สุดในประเทศไทยด้วยการสอบตรงเข้าคณะวิทยาศาสตร์ เพราะไม่อยากพลาดหวังเหมือนปีก่อน คณะวิทยาศาสตร์สมัยนั้นเหมือนทางผ่านครับหลายคนเข้ามาเรียนปีหนึ่งแล้วก็ซิ่วไปคณะอื่นเข้ามาเรียนๆเล่นๆพักผ่อนบ้างเตรียมตัวบ้างสำหรับซิ่วไปในคณะที่มีคะแนนสอบสูงกว่าในปีหน้าแต่สำหรับผมแล้วผมกลับรู้สึกว่าการซิ่วนั้นทำให้เสียเวลาและเสียงบประมาณประเทศในเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ควรจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเพื่อรับใช้ชาติและประชาชนด้วยความรู้ที่มี

            พอเปิดภาคเรียนทางคณะก็ทำการหาพี่รหัสให้ ปรากฏว่าพี่รหัสผมซิ่วไปอยู่สถาปัตย์ เลยไม่มีหนังสือไม่มีสมุดจด และชีทเหลือตกมาถึงผมเลย แถมไม่มีใครคอยแนะนำอะไรอีกด้วยผมยังตั้งคำถามในใจตัวเองว่า ถ้าอย่างนี้แล้วพี่จะมาหาน้องรหัสในคณะนี้ทำไมครับ ผมก็ไม่มีทางเลือก ต้องขวนขวายเอาเอง ในขณะที่คนอื่นกำลังเริงร่าลั้ลลาในรั้วมหาวิทยาลัยและกำลังเพลิดเพลินกับกิจกรรมนานา เตรียมซิ่วกันปีหน้า ผมตั้งใจเรียนขวนขวายศึกษาด้วยตัวเองอย่างเต็มที่จนได้เกรดสามจุดเจ็ดซึ่งใครเห็นก็ตกใจ แต่จริงๆแล้วผมควรทำได้มากว่านี้อีกถ้าไม่เจอเพื่อนร่วมกลุ่มทำการทดลองในวิชาฟิสิกส์ที่เป็นเด็กเตรียมซิ่ว เด็กซิ่วมาเรียนไม่มาเรียนบ้าง เข้าห้องทดลองบ้างไม่เข้าห้องทดลองบ้างทำรายงานส่งบ้างไม่ส่งบ้าง ไม่มีความใส่ใจในการทำรายงานส่งทั้งที่เป็นงานกลุ่ม การที่ส่งรายงานไม่ครบทำให้เกรดในวิชาแล็ปฟิสิกส์ผมได้บี ซึ่งน่าเสียดายนัก ชีวิตปีหนึ่งชีวิตผมโดดเดี่ยวมาก ไม่มีเพื่อนที่สนิทนักไม่เข้ากลุ่มกับใครเพราะเอาเวลาไปอ่านหนังสือ

            พอปลายปีการศึกษาผมเริ่มผ่อนคลายตัวเองทำกิจกรรมมากขึ้น ผมเริ่มสนใจพุทธศาสนาผมจึงสมัครไปบวชในโครงการของวัดชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งมีชมรมสาขามากมายกระจายไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆเขาสอนให้ผมนั่งเพ่งดวงแก้วในจิต(ผู้อ่านน่าจะรู้ได้ว่าเป็นวัดอะไรแล้วนะครับ)พวกชมรมพาผมไปเข้าค่ายทหารฝึกระเบียบวินัย(เป็นเรื่องจิ๊บจ้อยมากเมื่อเทียบกับการเรียนรด.) จากนั้นก็พาไปบวชขาวถือศีลสิบข้อ โกนศีรษะโกนคิ้วในวัดชื่อดังเขาฝึกให้ผมนั่งสมาธิอย่างน้อยวันและแปดชั่วโมง เหมือนกินยาหลังอาหารและก่อนนอนนั่นแหละครับ สอนพระธรรมน้อยมากสอนแต่การนั่งสมาธิเพ่งลูกแก้ว พอประมาณวันที่หกหรือเจ็ดในการฝึก ระหว่างขณะที่หลับตาฝึกนั่งสมาธิอยู่ผมก็เห็นเงาสีดำพุ่งมาที่ตัวผม ผมตกใจมากเลยยื่นมือออกไปคว้าจับไว้ ปรากฏว่าเงาสีดำนั้นหายวับไปในทันทีผมตกใจออกจากสมาธิ แล้วเล่าให้พระพี่เลี้ยงและเพื่อนๆฟัง พระพี่เลี้ยงบอกว่าไม่เป็นไรปล่อยให้มันผ่านไปแต่ก็ไม่อธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่เพื่อนผมอีกคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นเด็กวัดที่ติดตามพระธุดงค์มาก่อนบอกว่า มันเป็นวิญญาณซึ่งคนที่ปฏิบัติและเข้าถึงสมาธิขั้นสูงจะสัมผัสได้เขาเองก็เคยสัมผัส แต่...ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ครับ ผมหาคำอธิบายให้กับตัวเองว่านั่นคือการหลับในและเป็นความฝันวูบหนึ่งการยื่นมือออกไปของผมก็ไม่ต่างกับการละเมอเหยียดแขนเหยียดขาออกเมื่อเราฝัน แต่ผมก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะกลัวว่าคนส่วนมากไม่คิดแบบผมเพราะความเชื่อเราต่างกัน 

            การหาเหตุผลอธิบายเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ผมเกิดความเครียด เข้าขั้นปวดหัวจนนั่งสมาธิไม่ได้ ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันที่สิบก็ต้องจากมาโดยมิได้บวชเป็นเณร(อายุผมไม่ถึงยี่สิบบวชพระไม่ได้)

            หลังจากให้พี่ชายรับตัวกลับมาอยู่ที่บ้านผมรู้สึกแปลกประหลาด ผมฟังเพลงแล้วไม่ซาบซึ้ง ไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมเข้าใจเนื้อเพลงรู้ว่าทำนองไพเราะ แต่ไม่ซาบซึ้งไปด้วย ดูหนังแล้วก็ไม่อิน เป็นเวลาร่วมเดือนเลยทีเดียวกว่าจะกลับเป็นปกติ

            ผมกลับมาใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยตามปกติในชั้นปีที่สองผมเริ่มผ่อนคลายตัวเองลงบ้างเริ่มทำกิจกรรม รู้จักเพื่อนๆมากขึ้น ไฟในการศึกษาเริ่มมอดลงเมื่อต้องเข้าเรียนในวิชาที่เรียนไม่รู้เรื่อง(ผมไม่อยากโทษคนสอนแต่มันเป็นข้อเท็จจริง ในชั้นเรียนเริ่มต้นมีนักเรียนเกือบหกสิบคนพอผ่านไปสักพักนักเรียนขอย้ายชั้นเรียนจนเหลือแค่ผมกันเพื่อรวมกันไม่ถึงสิบคนเพราะเรียนไม่รู้เรื่องผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมไม่รีบย้ายชั้นเรียนบ้าง)สุดท้ายวิชานี้ก็ฉุดเกรดให้ผลการเรียนของผมย่ำแย่ลงไปบ้างแต่ก็ไม่มากนัก พอเข้าปีสองแล้วผมต้องเลือกภาควิชาและหาน้องรหัสผมเตรียมเอกสารการเรียนยกให้น้องรหัสมากมาย เพราะผมรู้ดีว่าการขวนขวายให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ยากขนาดไหน แต่สุดท้ายปลายปีน้องรหัสผมก็ซิ่วไปอีก ผมละเบื่อการซิ่วจริงๆผมเริ่มหมดไฟในการเรียนลงเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม ผมเป็นลูกพ่อค้าผมไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องเรียนเทอร์โมไดนามิกส์ พร็อปแอนสแตติกส์ แคลคูลัสหนึ่งสองสามและดิฟเฟอร์เรนเชียลอีเควชั่น ปัญหาในการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยหรือแม้แต่ประถม มัธยมของไทยคือเรียนให้มากแต่ครูอาจารย์ไม่ชี้แจงว่าเรียนไปทำไม ขั้นตอนการเรียนไม่มีบทนำ(อินโทรดักชั่น)ที่ดีนักเรียนก็มึนงงว่าเรียนไปทำไม ผมมารู้ที่หลังว่าเรียนไปทำไมเมื่อราวๆปีสามตอนไปฝึกงานเมื่อฝึกงานผมถึงจะได้ใช้วิชาเหล่านี้ ผมเลยหวนกลับมาคิดว่าทำไมตอนนั้นอาจารย์ไม่บอกก่อนว่าต้องมาเจองานแบบนี้คงเป็นเพราะอาจารย์มาจากสาขาวิชาที่ต่างการอาจารย์ภาคคณิตศาสตร์คงไม่เคยทำงานร่อมกับอาจารย์ภาคเคมีวิศวกรรมถึงทำให้สอนกันไปคนละทาง

            ช่วงที่หมดไฟในการศึกษาผมเข้าชมรม กิจกรรมในชมรมสนุกกว่าเรียนมากผมเริ่มใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนคนอื่นๆ เล่นฟุตบอล จีบสาว เข้าผับเข้าบาร์ เทียวดิสโก้เท็คบ้างโดยมีเพื่อนหัวโจกคอยนำพาไปเรื่อยๆแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสียการเรียนมากนักเพราะผมมีบุญเก่าดี การไปเที่ยวตามที่ต่างๆกลับทำให้ผมพบคนมากขึ้นรู้จักโลกมาขึ้น เห็นคนเมานอนข้างถนนทั้งที่แต่งตัวดี หญิงสาวสวยสูบบุหรี่กินเหล้าทั้งๆที่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย(ตอนนั้นกฎหมายไม่รัดกุมขนาดสมัยนี้)ชีวิตเริ่มมีสีสัน ทั้งสุขบ้าง เศร้าบ้าง ปลงบ้าง โชคดีที่ผมไม่ใช่คนดื่ม เพราะเคยมีเรื่องสมัยมัธยมขณะเมาไม่สร่างเดินข้ามถนนโดนรถเฉี่ยวแค่อีกก้าวเดียวอาจโดนรถชนเต็มรักได้เคราะห์ดีที่ไม่เป็นอะไรมากมีแผลเหวอะนิดหน่อยที่แขน พ่อโกรธมากแต่แม่ไม่พูดอะไรเลย แม่พาผมไปหาหมอ และดูแลอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุนี้เองผมถึงได้รู้ว่าพ่อและแม่ห่วงผมมากขนาดไหน ผมมีรอยแผลเป็นอยู่ที่แขน หมอถามว่าจะเย็บไหม ผมบอกหมอว่าจะไม่เย็บ เก็บไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจเตือนสติว่าจะไม่ดื่มอีก

            ช่วงปีสามเป็นปีที่น่าเบื่อจนกระทั่งได้ไปฝึกงานผมได้เรียนรู้การทำงานกับผู้คนหลายแบบ ผมไปฝึกงานโครงการของ สวทช. ที่เรียกว่าโครงการเทคโนโลยีสะอาดเขาฝึกให้นักวิทยาศาสตร์เข้าไปพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพิ่มรายได้ลดรายจ่ายและของเสีย อีกทั้งยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับโรงงานอุตสาหกรรมโดยใช้เท็คโนโลยี่สมัยใหม่และรัฐบาลออกเงินกู้ให้พัฒนากระบวนการผลิต

            ผมได้รู้ว่าผู้ประกอบการไม่สนใจการพัฒนาอะไรเท่าไหร่ที่เขาสนใจคือเงินกู้จากรัฐบา ลเด็กฝึกงานก็ให้ยกของแบกของไม่ได้ใช้วิชาที่เรียนมาไปทำอะไรเลย ด้วยความบ้าบิ่นผมไปโวยให้สวทช.ฟัง ผู้ประกอบการจึงต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่สุดท้ายได้ผลงานที่เป็นที่พอใจทั้งสามฝ่าย โรงงานมีโครงการที่ดีได้ข้อมูลและผลการทดลองเชิงวิชาการ เด็กฝึกงานได้ประสบการณ์ ในตอนนั้นว่ากันว่าผมก้าวร้าวพอสมควรทีเดียว

            การเรียนปีสี่ของผมจึงเข้มข้นและสนุกสนานขึ้นจนผมเริ่มหลงรักในอาชีพนักวิทยาศาสตร์ เมื่อจบการศึกษาผมจึงตัดสินใจเรียนต่อพร้อมกับทำงานเป็นผู้ช่วยสอนช่วยวิจัยทีคณะ แล้วโอกาสดีก็มาถึง อาจารย์หัวหน้าภาคแนะนำให้ผมไปสอบทุนกพ.อีกเพื่อจะได้กลับมาเป็นอาจารย์ในคณะ ผมสอบได้และได้ทุนไปศึกษาต่อในอเมริกา ครอบครัวดีใจมากทุกคนมองว่าอนาคตผมต้องรุ่งเรืองสดใสแน่ๆ

            ผมต้องเตรียมตัวสอบโทเฟิลและจีอาร์อีต้องเรียนที่คณะทำงานช่วยสอน เรียนภาษาเพิ่มเพื่อเตรียมสอบจีอาร์อี ผมทำงานและเรียนแปดโมงเช้าและเลิกตอนสองทุ่มครึ่งติดต่อกันทุกวันเจ็ดวัน ไม่มีวันหยุด พอไปสอบคะแนนสอบจีอาร์อีผมลดลงแต่คะแนนโทเฟิลเท่าเดิมจากการสอบหลายๆครั้งสมองผมทำงานหนักไป แม้เรียนมากก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ไม่มีใครคอยแนะนำอะไร ผมต้องขวนขวายเองทั้งหมดจนในที่สุดผมก็ได้ไปมหาวิทยาลัยที่อเมริกาออกวีซ่านักศึกษาให้ผมรับผมเป็นนักศึกษาปริญญาโทเอกจนได้

              ผมต้องทิ้งงานวิจัยที่เมืองไทยและผลการศึกษาช่วงปริญญาโทไปทั้งหมดเพื่อไปศึกษาต่อที่อเมริกา(ผมมารู้ทีหลังว่าผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงผมควรเรียนที่เมืองไทยให้จบก่อน เพราะกพ.ยอมให้ผ่อนผันได้ แต่ผมกลับใจร้อนเกินไป)ในที่สุดผมก็ออกเดินทาง....

เอาไว้เล่าต่อตอนหน้านะครับห้าหน้ากระดาษแล้วขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านมาถึงตอนนี้




Create Date : 02 ตุลาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 17:43:55 น. 1 comments
Counter : 2748 Pageviews.

 
หวัดดียามเช้าครับคุณบี

น่าสนใจเรื่องฝึกสมาธิวันละ 8 ชั่วโมง...
ปกติผมจะสมาธิค่อนข้างสั้น..ทำได้ยังงัยเนี่ย


โดย: Dingtech วันที่: 3 ตุลาคม 2555 เวลา:8:25:51 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.