To sooth my soul
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
3 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
คราวเคราะห์



ภาพข้างบนผมวาดขึ้นตอนมีอาการมาเนียเมื่อราวสิบปีก่อนหลังจากกลับจากอเมริกา

คราวเคราะห์


           อีกสองถึงสามบล็อกเริ่มจากบล็อกนี้จะมีเนื้อหาที่ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านมากเพราะมีประเด็นเรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมมิได้มีเจตนาลบหลู่ศาสนาใด แต่ผมพยายามอธิบายความเชื่อของตนเองด้วยวิทยาศาสตร์หากทำให้ผู้ใดต้องขัดเคืองใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ช่วยคิดเสียว่ามีคนสติไม่สมประกอบคนหนึ่งมาเล่าอาการป่วยให้ฟังนะครับ

            การเขียนบล็อกต่อจากนี้ไปอาจทำให้ภาพลักษณ์ของผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดูไม่ดีนัก(ซึ่งปกติก็ดูไม่ดีอยู่แล้ว)แต่ผมจะพยายามอธิบายเหตุผลประกอบไปด้วยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ในทรรศนะของผมเอง อีกอย่างครับ อาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับผมจริงและเกิดกับผมเฉพาะตัวผมไม่เคยถามผู้ป่วยรายอื่นว่าเป็นเหมือนผมหรือเปล่า ดังนั้นได้โปรดอย่าเหมาเอาว่าผู้ป่วยทั้งหมดจะมีอาการแบบผม บางช่วงบางตอนผมจะเลือกใช้คำให้เบาลง เพื่อมิให้ผู้อ่านคล้อยตามมากจนเกินไป หากผู้ป่วยคนใดผ่านมาอ่านได้โปรดชั่งใจก่อนว่าท่านมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และมีวิจารณญาณที่ดี หากท่านไม่พร้อมในสองสิ่งนี้ได้โปรดอย่าอ่านต่อไปเลยนะครับ ผมกลัวว่าท่านจะเก็บนำไปคิดจนฟุ้งซ่าน

            เรามาเริ่มเรื่องกันต่อนะครับก่อนออกเดินทาง ผมเข้าได้รับการตรวจสุขภาพกาย และสุขภาพจิตสองครั้ง คือหลังจากได้ทุน และก่อนออกเดินทาง ผลการตรวจไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใดมีแต่ผลการตรวจสุขภาพจิตครั้งที่สองที่เจ้าหน้าที่ถามผมว่า “คุณทนความเครียดขนาดนี้ได้อย่างไรนั่งสมาธิหรือ” ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันจึงได้แต่พยักหน้า ทั้งๆที่ผมได้นั่งสมาธิบ่อยหรือมากอะไรขนาดนั้นหลังจากออกมาจากวัดชื่อดัง 

            ก่อนออกเดินทาง เพื่อนสนิทผมให้พระมาองค์หนึ่งชื่อพระนิรันตรายของวัดบวรนิเวศน์ ซึ่งผมเก็บติดตัวไว้ตลอดระหว่างการเดินทาง เพื่อนผมบอกว่าจะช่วยให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ส่วนพี่ชายผมก็ให้บทสวดชินบัญชรมาด้วยแล้วบอกว่าถ้ามีเวลาก็ให้สวดเป็นประจำ

ด้วยวัยเบญจเพส ผมออกเดินทางจากดอนเมืองไปนาริตะจากนาริตะไปลอสแองเจิลลิส ไปชิคาโก และไปมิชิแกน เป็นการเดินทางคนเดียวที่ยาวนานที่สุดในชีวิตเพราะไม่ได้แวะพักที่ไหน ต้องต่อเครื่องบินตลอดเวลา ด้วยความกลัวที่จะตกเครื่องบินผมต้องตื่นตัวตลอดเวลาจะมีเวลาได้งีบหลับบ้างก็ที่สนามบินลอสแองเจิลลิสเท่านั้น

ผมเดินทางมาถึงสนามบินปลายทางโดยสวัสดิภาพ แล้วต่อแท็กซี่ไปยังโรงแรมที่พักด้วยอาการเจ็ทแลก ผมนอนพักเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มไม่ได้ออกไปไหนไม่ได้กินอะไรดื่มแต่น้ำ พอวันต่อมาถึงได้ไปซื้อซุปกระป๋องมากินรองท้องบ้าง

จนในที่สุดก็ถึงเวลาลงทะเบียนเรียน ผมมาเรียนภาษาก่อนที่มหาวิทยาลัยมีนักเรียนต่างชาติอยู่จำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นอินเดีย เกาหลีและญี่ปุ่น มีคนไทยบ้างประมาณยี่สิบกว่าคน ผมเริ่มปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่นี่จันทร์ถึงศุกร์เรียน เสาร์อาทิตย์ทำงานบ้านและดูดีวีดีที่ห้องพัก มีบ้างที่ออกไปดูอเมริกันฟุตบอลของมหาวิทยาลัย และ ติดรถคนอื่นไปดูหนังนอกมหาวิทยาลัย

            ผมใช้ชีวิตเช่นนี้ราวสองเดือนมหาวิทยาลัยก็เปิดภาคเรียน ผมลงทะเบียนเรียนวิชาการผลิตเยื่อกระดาษโดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราห์มเขาค่อนข้างภูมิใจในตัวเองมากและดูแคลนผมในระดับหนึ่ง ครั้งหนึ่งกลุ่มผมทำการทดลองตามปกติได้ผลตามทฤษฎีเขากลับไม่เชื่อหาว่ากลุ่มผมเมก(แอบสร้างผลการทดลองเองให้สอดคล้องกับทฤษฎี)

            ในชั้นเรียนแต่ละครั้ง นักเรียนต่างชาติอย่างผมจะประสบความลำบากมากเวลาทำงานกลุ่มพวกอเมริกันจะไม่เอาเรา เพราะเราภาษาไม่ดีและเป็นคนแปลกหน้าเราจะถูกนำไปรวมกับเด็กอเมริกันปลายแถวซึ่งเรียนบ้างไม่เรียนบ้างไม่มีความรับผิดชอบทำให้เรายิ่งแย่เข้าไปใหญ่

            แต่สิ่งนี้เองที่ทำให้ผมเกิดทิฐิมานะอยากเอาชนะทั้งอาจารย์และนักเรียนท้องถิ่นผมเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือ เข้าชั้นเรียน ทำงานหนัก และพบว่าพวกเขาดูถูกเราจริงๆอาจารย์ชาวอินเดียตีกลับรายงานผมถึงสองครั้งโดยไม่อ่านด้วยซ้ำ เขาอ้างว่ารายงานไม่สมบูรณ์ยังไม่ถึงกำหนดส่งทำไมถึงเอามาส่งก่อน พอสอบกลางเก็บคะแนน พวกเขาต้องตกใจเพราะคะแนนของผมอยู่ในระดับต้นๆของชั้นเหนือกว่าเด็กท้องถิ่นหลายๆคน เป็นอันว่าสาแก่ใจผมมากทีเดียว

            ผมเรียนหนักมาตลอด จนเข้าเดือนที่สามผมได้รูมเมทเป็นชายชาวญี่ปุ่นมาอาศัยอยู่ด้วย เขาค่อนข้างไร้ระเบียบแต่ก็ไม่ได้เหลวไหลอะไรนัก จันทร์ถึงศุกร์เราจะกินอาหารสำเร็จรูปหลายมื้อ ส่วนเสาร์อาทิตย์ผมจะเป็นคนทำอาหารเลี้ยงโดยมีเพื่อนเกาหลีอีกคนหนึ่งมาร่วมด้วยเราค่อนข้างสนิทกัน(ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า) และช่วงเวลานั้นเองก็เกิดเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินชนตึกเกิดขึ้นถือว่าเป็นเหตุการณ์ช็อคประเทศอเมริกานักเรียนต่างชาติถูกมองอย่างหวดระแวงในสายตาของคนท้องถิ่น

            แล้ววันหนึ่งในชั่วโมงภาษาอังกฤษก็มีนักเรียนใหม่เป็นชายชาวปากีสถานมาร่วมชั้นเรียน เขาพูดถึงเรื่องการก่อการร้าย และสภาพในประเทศเขาให้คนในชั้นเรียนฟัง อาจารย์ชาวแอฟริกันอเมริกันให้นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็น ผมมีความขุ่นเคืองใจในบทบาทของอเมริกามาตั้งแต่อยู่เมืองไทย เพราะพ่อมดการเงินทำกับชาวไทยไว้แสบมาก

            ผมได้แสดงความคิดเห็นว่าอเมริกาควรเปลี่ยนท่าทีใหม่ เลิกคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองในภูมิภาคต่างๆ และควบคุมคนของตัวเองมิให้ไปก่อการร้ายทางอ้อมแบบพ่อมดการเงินเพราะจะทำให้ประเทศอื่นไม่พอใจอเมริกา ความเกลียดชังนี้เองจะนำมาซึ่งการก่อการร้ายไม่สิ้นสุดเพื่อนๆทั้งชั้นเรียนสนับสนุนแนวคิดของผม ญี่ปุ่น เกาหลี จีน อาหรับ เห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันแต่ชายชาวปากีสถานกลับบอกว่าผมคิดผิด ปากีสถานไม่เคยมีปัญหากับสหรัฐเลยพวกผมไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงหลังจากนั้นนักเรียนใหม่ก็หายไปจากชั้นเรียนของผมและไปโผล่ในชั้นเรียนของนักเรียนต่างชาติชั้นอื่นๆ ครั้งหนึ่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปทั่วผมเริ่มเอะใจว่าชายชาวปากีสถานคนนี้น่าจะไม่ใช่นักเรียนแน่ๆแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากไปกว่านั้น

            พอเข้าปลายเดือนกันยายนเดือนผมรู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีบางอย่างผิดปรกติผมผอมลงเนื่องจากเรียนหนักพักผ่อนน้อย ร่างกายเหนื่อยล้าสุดขีดจนลืมตื่นไปสอบเก็บคะแนนวิชาของอาจารย์ชาวอินเดียทำให้เขายิ่งๆไม่ปลื้มผมมากขึ้น ผมกลับมาพักที่ห้องทั้งง่วงและหิวแต่กลับหลับไม่ลง จึงไปหาของกินในครัว แล้วผมก็พบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กินอยู่บ่อยๆมีรสชาติเปลี่ยนไปลิ้นผมชาๆ ดื่มน้ำอัดลมแล้วก็มีรสชาติแปลกกว่าแต่ก่อน แต่ก็ไม่ได้ระแคะระคายใจอะไรมาก

            ผมพยายามหลับให้ได้แต่หลับไม่ลงแม้ว่าสมองและร่างกายเหนื่อยล้ามาก ผมเลยลุกขึ้นมานั่งสมาธิ เวลานั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว สองคืนแล้วที่อ่านหนังสืออย่างหนักและมีเวลางีบหลับในตอนเช้าเพียงสองชั่วโมง ผมกำหนดลมหายใจเข้าออกตามแบบอานาปานสติ แล้วทำใจให้สงบ

            ครู่หนึ่งก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นในหัวผมมันบอกว่าให้ผมรีบไปที่โบสถ์ของมหาวิทยาลัย เพราะมีระเบิดอยู่ในนั้นผมแปลกใจอย่างมากจึงรีบใส่เสื้อคลุมแล้ววิ่งออกไปที่โบสถ์อย่างรวดเร็ว ผมรีบวิ่งขึ้นเนินไปทีโบสถ์วิ่งอย่างสุดชีวิต ในใจก็คิดว่า ผมจะรีบไปบอกคนในโบสถ์ให้หนีออกมาเร็วที่สุดแต่พอขึ้นมาถึงเนินอีกเพียงห้าสิบเมตรจะถึงโบสถ์ ก็รู้สึกถึงความร้อนข้ามากระแทกหน้าผมหายใจขัด หายใจไม่ออก เหมือนปอดจะฉีกขาดออกจากกัน ภาพของโบสถ์ระเบิดขึ้นในสายตาของผมผมฟุบลงกับพื้น หูอื้อ และหมดแรง

            ผมคิดว่าแย่แล้ว นี่แย่แน่ๆแล้วค่อยๆเงยหน้ามองโบสถ์อีกครั้ง อาคารโบสถ์ยังคงเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไร้ร่องรอยความเสียหายผมจึงค่อยๆเดินเข้าไปในโบสถ์ พวกเด็กๆนักศึกษายังคงทำกิจกรรมอยู่ในโบสถ์ตามปกติผมทิ้งตัวลงนั่งถอนหายใจกับเก้าอี้ โชคดีจริงๆที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมคิดก่อนจะเดินออกจากตัวอาคารโบสถ์กลับมายังหอพัก

            อากาศหนาวมาก หนาวจนแทบจะไม่รู้สึกว่ามีจมูกหรือมีหูอยู่เลยผมเดินลงเนินมายังหอพัก ห้องพักชั้นที่สอง เลขที่อีเก้า ผมค้นหากุญแจเปิดห้องในเสื้อและกางเกงแต่ก็ไม่พบ ผมสังเกตเห็นว่าเพื่อนญี่ปุ่นผมกลับมาแล้วเพราะเขาถอดรองเท้าไว้นอกห้องผมจึงเคาะประตูตะโกนเรียกชื่อเขา แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใดผมคาดว่าเขาคงอยู่ในห้องน้ำจึงยืนรออยู่หน้าห้องพักหนึ่ง

          ลมแรงพัดมาอากาศหนาวจนเสื้อคลุมที่ใส่อยู่เริ่มช่วยไม่ได้ แล้วเสียงปริศนาก็มาอีกใครบางคนตายแล้ว มันบอกผมอย่างนั้น ครูฟิสิกส์สมัยมัธยมผมตายแล้ว ผมรู้สึกได้(ผมได้รู้ข่าวท่านอีกทีตอนกลับเมืองไทยว่าท่านเสียไปช่วงที่ผมมาอเมริกาจริงๆ)ผมสนิทกับครูท่านนี้มาก ท่านสอนสิ่งสำคัญกับผมนอกเหนือไปจากวิชาการท่านสอนให้ผมรู้จักคำว่า เซน เป็นมากขึ้น

            “มีหลายคนพูดว่าใจคนเหมือนกระจกกิเลสคือฝุ่นธุลีที่มาเกาะทำให้ใจขุ่นมัว เราควรหมั่นทำความสะอาดกระจกให้ใสอยู่เสมอแต่นักบวชเซนเถียงว่า หากไร้กระจก ก็ไม่ต้องกลัวฝุ่นกิเลสมาจับ นี้คือหลักของเซน”

ครูฟิสิกส์ท่านนี้เขียนคำสั่งสอนนี้ไว้ในสมุดให้ผมก่อนที่ผมจะจบการศึกษา

            ผมยังยืนอยู่นอกห้องพักหนาวจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด ด้วยความเศร้าผมก็ร้องไห้ออกมา ผมเริ่มไม่พอใจเคาะประตูแรงขึ้น พร้อมกับตะโกนให้รูมเมทมาเปิดประตูให้ผมครู่หนึ่งผ่านไปเขาก้ออกมาเปิดประตูให้ ผมอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่ก็ไม่ว่าอะไร

            ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วเขาจึงขอตัวไปเข้านอน ผมยังนอนไม่หลับจึงไปเปิดคอมพิวเตอร์ เพื่ออ่านหนังสือพิมพ์ไทยทางอินเตอร์เน็ตตอนนั้นมีแต่ข่าวเครื่องบินชนตึก คนไทยก็ออกมาทะเลาะกันตามแบบฉบับพี่ไทยถูกใจเชียร์แหลก บางพวกสมน้ำหน้าสหรัฐ บางพวกประณามผู้ก่อการร้าย ด่ากันไปๆมาๆ แจกของลับให้กันผ่านหน้าเว็บบอร์ด ผมนั่งอ่านเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆจนเริ่มเครียดและอยากแสดงความคิดเห็นบ้าง

            ผมกำลังเข้าชื่อล็อกอินของผมอยู่ แล้วจู่ๆตัวหนังสือของผมก็วิ่งขึ้นมาเป็นประโยคโดยที่ผมไม่ได้กดคีย์บอร์ด ผมตกใจมาก แล้วเข้าใจไปว่ามีคนกำลังแฮกข้อมูลของผมอยู่ ผมจ้องหน้าจออีกครั้งแล้วสั่งปิดเครื่องได้ ทั้งๆที่ไม่ได้กดคีย์บอร์ดอีกเช่นกันผมเริ่มกลัวถึงขีดสุด...

(ผมไม่รู้จริงๆว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือหลอน เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปดูข้อความนั้นอีกเลย หรือว่าผมพิมพ์ลงไปเอง แต่ลืมไปว่า ตัวเองเป็นคนพิมพ์ก็ไม่รู้)

ขอจบตอนนี้ไว้เท่านี้ก่อนนะครับไม่อยากฝืนเขียนต่อ เดี๋ยวจะขาดตกบกพร่องกระนั้นผมก็อยากให้ท่านผู้อ่านชั่งใจให้ดี ผมอาจจะหลอนไปเพียงคนเดียว เรื่องทั้งหมดอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่สมองผมเกิดความผิดปกติขึ้นมาส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป เอาไว้เล่าต่อตอนหน้านะครับ 




Create Date : 03 ตุลาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 17:53:06 น. 1 comments
Counter : 1076 Pageviews.

 
หวัดดียามค่ำครับคุณบี

มาติดตามอ่านต่อครับ

รูปภาพเหมือนโมเดิร์นอาร์ท...สื่อความหมายได้


โดย: Dingtech วันที่: 5 ตุลาคม 2555 เวลา:20:40:07 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.