To sooth my soul
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
ครอบครัวกับผู้ป่วยโรค Bipolar Disorder

ครอบครัวกับผู้ป่วยโรคBipolar Disorder


วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนผมนั่งมอเตอร์ไซด์ไปกินก๋วยเตี๋ยวที่หน้าปากซอยแล้วนั่งนึกถึงเรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ ว่าแล้วก็ปิ๊งไอเดียสำคัญขึ้นมาว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไข้ที่มีอาการป่วยเรื้อรังไม่หายส่วนหนึ่งก็มาจากครอบครัวนี่แหละครับผมจะขออนุญาตไม่พูดถึงครอบครัวอื่น ขอพูดถึงแต่ส่วนของตัวเองก็แล้วกันนะครับ

พื้นฐานของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญครับโชคดีที่ครอบครัวผมไม่ค่อยหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไหร่ ทำนองว่าไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ไม่ลบหลู่ครับ ผมเลยไม่ตกเป็นเหยื่อของความงมงายในเรื่องเหนือธรรมชาติแม้จะมีเรื่องหลายๆอย่างที่เข้ามาทดสอบศรัทธาในเรื่องนี้

ผมเคยถูกทักจากบุคคลที่สันทัดในเรื่องปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ท่านเป็นผู้สอนผมให้นั่งสมาธิอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ช่วงที่ผมกลับจากอเมริกาใหม่ๆ โดยที่ยังมีอาการป่วยแบบกึ่งดิบกึ่งสุกอยู่นั้น ผมเดินทางกลับไปเยี่ยมโรงเรียนแล้วได้พบกับท่านโดยบังเอิญ ท่านชี้มือมาที่ผมแล้วบอกว่า“อย่าหลงนะ”ทันที่ที่เจอหน้ากัน เอาล่ะสิครับครูท่านนี้สอนวิทยาศาสตร์เสียด้วย เล่นเอาผมงงไปหลายวัน ผมก็เลยเริ่มเชื่อว่าสิ่งที่เกิดกับผมอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ผมหลอนไปเองเสียทั้งหมดก็จริง แต่ท่านผู้อ่านลองนึกดูนะครับถ้าผมและครอบครัวผมปักใจเชื่อเรื่องนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์จะเกิดอะไรขึ้นอาจจะโดนพาไปหาจอมขมังเวทที่สำนักไหนต่อไหนแล้ว และอาจตกเป็นเหยื่อพวกต้มตุ๋นจนเสียทรัพย์ เสียเวลา โดยไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

ในเวลาช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการกึ่งดิบกึ่งสุกอยู่นั้นครอบครัวต้องมีสติครับ อย่าบ้าจี้ วิตกหรือหวั่นไหวไปพร้อมกับผู้ป่วย เพราะผมก็เคยโดนคนในครอบครัวสติแตกใส่ช่วงนั้นเช่นกันและทำให้เกิดอาการซึมเศร้าอย่างหนักทีเดียว ครอบครัวที่รู้ว่ามีสมาชิกป่วยด้วยโรคนี้ควรศึกษาหาความรู้ให้มากและแอบสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างพอดีๆที่ว่าพอดีๆนี่คือ อย่าแสดงความห่วงใยจนออกนอกหน้ามากเกินไป เพราะผู้ป่วยจะคิดไปว่าท่านกำลังคุกคามชีวิตของเขา ในทางกลับกัน อย่าแสดงความห่วงใยน้อยเกินไปเพราะผู้ป่วยจะเข้าใจว่าถูกละเลยและถูกทอดทิ้ง เรื่องแบบนี้ยากนะครับ โดยเฉพาะครอบครัวที่ปกติไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวผม ส่วนใหญ่พวกเราใช้เวลาไปกับธุระส่วนตัวแบบตัวใครตัวเขา ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าแล้วต้องทำอย่างไรจึงจะแสดงออกให้พอดีได้ ผมบอกตามตรงเลยนะครับ เป็นเรื่องเฉพาะครอบครัวครับ ครอบครัวใครก็ควรรู้จักนิสัยปกติของสมาชิกในครอบครัวของตัวเองดีที่สุด ถ้าไม่มีอาจต้องถามหาเพื่อนสนิทคนใกล้ชิดแล้วล่ะครับ

แรกๆที่รู้ข่าวร้ายนั้น คนในครอบครัวและคนอื่นก็จะไม่รู้หรอกครับว่าควรทำอย่างไรหากไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ใครโชคดีหน่อยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตั้งสติได้ก่อนก็ควรชวนกันไปหาหมอทั้งครอบครัวสักทีจะดีไม่น้อยไม่ต้องเฮโลไปทีเดียวก็ได้นะครับ ค่อยๆทยอยกันไปทีละคนทีละคู่ ระหว่างนั้นก็ขอให้สมาชิกในครอบครัวหรือผู้ดูแลค่อยๆสังเกตอาการกันไปว่าวันไหนปกติเหวี่ยง วีน คึกครื้น หรือซึมเศร้าเกินควรจนเกิดพฤติกรรมเสี่ยง อันนี้ผู้ดูแลต้องค่อยๆฝึกสังเกตเอาเองนะครับ เพราะคนไข้แต่ละคนมีพื้นนิสัยต่างกันแต่ที่สำคัญคือ การกินยานะครับ อย่าให้ผู้ป่วยหยุดยาเองโดยมิได้รับการอนุญาตจากหมอเด็ดขาดเพราะอาการป่วยจะกลับมาและอาจจะต้องตั้งต้นการรักษาใหม่(เชื่อผมสิ ผมลองมาแล้ว)

อ่อ...อีกอย่าหนึ่งนะครับสำหรับท่านผู้ป่วยที่พอมีสติมีวิจารณญาณแล้วหรือผู้ดูแลที่ผ่านมาอ่านบล็อกนี้ต่างฝ่ายต่างควรเอาใจเขามาใส่ใจเรานะครับ ผู้ป่วยควรคิดว่าคนปกติเขาไม่ค่อยรู้หรอกครับว่าความทรมานของโรคนี้มันมากแค่ไหน ผู้ป่วยต้องคิดว่าเขาไม่เหมือนเรา เราจะคิดว่าต้องเปลี่ยนพวกเขามาให้เข้าใจเราเหมือนตัวเราทั้งหมดไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ป่วยเพราะถ้าหากเราคิดเข้าข้างตัวแบบนี้ เราก็คือแม็กนีโต้ วายร้ายในเรื่องเอ็กซ์เมนแล้วล่ะครับ ว่าแล้วท่านผู้ดูแลครับ แรกๆท่านจะรู้สึกว่า อะไรกันเนี่ยทำไมผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่มีเหตุผลเลยสำหรับผมแล้วผมขอตอบว่าเพราะสารเคมีในสมองเขาไม่สมดุลครับทำให้เขารับปมในใจของตัวเองไม่ได้พอรับปมในใจตัวเองไม่ได้ก็ยิ่งทำให้สมองเสียสมดุลวนไปเป็นงูกินหางอย่างนี้แหละครับ ดังนั้นอย่าหัวเสียไปครับ

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าโรคนี้แฝงอยู่ในพันธุกรรมของเราทุกคน เพียงแต่ว่าใครจะโชคดีถูกล็อตเตอรี่ได้พลังพิเศษและประสบการณ์พิเศษก่อนกัน อย่างว่าครับ เราๆท่านๆส่วนใหญ่โชคร้ายหลายคนไม่ถูกล็อตเตอรี่ทั้งชีวิตเลยก็มี

แน่นอนครับใครอยากจะถูกล็อตเตอรี่ก็ต้องซื้อล็อตเตอรี่เสียก่อนในที่นี้คือใครมีพฤติกรรมเสี่ยง ผู้นั้นก็มีสิทธิได้หรือเสียครับ คนปกติจะเสียตังค์ไม่ค่อยถูกรางวัลครับจึงไม่ป่วย ส่วนคนไข้โชคดีหน่อยก็ถูกรางวัลได้โรคมา คนปกติบางคนอยากป่วยมากก็ลงทุนเยอะหน่อยโอกาสแจ็คพ็อตก็มีมากขึ้น(ผมหมายถึงคนที่ชอบเสี่ยงทำงานหนักเครียดมาก ไม่ออกกำลังกาย ไม่พักผ่อนหลับนอน นั่นถือว่าท่านซื้อสลากหลายใบเลยทีเดียวโอกาสถูกมีสูงมากยิ่งมีดวงมาแต่กำเนิดยิ่งง่ายต่อการได้รางวัลที่หนึ่ง ดวงจะรวย(หรือซวยหว่า)นั้นช่วยไม่ได้)ในทำนองเดียวกันครับท่านที่ซื้อสลากน้อย ย่อมถูกรางวัลยาก ยกเว้น จู่ๆก็เก็บสลากแจ็คพ็อตได้ไม่ก็มีคนมายัดสลากถูกรางวัลใส่มือให้ซะอย่างนั้น สองกรณีหลังนี่เหมือนโรคติดต่อนะครับทั้งที่โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อครับ แต่ถ้าท่านไม่เข้มแข็งพอเมื่อท่านอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยท่านก็อาจถูกกดดันให้จิตตกตามไปด้วยได้นะครับ ผมเปรียบเทียบในแบบของผมนะครับ ผิดบ้างถูกบ้างก็ขออภัยเพื่อให้บทความไม่น่าเบื่อ

ที่นี้กลับมาที่ผู้ป่วย ขอยกตัวอย่างภาพยนต์เรื่องเอ็กซ์เมนครับ ผู้ป่วยควรดูกรณีจากฝ่ายของโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์หรือชาร์ล ซาเวียร์เป็นตัวอย่างนะครับ แม้คนปกติไม่เข้าใจพวกมิวแท็นท์แต่พวกชาร์ลกลับเข้าใจคนปกติและถนอมรักษาความสามารถของพวกเขาเอาไว้ช่วยเหลือมนุษยชาติ สมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างมากๆครับ ไม่ควรเอาแต่ใจแบบแม็กนีโต้เดี๋ยวกลายเป็นผู้ร้ายได้แต่โวยวายไปว่าทำไมตะเองไม่เข้าใจเค้าล่ะถ้าตะเองไม่เข้าใจเค้า เรามาป่วยร่วมกันดีกว่าไม่ดีหรอกครับ เอาล่ะครับ ปิดฉากเรื่องเอ็กซ์เมนไปดีกว่า เดี๋ยวจะออกทะเลจนกู่ไม่กลับ

แต่ไหนๆมาที่เรื่องของภาพยนตร์แล้วผมแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้ดูภาพยนตร์อีกเรื่อง เรื่อง ABeautiful Mind ครับ ที่นำแสดงโดย Russell Crowe ครับ ชีวิตของ พระเอกในเรื่อง จอห์น แนช ช่างคล้ายผมจริงๆ ต่างกันตรงที่เขาได้สัมผัสโนเบล ส่วนผมได้ สัมผัสรัตน์เปสตันยี(รางวัลหนังสั้นครับผมเอาเรื่องตัวเองส่วนหนึ่งนี่แหละ ไปทำหนังสั้นส่งประกวดแล้วได้รางวัลมา)

กระโดดกลับมาที่เรื่องของครอบครัวครับพอท่านทราบว่ามีสมาชิกในครอบครัวที่ป่วยแล้วอย่ามัวแต่กอดคอกันซึมเศร้า หรือมาเนียช็อปปิ้งกันจนกระเป๋าฉีก ในกรณีซึมเศร้าสำหรับผม ผมสูญเสียความมั่นใจ วิตก คิดมาก และเครียด ครอบครัวก็เลยตัดสินใจว่าจะให้ผมทำอะไรโดยไม่ต้องคิดก่อนจะสิ้นคิด นั่นก็คือการวิ่ง ให้ผมวิ่งทุกเช้า วิ่งจนหมดแรง ไม่ต้องคิดอะไรตามหลักประชาธิปไตยต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ทั้งหมอทั้งครอบครัวฟันธงร่วมกันพอผมเหนื่อยจะได้หลับไปเอง ตอนนั้นผมเป็นพระเอกแล้วครับไม่ใช่ฝ่ายผู้ร้ายอย่างแม็กนีโต้ที่เอาแต่โต้ตลอด ที่เป็นอย่างนี้ เพราะเห็นคนปกติ(แม่)เดือดร้อนใจเลยขอไปเข้าฝ่ายพระเอกดีกว่า

ความรักความผูกพันเป็นสิ่งสำคัญครับ ที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าจะไม่ยอมแพ้ ทั้งนี้ต้องแสดงออกให้เหมาะสมเอาแบบทางสายกลางครับแสดงออกแต่พอดีๆครับ ผมคิดว่าอย่างนั้น รักอย่างเดียวไม่พอ ต้องเข้าใจด้วยทั้งปมทางจิตใจ และโรคที่เขาเป็น ห่วงเขามากๆรักเขามากๆ เดี๋ยวเขาจะคิดว่าตัวเองกลายเป็นภาระเสียอย่างนั้น

มาต่อครับ...พอวิ่งได้ ก็เอาชนะตัวเองได้ระดับหนึ่งแล้วครับ ร่างกายดี จิตใจก็จะดีขึ้นพอขั้นต่อไป ก็เริ่มให้ทำงานง่ายๆ ไม่ซับซ้อน กวาดบ้าน กวาดใบไม้ เคยได้ยินไหมครับกวาดพื้นไป กวาดกิเลสในใจไปด้วย ถึงตอนนี้ครอบครัวต้องให้คำชมครับกำลังใจจะได้เพิ่ม อย่าเร่งรัดนะครับ ความเครียดเป็นสิ่งต้องห้ามพึงระวัง ให้คำเตือนได้และตำหนิได้บ้างแต่อย่าใช้ถ้อยคำรุนแรงและถี่นัก ชมเข้าไว้ครับความมั่นใจของเขาจะได้คืนมา ผู้ป่วยเองจะได้มองโลกในแง่บวกขึ้น

สื่อที่ล่อแหลม วัตถุมีคม และของอันตราย ขอให้เอาไปเก็บไกลๆให้มิดชิดครับ คนไข้บางคนอ่อนไหวมากต้องระวังให้ดี และอย่าขังหรือล่ามโซ่ผู้ป่วยไว้นะครับพาออกไปไหนต่อไหนบ้าง หากิจกรรมให้ทำ ได้เข้าสังคมที่ดี ลองไปทำงานสาธารณะประโยชน์ด้วยกันเขาจะรู้สึกว่าตนเองมีค่า อย่าเอาแต่เข้าวัดฟังธรรมอย่างเดียวนะครับ บุญช่วยท่านได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นหากท่านเข้าไม่ถึงแก่นของคำว่าความดี ท่านจะติดอยู่ตรงนั้นแล้วไปไหนไม่ได้

เคยมีผู้ป่วยคนหนึ่งพูดกับผมว่าเขาอยากเป็นปกติ อยากเหมือนคนปกติทั่วไป ผมก็เลยถามไปว่าแล้วคุณทำตัวเหมือนคนทั่วไปหรือยังครับ(ด้วยอารมณ์เกรียนน้อยๆ)เขาเล่าให้ผมฟังว่าเขาฟังธรรมฝึกสมาธิวิปัสสนาอยู่เป็นนิจ ผมเลยนึกในใจว่าคนปกติที่เขาว่าน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยฟังธรรมหรือฝึกสมาธิวิปัสสนาสิน่า)

ผู้ป่วยบางรายมีชีวิตแบบที่ดูแล้วน่าอิจฉามากมีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่เพราะความเพียบพร้อมกลับทำให้ตัวเขาแปลกแยก แต่คนไข้จำพวกนี้จะไม่ค่อยมีปัญหาครับกินยาและปรับแก้ทัศนคตินิดหน่อยก็คิดว่าน่าจะดีขึ้น ตรงกันข้ามบางคนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ปัญหาครอบครัว การเงิน รุมเร้า ก็มาป่วยเสียอีกญาติโยมก็ไม่มีใครมาดูแล พอมีอาการมีเรื่องกับคนปกติขึ้นมา ก็โดนหาว่าเป็นภาระของสังคมเสียอย่างนั้น ทั้งๆที่เขาน่าจะทำประโยชน์ให้กับสังคมได้แต่สังคมกลับมืดบอดหาประโยชน์ของคนไข้ไม่เจอ ใครอยากรู้ว่าผู้ป่วยมีความสามารถขนาดไหนลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดูสิครับ

พอป่วยผมโดนคนรู้จักเลิกคบหาไปหลายคนทีเดียว แต่โชคดีที่ผมยังมีครอบครัวมีลูกและภรรยาที่รักยิ่งผมปรับตัวได้ดีขึ้นหลังจากที่แต่งงานและมีลูก เพราะผมเห็นความแตกต่างของผู้คนมากขึ้นกะลาที่ครอบครัวเคยใช้ครอบผมไว้ถูกเปิดออก ด้วยความรักทำให้ผมลุกขึ้นยืนได้แม้ยังไม่มั่นคงนักแต่ก็น่าพอใจกว่าแต่ก่อนน่าภาคภูมิใจพอๆกับตอนที่รู้ว่าได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนนั้นเหนื่อยมากแต่ตอนนี้กลับไม่เหนื่อยมาก เพราะความสุขอยู่ใกล้ๆรอบตัวนี่แหละครับ รอยยิ้มหัวของคนอื่นมีค่าเทียบเท่าเงินทอง(แต่ถ้าไม่มีกินอาจจะพูดอีกแบบครับแต่มองแง่บวกไว้ สบายใจกว่าเดี๋ยวอาการกำเริบ) อดมื้อกินมื้อบ้างช่างมัน ไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตละครเวทีที่ยิ่งใหญ่อลังการก็ไม่เป็นไรแค่ได้ดูลูกร้องเพลงอยู่บ้านก็สุขแล้ว ไม่มีไอโฟน ไอแพด แต่มีหนังสือ สมุดบันทึกกับคอมพิวเตอร์เก่าๆ ก็สุขได้ ไม่มีรถส่วนตัว ก็นั่งแท็กซี่ นั่งรถประจำทางก็ได้บรรยากาศอีกแบบ มองไปรอบๆ ไม่ต้องก้มหน้ามองแต่โทรศัพท์ เห็นคนอื่นกินดีอยู่ดีก็ดีใจด้วย ก็ไม่รู้จะกลุ้มไปทำไมนี่ครับ

ในโชคดีมีโชคร้ายในโชคร้ายก็มีโชคดีภรรยาผมสอนว่าให้รู้จักประมาณตน อยู่กับปัจจุบัน จะได้ไม่ต้องเครียดอาการจะได้ไม่กำเริบ (ผมน้อมรับพรนั้นมาใส่กระหม่อมไว้เป็นสิริมงคลกับตัวตราบจนทุกวันนี้) ภรรยาผมใจเด็ดมากขนาดรู้ว่าผมป่วยโรคนี้ยังยอมแต่งงานกับผมอีกดังนั้นจะให้ตายจากกันไปง่ายๆผมไม่ยอมแน่ๆ

เจ้าลูกชายสอนอะไรผมหลายอย่างของเล่นไม่แพง ก็สนุกได้ กับข้าวพื้นๆก็อร่อยแล้ว เสียอย่างเดียวไม่ได้ไปเที่ยวกันบ่อยนักเพราะผมไม่ค่อยแข็งแรงและไม่มีรถส่วนตัว แต่ไม่เป็นไรครับ รอเขาโตอีกนิดไปรถทัวร์ก็ได้นี่นา เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไม่ค่อยได้คุยมีแต่มีลูกชายเป็นเพื่อนแต่มีความสุขกว่ากันไปคุยกับพวกนั้นในผับในบาร์เยอะเลย

เชื่อไหมครับผมศึกษาพระธรรมจากสรรพสิ่ง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ถูกบ้างไม่ถูกบ้างแอบหวังนิพพานอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เร่งครับ เอาแบบกลางๆของผมเอง แต่อาจดูตึงหรือหย่อนไปสำหรับคนอื่นนั่นไม่แปลกครับ เขาไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่เขา เราเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างขืนทุกคนเหมือนกันหมด คงแย่งกันกินแย่งกันใช้จนวายป่วงหมดแน่ๆ

อ่อ...ใกล้หมดหน้ากระดาษแล้วสำหรับผมโรคไบโพลาร์รักษายากนะครับ ค่าใช้จ่ายสูงด้วย แม้โอกาสป่วยจะน้อยมากแต่ป้องกันไว้เถอะครับ ผมในฐานะผู้ป่วยมาบอกเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นแนวร่วม ส่วนใครที่เข้าแนวร่วมแล้วก็สู้ๆนะครับคุณยังทำอะไรเพื่อคนอื่นและตัวเองได้อีกมาก และโปรดรับรู้ไว้เถิดครับว่าคุณไม่ได้เป็นแบบนี้เพียงคนเดียวในโลก

ทีแรกว่าจะเล่าให้เป็นเรื่องเป็นราวกว่านี้กลับเป๋ไปเป๋มาเพราะไม่ได้วางแผนการเขียนไว้ก่อนครับ หวังว่าผู้อ่านคงให้อภัย ฝากถึงทุกท่านที่มีครอบครัวนะครับ รักกันไว้ เข้าใจกันให้มาก เด็กๆลูกๆหลานๆอนาคตของชาติจะได้ไม่ต้องถูกหวยเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ เวลาทะเลาะกันก็คุยกันด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์จนขาดสติล่ะครับเด็กๆจะได้มีภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ที่ดี สังคมจะได้น่าอยู่ พอรู้ว่าเขาป่วยก็ขอให้เข้าใจอย่าไปซ้ำเติมกันนะครับเดี๋ยวจะหาว่าแม็กนีโต้ไม่เตือน




Create Date : 26 ตุลาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 21:17:14 น. 1 comments
Counter : 2222 Pageviews.

 
หวัดดีครับคุณบี

ขนาดแบบไม่มีพล็อต คุณบียังเขียนได้น่าอ่านครับ
สำหรับผมเอง..ขอบอกว่าได้ประโยชน์มากครับ
และคิดว่าเพื่อนๆบล๊อกที่เข้ามาอ่าน คงได้อะไรติดสมองกลับไปเช่นกัน
อ้อ..ยินดีด้วยครับสำหรับรางวัลหนังสั้น . . .
เอามาอัพที่นี่และเล่าความเป็นมาคร่าวๆคงน่าอ่านน่าชมเนาะ

สุขสันต์บ่ายวันศุกร์ครับคุณบี


โดย: Dingtech วันที่: 26 ตุลาคม 2555 เวลา:15:54:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.