To sooth my soul
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
232425262728 
 
20 กุมภาพันธ์ 2557
 
All Blogs
 
Bipolar Being

  วันนี้เป็นอีกวันที่อยากเขียนอะไรขึ้นมาบ้าง
ผมป่วยมาเป็นเวลาเกือบสิบห้าปีแล้ว
ผมใช้เวลาห้าปีแรกในการปรับตัวให้อยู่กับโรคนี้ให้ได้
ห้าปีแรกเป็นปีที่รู้สึกทรมาณที่สุดในชีวิต
ผมนอนซมอยู่กับบ้านเดือนแล้วเดือนเล่า
และเฝ้าคิดว่า ทำไมผมต้องเป็นแบบนี้
การรักษาทำให้ อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้
บวกเลขไม่ได้ แต่โชคยังดีที่ผมยังสามารถวาดรูปได้ 
แม้ลายเส้นจะบิดเบี้ยวไปไม่เหมือนเดิม
แต่กระนั้นมันก้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ผมกลับจากจุดสูงสุดลงสู่จุดต่ำสุดอย่างรวดเร็ว
ยิ่งขึ้นไปสูง ตกลงมาก็เจ็บหนัก
มีความคาดหวังสูง ก็ยิ่งเครียดและกดดัน

ที่แรกพ่อและแม่ก้ยังทำใจไม่ค่อยได้
พวกเขาหวังว่าผมจะหาย
แต่ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะหายแน่นอน
ผมต่อสู้กับอาการนี้อยู่ระยะหนึ่ง
โดยมีพ่อและแม่คอยให้กำลังใจ
แม้บางเวลาเขาก้ไม่เข้าใจผม

พ่อและผมออกวิ่งออกำลังกายด้วยกันในตอนเช้า
พอกลับมาที่บ้าน ผมก็มาคอยช่วยงานที่ร้านกับแม่
ผมต้องฝึกบวกเลขใหม่ รับเงินทอนเงินในร้านและเขียนใบเสร็จ
ผิดบ้างถูกบ้างแต่ทุกคนก็ช่วยกันตรวจตรา
ช่วงนี้ทุกคนต้องต่อสู้กับความรู้สึกไร้ค่าของตัวผม
นักศึกษาระดับหัวกะทิกลายเป็นเด็กรับใช้
ทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ รับเก็บเงินทอนเงินไปวันๆ
หลายครั้งที่พ่อโมโหผมเพราะว่าผมเรียนตั้งสูง
แต่ทำงานได้แค่นี้ ไม่มีงานประจำทำ
หลายครั้งที่ผมคิดจะทำร้ายตัวเอง
แต่ก็ทำไม่ไได้
ด้วยความคิดที่ว่า
การจากโลกนี้ไปไม่ได้ทำให้ปัญหาจบลง
แถมเพิ่มภาระให้คนที่เรารักด้วย
หากยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ยังทำประโยชน์ได้บ้าง

ผมเริ่มถือไม่กวาด กวาดบ้านให้สะอาด
เช็ดถุทำความสะอาดบ้านของตัวเอง
แม้มันยังไม่ค่อยดีนัก แต่ก้ยังทำให้คนในครอบครัวรู้สึกดีขึ้น
คำชมและการให้กำลังใจจึงตามมา

การลุกขึ้นมาหยิบจับอะไรบ้าง
เป็นการให้ความหวังและกำลังใจกับผู้ดูแลผม
เรากำลังให้กำลังใจกันและกัน

ผมซื้อหนังสือเลขคณิตของอนุบาลและประถมต้นมานั่งฝึกทำ
เริ่มฝึกบวกลบเลข และอ่านหนังสือใหม่
ทำอะไรๆจากง่ายไปยาก
เมื่อทำได้ก้มีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น

ในเวลานั้นหมอที่รักษาผมพยายามควบคุมความประพฤติของผมอย่างเข้มงวด
เขาว่าผมต้องมีระเบียบวินัยและต้องอยู่ในโลกของคนปกติให้ได้
แต่ผมทำใจไม่ได้เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ปกติ
ผมไม่สามารถทำบางสิ่งบางอย่างที่หมอคาดหวังจะให้ทำได้
เช่น ผมไม่อยากขับรถ ไม่อยากกินยามาก
หมอขู่แกมบังคับให้ผมต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น
ตัวผมเองเป็นคนหัวแข็ง การขู่บังคับจึงทำให้เกิดการต่อต้าน
การรักษาจึงไม่ค่อยคืบหน้า

เมื่อผมมีอาการดีขึ้นมาหน่อย มีสติพอที่จะพูดคุยกับคนทั่วไปได้
ผมกลับไปทำงานใช้ทุนที่มหาวิทยาลัยอยู่แปดเดือน
ทำทุกอย่าง เท่าที่ผู้ป่วยอย่างผมจะทำได้
ยังดีที่ทุกคนที่นั่นเข้าใจ
เหมือนกับว่า ผมไม่ใช่รายแรกที่เป็นอย่างนี้
และผมก็ป่วยจริงๆ มิได้หาข้ออ้างในการกลับบ้าน
แต่ผมก็ยังรู้สึกอาย และน้อยเนื้อต่ำใจที่ทำอะไรได้ไม่สำเร็จหลายเรื่อง

เวลาทำอะไรได้ไม่สำเร็จ ก็จะท้อใจได้ง่าย
และในตอนนั้น ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนหมอ
หมอคนใหม่ให้อิสระกับผมมาก ดดยมีข้อแลกเปลี่ยนง่ายๆ
"ต้องกินยา"
อิสระในการคิดและการกระทำหลายอย่างทำให้ผมรู้สึกไม่ต้องแบกโลกไว้
ผมทำอะไรตามใจตัวเองได้บ้าง เช่นไม่ต้องเลิกกินน้ำอัดลมก้ได้
แต่กินให้น้อยลงน้ำหนักจะได้ไม่ขึ้น ไม่ต้องคาดหวังว่าจะขับรถให้ได้
นั่งรถประจำทางหรือแท็กซี่ก็ได้ ทุกอย่างมีตัวเลือกให้ผมเลือก
อะไรไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ไม่ต้องไปให้ความสำคัญมาก
อะไรที่สำคัญแล้วทำไม่ได้ก็ต้องรู้จักขอความช่วยเหลือ

ยาและอิสระของชีวิตทำให้ผมตั้งสิตได้ทีละน้อย
แต่อิสระที่มากไปก้ทำให้ต้องเสียค่ายาแพง
หมอปรับยาขึ้นๆลงๆเพราะผมหละหลวมในการใช้ชีวิตเกินไป
ความไม่เป้นระบบระเบียนที่มากเกินไปทำให้เกิดการแกว่งไปมาของระยะซึมเศ้รากับคึกคัก
ด้วยค่ายาที่แพงจัด และอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆในการรักษาทำให้ผมต้องเปลี่ยนหมออีก

คราวนี้คุณหมอคนใหม่ให้คำปรึกษาผมมากกว่าคนก่อน
คุณหมอพยายามปรับพฤติกรรมผมให้เป็นกลาง
ระหว่างนั้นผมก็ทางานประจำได้ แต่กระนั้นรายได้ก็ยังไม่พอค่ายารักษา
ต้องพึ่งพาทางบ้านอยู่ดี แต่ก้ยังดี ที่ต้องพึ่งพาทางบ้านน้อยลง
ผมทำงานยากๆได้สำเร็จ จนแอบคิดว่าจะดีเหมือนเดิมได้
แต่สุดท้ายโรคก็กำเริบอีก
ผมพยายามหาสาเหตุว่าทำไมถึงกำเริบ
ทุกอย่างๆ เป็นเพราะผมปรับตัวได้ไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก
สมองจึงสั่งให้เราสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาคลุมตัวเองไว้อีก
ผมเป็นคนใจร้อน ในขณะที่คนปกติทำงานวิเคราะหืสารเคมีได้สิบชิ้นต่อวัน
ผมทำได้สามเท่า เสร็จเร็วกว่า และแม่นยำกว่าพนักงานที่เพิ่งลาออกไป
ผมทำงานใหม่ๆได้ ติดตั้งเครื่องวิเคราะห์สาร และฝึกพนักงานให้ใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่มันก็รู้สึกไม่เหมือนเดิม
 ผมยังจมอยู่กับอดีตที่รุ่งเรือง หลายครั้งที่คิดจะบวชทั้งๆที่มีปมในใจ
แต่แล้วแม่ผมก็ห้ามไว้ ด้วยเหตุว่าผมยังอ่อนไหวเกินไปที่จะไปรับเอาพระวินัยมาปฏิบัติ
ผมเริ่มศึกษาธรรมะ และศาสนามากขึ้น
สิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผมคือทางสายกลาง และความกลมกลืนกับธรรมชาติ
สองสิ่งนี้ทำให้ชีวิตร่มเย็น
แต่ผมจะร่มเย็นไม่ได้เลยหากยังอยู่ในสังคมที่มีความวุ่นวายพอสมควร
มีคนอวดข้าวของราคาแพงกัน แข่งขันและเอารัดเอาเปรียบ
การทนสู้อยู่แบบนั้นทำให้โรคกำเริบอีก
ที่บ้านจึงปรึกษาหารือกันเรื่องนี้
ผมจะทนสู้แล้วป่วยอีก
หรือจะหลีกออกมาเพื่อรักษาให้หาย
ทั้งสองทางมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ถ้าผมรักษางานประจำไว้ ผมก็จะโหมงานหนักจนล้มอีกโดยนิสัย
ถ้าผมออกจากงานประจำ ผมก็จะผ่อนคลายลงตัวโรคก็อาจจะหาย แต่นั่นก้เป็นแค่ความหวัง

จนวันหนึ่งผมได้พบคู่ชีวิตระหว่างการทำงานประจำ
ผมตัดสินใจบอกเธอว่าผมเป็นโรคนี้
เราดูใจกันอยู่พักหนึ่ง ไม่นานนักก็แต่งงานกัน
เธอเป้นคนที่เข้มแข็งมาก แม้ในยามที่ผมป่วย
ผมทำอะไรแบบไร้สติ เธอก็ยังทนรับได้

เวลาทะเลาะกันผมถือคติคือถอยออกมา อยู่ให้ห่าง เงียบ
รอให้ใจเย็นลงแล้วค่อยคุยกัน นึกถึงแต่เรื่องดีๆ ไว้
แล้วคิดไว้ว่า ต่อให้เข้าใจกันขนาดไหนก็มีความต่าง
การที่คนสองคนมาอยู่ร่วมกันต้องปรับตัวเข้าหากัน
"เอาใจเขา มาใส่ใจเรา"
"สงวนความต่าง แสวงหาความเหมือน"
ด้วยวิธีเหล่านี้ทำให้ผมผ่านมรสุมชีวิตครอบครัวมาได้

แล้วการเปลี่ยนแปลงใหม่ก็เกิดขึ้น เมื่อมีสมาชิกใหม่เกิดขึ้นในครอบครัว
ในสังคมที่ไม่มีความผ่อนผันและความปราณีให้กับคนอ่อนแออย่างผม
ในวันที่ลูกชายเกิด ผมไม่สามารถลาหยุดงาน

ผมนั่งพิจารณาชีวิตของผมในช่วงนั้นอย่างถี่ถ้วน
ว่าผมจะทำอย่างไรต่อไป จนกระทั่งโรคกำเริบอีก
สุดท้ายผมก็ต้องออกจากงาน เพราะขาดงานเป็นเวลานานไม่ได้
จริงๆแล้วการทำงานไม่ใช่ปัญหา แต่การเดินทางไปทำงานนั้นเป็นปัญหา
ผมใช้เวลาเดินไปกลับบ้านที่ทำงานไม่ตำ่กว่าสี่ชั่วโมงต่อวัน
ด้วยรถสาธารณะบนถนนที่มีการจราจรติดขัด

สุดท้ายผมจึงต้องถอย ถอยออกมารักษาตัว
ผมอุ้มลูกไม่ได้ ดูแลลูกที่ยังเล็กไม่ได้ เพราะอาการป่วย
ผมโมโห ที่เจ้าตัวเล็กมาพรากชีวิตของผมไป

ผมกันตัวเองออกมาจากลูก
ด้วยเหตุว่าผมไม่พร้อมในการดูแลเด็กเล็ก
เขาบอบบางเกินไป

แต่กระนั้นผมก็ทั้งดีใจและเสียใจปนเปกัน
เมื่อเห็นภรรยาอุ้มลกอย่างมีความสุข
"ไม่มีใครได้อะไรทุกอย่าง"

ผมตัดสินใจที่จะรักษาตัวอย่างจริงๆจังๆให้ดีขึ้นอีก
ผมออกจากงาน รักษาตัวจนดีขึ้นแทบเป็นปกติ
ออกรับงานสอนกวดวิชาเด้กประถมได้
ไม่มีปัญหาตลอดปีกว่าๆที่ทำงาน

จนกระทั่งเจอลูกศิษย์ที่เป็นเด็กประถมที่ป่วย
เป็นโรคจิตเวช คล้ายๆกัน
เขาอารมณ์รุนแรงมาก เอาแต่ใจ
และเกเร ผู้ปกครองบอกว่าเขาต้องกินยาระงับอารมณ์

ผมรู้สึกเข้าใจเขา แต่เขาก็ทำตัวเป็นปัญหา
เพราะเขาทำให้เพื่อนๆในชั้นเรียนปั่นป่วน จนเรียนไม่ได้
ผมไม่ใช่ครูมืออาชีพหรือนักจิตบำบัด
ผมรับมือเขาไม่ไหว ครูทั้งสถาบันก็รับมือไม่ได้

สุดท้ายผมก็ต้องรามือ ด้วยเหตุว่า
ระบบการศึกษาไทยในตอนนั้นห่วยมาก
ปรับเปลี่ยนไปมาจนคนสอนสับสน นักเรียนก็สับสน
การกวดวิชานักเรียนที่มาจากโรงเรียนต่างกันเอามารวมกันจึงยากมาก
ผมคนเดียวต้องสอนคละชั้นคละบทเรียน
ครูกวดวิชาหลายคนก็ไม่ไหว
สุดท้ายก็ต้องเลิกรากันไป
เพราะไม่สามารถรับเด็กได้ตามจำนวนที่พอให้คุ้มค่าแรงและค่าเดินทาง

ผมกลับมาอยู่ที่บ้าน ทำงานเล็กๆน้อยๆ
ส่วนภรรยาก็ทำงานที่เดิม
แม่ของผมช่วยแบ่งเบาเรื่องการเลี้ยงลูกให้กับพวกเรา
ดชคยังดี ที่ครอบครัวผมไม่ทิ้งกัน

ผมทำงานเล็กๆน้อยๆ พร้อมกับเขียนโน่นเขียนนี่ไปวันๆ
จะเรีกว่าเป็น ศรีเรือนก็ยังไม่ถูก
เพราะไม่ได้ทำงานบ้านเองทั้งหมด
ผมยังต้องการเวลาช่วงหนึ่งอยู่กับตัวเอง
คิดแล้วเขียน ปลอดปล่ยเรื่องราวและจินตนาการ
วาดภาพเพื่อปลดปล่อยมดนภาพในจิตใจออกมา

ผมท้อใจบ้างเป็นบางเวลา แต่ไม่เสียใจที่ทุกวันนี้เป็นแบบนี้
ผมใช้ชีวิตแบบมีควาสุขตามอัตภาพ
สิง่ที่ผมมี ไม่ใช่ของผม แต่เป้นของภรรยาและลูกที่รัก
ผมแค่เอามใช้ก่อน แล้วส่งต่อให้เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากไป
ผมเหงาบ้าง อ้างว้างบ้าง แต่ก็ยังมีคนในครอบครัวเป็นเพื่อน
แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นไก่ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในระบบปิด

แต่กระนั้นผมก็ยังมีความสุข ที่เห้นคนรอบข้างมีความสุข
อย่างน้อยผมก้จะทำตัว ไม่ให้เป้นภาระต่อใครมากเกินไป
แบ่งปันสิ่งที่มีประโยชน์เท่าที่จะทำได้
เพื่อตัวเองจะได้รู้สึกว่าชีวิตมีค่า
แม้ไม่มาก ก็น้อย ไม่ใช่ไม่มีเลย

ประสบการณ์ที่ร้ายของผม อาจมีค่าต่อคนอื่น
ผมจึงนำมาแบ่งปัน
อย่าสงสารผมมากนัก ผมไม่อยากได้ความสงสาร
จงช่วยเหลือคนอื่น
ทำชีวิตของคุณให้ดี ทำสังคมให้ดี
ขอให้คุณมีความสุข
นั้นคือสิ่งที่ผมขอ





Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2557 11:35:09 น. 1 comments
Counter : 906 Pageviews.

 


เป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคนที่เป็นไบโพล่าร์เหมือนกัน


โดย: ร่มแห่งความหวัง วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:17:04:43 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.