|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
สังคมหน้ากาก
หลายช่วงปีที่ผ่านมาของชั้น ได้พบผู้คนมากมายพร้อมกับเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆที่ทำให้ชั้นได้เรียนรู้ว่า "คน" นั้น ช่างหลากหลาย และมีความซับซ้อน เพราะกว่าจะมาเป็น "คน" ได้นั้น มันประกอบด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ใช่แค่เลือดเนื้อร่างกายน้ำหนองสมองผิวหนัง แต่คน ยังประกอบด้วย จิตใจ ความนึกคิดที่ส่งผลไปยังการกระทำอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ที่ชั้นได้พบเจอทำให้ชั้นมีความสนใจในคน จนกระทั่งต้องมาศึกษาอย่างจริงจัง
ชั้นพบว่าคนเรานั้นแตกต่างหลากหลายไปตามสังคมต่างๆคนไม่จำเป็นต้องเป็นคนประเภทเดียวกันถึงจะคบหากันได้ชั้นค้นพบว่าบางครั้งความแตกต่างกลับกลายเป็นสิ่งที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อ เรา ค้นพบสังคมโลกของเราที่คิดว่าลงตัว แต่สิ่งต่างๆมันไม่ได้ง่าย เพราะว่าคนนั้นมีความซับซ้อนอย่างที่ชั้นพูดเอาไว้ตอนแรก คนเรามีระดับสมอง ความคิดต่างกันขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อม การศึกษา และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
มนุษย์มีความน่ามหัศจรรย์กว่าลิงตรงที่ว่ามนุษย์มีความซับซ้อนลึกซึ้งกว่าลิง ยิ่งอยู่รวมกันมากแค่ไหนยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น
หนังสือเล่มหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า "ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็คือเพื่อนของคุณ" ฟังแล้วมันดูช่างน่ากลัวเหลือเกินกับคำคำนี้ แล้วหนังสือได้เขียนอธิบายต่อไปอีกว่า นั่นเป็นเพราะว่า เพื่อน คือ คนที่คุณไว้ใจ แต่คุณจะไม่มีวันรุ้เลย ว่าคนคนนั้นจะเป็นเพื่อนแท้ของคุณหรือไม่ แล้ววันหนึ่งเมื่อความเป็นเพื่อนหมดไป สิ่งต่างๆอาจจะถูกเปิดเผยเสริมแต่งแล้วนำออกไปสู่ภายนอกโดยที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้
อ่านมาถึงตรงนี้ชั้นเริ่มจะพิจารณาถึงข้อความนี้ ชั้นเริ่มจะเห็นจริงตามนั้นเพราะว่าจากประสบการณ์จริง มันทำให้ ทฤษฎี นี้ มีความเป็นไปได้ มากขึ้น แต่ชั้นก็ยังกังขาอยู่ว่าแต่ มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่จะต้องเข้าข่ายนี้ แต่ถ้ามองกันลึกๆทุกวันนี้ ปัญหาในสังคมกลุ่ม มันเกิดมาจากอะไร ใครๆเค้าว่าคนไทยขี้นินทา ชั้นกลับมาตั้งคำถาม ว่า ขี้นินทา กับ พูดถึง เล่าข่าวคราวมันต่างกันอย่างไร เพื่อนๆของชั้น ได้ให้คำตอบชั้น ว่า ขี้นินทา คือ การที่ ว่าร้ายผู้อื่นโดยการเอา เรื่องของบุคคลเหล่านั้นมา พูดจาว่าร้ายในทางไม่ดีและจงใจทำให้ผู้อื่นเสียหาย ส่วนการเล่าข่าวคราวมันเป็นเพียงการเล่าเหตการเรื่องราวของบุคคลเหล่านั้น ซึ่งกรณีหลัง จะเกิดเสียหายได้ถ้าเจ้าตัวเจ้าของเหตการณ์รู้สึกละอายหรือว่ารู้สึกว่าตัวเองมีฉนักปักหลังอยู่แล้วเกิดอาการร้อนตัว มันก็ทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้เช่นกัน ทำไมชั้นถึงพูดแบบนี้น่ะเหรอเพราะว่าส่วนมากถ้าคนที่ไม่มีเรื่องปิดบังหรือรู้สึกละอายกับสิ่งที่ตัวทำจะไม่สนใจกับการบอกเล่าทั่วไป
ชั้นได้พบบุคคลที่เข้าข่ายที่กล่าวมามากมายทำให้ชั้นค้นพบว่าการระวังคำพูดเป็นสิ่งสำคัญเพราะว่าคุณไม่สามารถรู้ได้อย่างแท้จริงว่า คำพูดของคุณจะโดนเอาไปใช้ในกรณีไหน โดยที่คุณไม่รุ้ตัว มนุษย์มีสันดานรักตัวเอง และ สันดาน การเอาตัวรอด จะมีซักกี่คนที่จะ ยอมหักไม่ยอมงอ ยึดถือในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แม้ว่ามันจะย้อนมาทำร้ายเราในภายหลัง
วันนี้ชั้นได้บทพิสูจน์อีกหนึ่งข้อของมนุษย์ว่ามนุษย์นั้นส่วนมากอาศัยอยู่ในสังคมหน้ากาก เพราะว่าทุกคนมีหน้ากากของตัวเองที่เค้าเหล่านั้นบรรจงสร้างสรรเพื่อให้คนภายนอกเชื่อในแบบนั้นๆ หน้ากากที่พวกเค้าเหล่านั้นสวมใส่เหมือนจริง ทั้งรูปลักษณ์และผลิตภันณ์ จนยากที่จะแยกออกว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนปลอม หน้ากากหรือหนังหน้าคน นั้น มันเป็น สัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมในสังคมและความเสื่อมโทรมของมนุษย์ หน้ากาก สวยๆเหล่านั้นฉาบไปด้วยความไม่จริงใจ ชั้นตระหนักได้ว่า น่ายินดีสักเพียงไหนที่ชั้นได้ออกมาจากสภาวะเหล่านั้น ชั้นมองไปที่บุคคลหลายคนชั้นพบหน้ากากหลายรูปแบบจนชั้นเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน จะอีกนานซักเพียงไหน ที่บุคคลเหล่านั้นจะมองเห็นหน้าตาที่แท้จริงภายใต้หน้ากากสีสวยเหล่านั้น
มนุษย์มีเลือดเนื้อมีจิตใจ มี อคติ มีปัญญามากน้อยต่างกัน มนุษย์ส่วนมากใช้อคติมองสิ่งภายนอกมากกว่าใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์พิจารณากว่าจะมารับรู้เรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นมันก็สายไปเสียแล้วหน้ากากที่ถูกสวมมันติดแน่นจนยากที่จะแกะออกมันทำให้กลายเป็นสันดานจนแก้ยาก
ตัวชั้นเองก็มีหน้ากากของตัวเองเมื่อยามจำเป็นที่จะต้องใช้กับบุคคลที่สวมหน้ากากเหล่านั้น แต่หน้ากากของชั้นมันจะไม่ถูกใช้ถ้าคนเหล่านั้นไม่ใช้กับชั้นก่อน เพราะชั้น ชอบการมองเห็นจากดวงตาของชั้น ชอบการสูดดมอากาศจากจมูกของตัวเองโดย ที่ไม่มีอะไร มาปิดกั้น เพราะว่านั่นคือ เนื้อแท้ของชั้น เนื้อแท้ที่ชั้นไม่ได้ละอายหรือจำเป็นต้องนำสิ่งใดมาปกปิดมันเอาไว้หรือ พยายามเสแสร้งเป็นคนที่คนอื่นชื่นชมทั้งๆที่ข้างในนั้นแสนจะไม่น่าดู
สังคมหน้ากากของพวกเค้าเหล่านั้น เหมือนละครฉากใหญ่ที่ชั้นนั่งชมด้วยอารมณ์ขบขันเหมือนละครฉากใหญ่ที่ชั้นได้เรียนรู้ไม่ว่าตัวละครนั้นจะ เด็ก สาว หนุ่ม หรือ แก่ มันก็ เท่านั้น ทุกคนมีสิทธิ สวมหน้ากาก ได้ เท่าๆกัน
มีเพียงนิดเดียวที่ชั้นเสียดาย เสียดายที่ว่ามนุษย์เหล่านั้นโดน อคติ ความเห็นแก่ตัว บดบังวิสัยทัศย์ไปจนหมด จนวิจารณญาณ ทำงานได้ไม่ดีพอแล้วทำให้เกิดเรื่อง ต่างๆ ตามมาจนการจะอยู่ได้สังคมของคนเหล่านี้คือการใส่หน้ากาก และอยู่รวมกันกัน สังคมหน้ากาก
ส่วนชั้น บอกลาสังคมหน้ากาก ตรงนี้ ขอให้ อยู่กันอย่างเป็นสุข และหวังว่าวันหนึ่ง มนุษย์จะรู้ว่าสิ่งที่สวมอยู่คือหน้ากากธรรมดาถึงแม้ว่ามันจะเหมือนจริงมากแค่ไหนก็ตาม
Create Date : 24 พฤษภาคม 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2551 23:48:43 น. |
Counter : 688 Pageviews. |
|
 |
|
|
|
|
|
|
Location :
Newcastle upon Tyne United Kingdom
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
เมื่อคนเราไม่ใช่คนวิเศษ แต่เราทำตัวเราให้มีคุณค่าโดย การที่รู้จักตัวตนที่แท้จริง และก็ยอมรับมันโดยไม่ละอาย แล้วเราจะสามารถเชิดหน้า ได้อย่างสบายใจ
|
|
|
|
|
|
|