|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
3 เมษายน 2554
|
|
|
|
สิ่งที่เป็น... (ตะพาบฯ กม.29)
สวัสดีครับ ผมในฐานะคนเขียนเรื่องแสนยาวและอาจจะน่าเบื่อนี้ ต้องขอยอมรับว่าเรื่องนี้ออกจะยาวไปสักหน่อยครับ ฮาฮาฮา และผมขอแก้ตัวให้ตัวผมเองว่า ผมไม่มีเวลาตัดครับ ดังนั้นหากใครอ่านแล้วเบื่อต้องขอประทานโทษด้วยนะครับ โอกาสหน้าจะพยายามฝึกฝีมือใหม่ครับ
ผมนั่งมองควันลอยล่องออกมาอย่างไร้รูปแบบเหนือแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมฉุน พลางนึกไปถึงกาแฟแก้วแรกของโลก คนเลี้ยงแพะที่เอธิโอเปียคนนั้นจะรู้สึกยังไงกับกาแฟแก้วแรกที่เขาค้นพบ หน้าตาของมันคงต่างกันกับแก้วนี้โดยสิ้นเชิง รสชาติคงไม่ละมุน..หอมและนุ่มลึกอย่างแก้วนี้ จริงๆอาจไม่ได้ใส่แก้วด้วยซ้ำไป จิบไปก็นึกถึงคำหมอสั่งห้ามกินกาแฟ แต่ชีวิตผมคืีอชีวิตผม ผมไม่รักแล้วใครจะทำไม ผมวางแก้วกาแฟลงที่เดิมให้กลิ่นหอมลอยเข้าจมูกเพื่อให้รู้สึกหวานกับกลิ่นอย่างเต็มที่ จะว่าผมไม่รักตัวเองซะทีเดียวก็ออกจะแรงไป(สำหรับชายวัยกลางคนเช่นผม..) จริงๆแล้วผมหมดปัญญาจะสู้กับโรคต่างๆที่รุมล้อมผมต่างหาก... ในความหมายว่าหมดทุกทางเท่าที่นึกออกจริงๆ จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าผมเป็นโรคเยอะขนาดนี้ได้ยังไง แถมยังอุตริอยู่มาได้จนอายุปูนนี้ เคยเข้าออกโรงพยาบาลมีชื่อเกือบทุกแห่งที่มีในเมืองหลวงแห่งนี้ ทั้งแบบที่แพงจนไม่รู้จะแพงไปถึงไหน จนถึงที่ที่ถูกเหมือนรักษาฟรีแต่มีหมอขึ้นชื่อ(อันหลังนี่เกือบจะไม่มีแล้ว) เดินเข้าออกอยู่หลายต่อหลายต่อหลายปีจนเกือบได้พยาบาลเป็นภรรยาไปหลายต่อหลายคน!! ติดอยู่ตรงที่ว่าโรคผมเยอะเกินไป เกินกว่าจะมีใครยอมมาเสี่ยงกับผมได้ ทำประกันก็ไม่ได้โรคเยอะเหลือเกิน... แล้วทำไมผมต้องนั่งซึมและเศร้ากับชีวิตมีโรคมากล่ะครับ ถ้าจะให้เลือกระหว่างการมีความสุขกับกลิ่นหอมของกาแฟสักแก้วปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักชั่วโมงโดยไม่ทำอะไร...หรือจะนั่งจิบน้ำเปล่าแล้วมองคนมีโรคน้อยที่เดินผ่านไปมาและขมวดค้ิวพลางถามกับตัวเองว่า ทำไมต้องเป็นกูวะ!?.... ผมอ่อนแอมากไหมที่ผมเลือกอย่างแรก แล้วถ้าเป็นคุณล่ะจะเลือกอย่างไหน...
เด็กน้อยอายุ5-6ขวบกำลังนั่งกินไอติมโคนอยู่บนม้ากระดกที่สนามเด็กเล่น เขานั่งเลียไอติมรสชาเขียวพร้อมคิดหาวิธีต่างๆนาๆที่จะสามารถเล่นม้ากระดกนี้เพียงคนเดียวโดยไม่ต้องยุ่งกับเด็กคนอ่ืน ม้ากระดกที่ด้านหนึ่งเป็นหน้าหมายิ้มอีกด้านหนึ่งเป็นหน้าแมวยิ้มนี้ เขาเพิ่งมาเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อนหลังจากที่เขาเบื่อเล่นกับม้าลื่นที่ลื่นอยู่คนเดียวจนเขารู้สึกว่าตูดนั้นเริ่มจะด้านเกินวัย...เขาจึงมาครอบและครองม้ากระดกนี้และแน่นอนครองและคร่อมแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าเด็กคนอื่นจะมาขอเล่นด้วย แต่เด็กน้อยรู้สึกว่าเขาไม่เห็นจะต้องแบ่งใคร ถ้าเขาอยากเล่นเขาควรได้เล่นแต่เพียงผู้เดียวถึงแม้ว่ามันจะถูกสร้างมาให้เล่นสองคนก็เถอะ!! เขาต้องคิดหาวิธีให้ได้เหมือนที่เขาคิดหาวิธีไม่ให้ใครมายุ่งกับเขา เด็กน้อยตัวเล็กๆผอมๆบางๆคนหนึ่ง สามารถทำให้เด็กใหญ่ขนาดตัวอย่างหมูตอนหลายๆคนกลัวจนต้องวิ่งร้องไห้กลับบ้าน ทั้งๆที่เขาไม่ต้องใช้กำลังแม้แต่ยกนิ้วด้วยซ้ำ (สมัยนี้หนังหรือละครสอนอะไรโรคจิตๆและไม่สนกับศีลธรรมกับเด็กตัวน้อยๆเสมอหากเพียงแต่เขาสนใจ...) กับเด็กตัวใหญ่เขาใช้วิธีหนึ่งกับเด็กตัวเล็กๆเขาก็ใช้อีกวิธีหนึ่งแม้ว่าหลายวิธีออกจะขึ้โกงไปหน่อยเขาไม่สน ทีวีที่บ้านสอนเขาให้เชื่อเช่นนี้และเขาเชื่อจนหมดใจ ไอติมหมดแล้วเหลือแต่โคนวาฟเฟิลที่เขาเคี้ยวดัง กร๊อบแก๊บ..กร๊อบแก๊บ.. เด็กน้อยนั่งคิดอยู่ฝั่งแมวยิ้มสายตามองไปยังฝั่งหมายิ้ม และในที่สุดเด็กน้อยก็เริ่มยิ้มแบบที่เท่ที่สุดเท่าที่เด็ก6ขวบจะทำได้ พลางขว้างเศษกระดาษห่อไอติมโคนทิ้ง คิดในใจว่าเขาจะต้องเล่นคนเดียวให้ได้!!
บ่ายแก่ๆอากาศร้อนอย่างเหลือเชื่อ ท่ามกลางควันสีขาวและกลิ่นธูปผสมกลิ่นไหม้จากการเผากระดาษ เคล้าด้วยเสียงเขย่าเซียมซีในศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ผู้คนต่างเบียดเสียดแออัดกันเพื่อเข้าไปแย่งดมควันเหล่านั้น ณ.มุมหนึ่งไม่ห่างจากรูปปั้นเทพเจ้าทั้งหลาย ในเสียงดังจอแจสับสนนั้น หญิงชราอายุกว่า80ปีคนหนึ่งนั่งพับกระดาษเงียบๆเพื่อใช้เซ่นไหว้เหล่าเทพเจ้า อาม่าหลายๆคนด้านข้างนั่งหลับตานับลูกประคำพร้อมสวดมนต์เป็นภาษาจีน ต่างคนต่างมีสมาธิกับงานของตนเอง หญิงชราคนนี้นั่งที่ศาลเจ้ามากว่า 40 ปีแล้ว เริ่มแรกเดิมทีเธอเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าเพื่อให้ลูกชายที่ไม่สบายหนักปลอดภัย โดยยื่นข้อเสนอขอเข้ามารับใช้ เซ่นไหว้ของไหว้ อาหารต่างๆ และสวดมนต์เพื่อสรรเสริญและขอบคุณเหล่าเทพเจ้า หลังจากลูกชายเธอรอดพ้นวิกฤติมาได้ เธอจึงอุทิศตัวตามที่เธอได้ยื่นข้อเสนอไว้อย่างเรียบง่ายและมั่นคง... หลายคนใกล้ๆตัวเธอบอกว่าเธอซื่อเกินไป บนบานเอาไว้แค่ไหว้แก้บนรอบเดียวก็พอหรืออย่างมากก็สิบรอบยี่สิบรอบ กลับทำทุกวันและยังบอกว่าจะทำไปเรื่อยๆ จะว่าซื่อตรงก็ไม่คล้ายออกจะคล้ายซื่อบื่อมากกว่าแต่ว่าเธอไม่สนใจ เธอเอ่ยแค่ประโยคเดีียวว่า ตอนที่ยื่นข้อเสนอลืมกำหนดจำนวนและเวลาไป หากเธอไม่ทำลูกชายเธอจะไม่รอด เพื่อนสนิทมากคนหนึ่งเคยบอกกับเธอว่า ชะตาคนฟ้าลิขิตไว้แล้วอย่าทำอย่างนี้เลย หากลูกชายเธอคนนั้นถึงเวลาต้องจากไปก็อย่ารั้งไว้เลย หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่มีเพื่อนสนิทมากอีกเลย ชีวิตของเธอจึงเรียบง่ายตลอด 40 ปีที่ผ่านมา... หญิงชรามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าคนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งควรต้องมีเรื่องให้ศรัทธายึดมั่นเป็นหลักชีวิต ไม่ควรปล่อยให้ล่องไปหรือลอยมา ต่างคนต่างมีทางเลือกของตนเองหากเมื่อเลือกแล้วควรยึดถือและเคารพทางเลือกนั้นๆ หญิงชรารู้ว่าเธอได้เลือกทางของเธอแล้ว...
หญิงชรากลับมาบ้านเวลาเดิม ด้วยสามล้อเจ้าประจำช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมหลานชายที่เจ้าลูกสาวตัวดีมาทิ้งไว้ให้เลี้ยงส่วนตัวแม่มันก็หายหัวไป หลานชายเพิ่งจะกลับมาจากสนามเด็กเล่นแถวบ้าน เธอแกะข้าวหมูแดงเจ้าประจำและเรียกหลานชายมากิน พอเห็นหน้าหลานชายแล้วเธออดบ่นไม่ได้เกี่ยวกับแม่มันไม่ได้ บ่นได้ไม่นานเธอก็หมดแรงเพราะหลานชายไม่ได้มีท่าทีสนใจหรือรับฟังใดๆทั้งสิ้น เธอจึงเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อจัดเตรียมของสำหรับวันรุ่งขึ้น แล้วลูกชายเธอก็กลับมา เป็นอีกครั้งที่เธออดบ่นไม่ได้เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่แข็งแรงแล้วทำไมไม่เก็บตัวพักผ่อนกลับออกไปเที่ยวให้เป็นห่วง นี่เธอจะต้องบ่นไปอีกนานแค่ไหนกัน...
เด็กชายยังคงนึกไม่ออกว่าจะเล่นม้ากระดกเพียงคนเดียวได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากมีเพื่อนหรอกเพียงแต่เขากลัว..กลัวที่จะต้องเสียเพื่อนไป เขาเคยได้ยินผู้ใหญ่บางคนพูดให้ได้ยินว่า สำหรับเด็กอายุขนาดเขาแล้วมันคงจะหนักเกินไปหากต้องสูญเสียคนที่รักไปอีกครั้ง เขาไม่อยากเสียเพื่อนซึ่งเขาอาจจะรักไป... เหมือนที่เขาจำได้ลางๆว่าแม่ทิ้งเขาไป เขาไม่เคยรู้ว่าแม่ทิ้งเขาไปไหนและเขาไม่อยากรู้ เขาไม่อยากมีความรัก เขาไม่ต้องการ... สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการได้อยู่คนเดียว ไม่ว่าเขาจะต้องทำสิ่งที่ขี้โกงขนาดไหนก็ตาม เด็กน้อยยังคงคิดต่อไป...
เย็นวันนั้นผมกลับเข้าบ้านอย่างอิดโรยตามประสาคนมีโรคเยอะ ส่ิงแรกที่อยากทำคือเข้าห้องและนอน เดินผ่านหลานชายตัวน้อยที่แม่มัน(น้องสาวผมเอง)มาทิ้งไว้ให้เลี้ยงกำลังน่ังกินข้าวอยู่ ผมสงสารหลานคนนี้มากเพราะไม่มีพ่อไม่มีแม่ตัวผมเองก็ไม่มีปัญญาไปส่ังสอน ได้แต่พึ่งแม่ผมที่ยังพอมีแรงสั่งสอน ที่ห้องนั่งเล่นแม่ผมนั่งเตรียมของสำหรับไปไหว้ที่ศาลวันต่อไป แม่ผมมักจะเป็นห่วงผมเกินความจำเป็นเสมอทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่าผมคงอยู่ได้อีกไม่นานเพราะโรคเยอะน่ันเอง ผมเดินมาถึงห้องนอนในที่สุดจัดแจงล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดนอนอย่ารวดเร็ว และล้มตัวลงบนเตียงนอนทันที ผมปิดไฟและนอนมองเพดานที่มีแต่ความมืดมิด...แล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองเหมือนทุกๆวัน ความเงียบเข้าปกคลุมห้องนอน จากนั้นอีกเพียงอึดใจ...สายตาที่ปรับจนคุ้นชินกับความมืดก็ทำให้ผมมองเห็นสิ่งต่างๆได้อีกครั้งแม้จะเป็นเพียงเงาลางๆก็ตามที...
ด้านล่างเป็นโจทย์ที่นำมาแต่งในครั้งนี้ครับ
"สำหรับโจทย์ตะพาบ กม.29 ..."
ตัวละคร
เด็กชาย 1 คน ชายหรือหญิงวัยกลางคน 1 คน หญิงชรา 1 คน
คาแร็กเตอร์
ซื่อตรง เรียกว่ายอมคดไม่ยอมงอ อ่อนแอ ขี้โรค ขี้โกง เห็นแก่ตัว
ให้ผู้เขียนจับคู่เลือกกันเองนะค่ะว่า จะให้คน 3 คน มีลักษณะนิสัยอย่างไร ... แล้วเขียนเรื่องราวของทั้งสามคนออกมาเป็นงานเขียน สั้นๆ ยาวๆ ก็ได้ตามแต่ใจอยากค่ะ ...
ดูเหมือนยาก แต่ก็ไม่ยาก ดูเหมือนง่ายแต่ว่าก็ไม่ง่ายอีกล่ะค่ะ เอ แล้วตั้งมาแบบนี้ อิฉันคนตั้งเองจะมึนตึ๊บกับการลากโยงเรื่องราวหรือเปล่าหนอ ....
รอดูกันค่ะ 555+"
Create Date : 03 เมษายน 2554 |
|
10 comments |
Last Update : 3 เมษายน 2554 22:07:22 น. |
Counter : 620 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: ชายผู้หล่อเหลา...กว่าแย้นิดนึง. (เป็ดสวรรค์ ) 4 เมษายน 2554 0:37:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: พธู 4 เมษายน 2554 7:24:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 4 เมษายน 2554 9:33:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: mastana 4 เมษายน 2554 12:00:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 5 เมษายน 2554 17:38:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 7 เมษายน 2554 18:51:48 น. |
|
|
|
| |
|
|
เงามืดในประวัติศาสตร์ |
|
|
|
|
ฮ่าๆ
ขอบคุณที่เขียนด้วยกัน ในวันหยุดแบบนี้เนาะ