" ผมขยับย้ายข้าวของบนโต๊ะอย่างเชื่องช้าอย่างแม่นยำและคุ้นเคย บางครั้งการเก็บข้าวของที่ใช้บ่อยๆก็เหมือนพิธีกรรมบางอย่างที่ความคิดของคุณอาจล่องลอยไปในอากาศ แต่มือและร่างกายของคุณยังคงเคลื่อนไหวต่อไปคล้ายหุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมไว้ จวบจนเสร็จสิ้นพิธีกรรม ความคิดในหัวของคุณก็จะถูกเรียกกลับมาโดยอัตโนมัติ หลังจากของทุกอย่างถูกเก็บเข้าที่เข้าทางของมันอย่างเป็นระเบียบ ผมยืนขึ้นแผ่วเบา เงียบงัน สายตากวาดไปรอบตัวอย่างช้าๆ มองดูความวุ่นวายรอบตัว ผมเริ่มก้าวเดินออกมาเพื่อหา มุม...มุมของตัวผมเอง " .
.
.
เอ้ยย!! อ่านมาตั้งนาน เวิ้นเว้อไปไหน ไม่เห็นได้สาระอะไรจาก 33 วินาทีที่อ่านย่อหน้านี้ ไม่ลุ้นไม่กระตุ้นอารมณ์อะไรทั้งสิ้น น่าเบื่อชัดๆ ลองอย่างนี้ไหม
" ผมกระโจนออกมาจากเสียงอันดังกึกก้องจนแก้วหูแทบขาดหรืออาจจะฉีกไปแล้วข้างหนึ่ง ไอความร้อนมหาศาลผลักดันมาจากด้านหลังเพื่อย้ำเตือนว่าต้องวิ่งให้เร็วขึ้นอีก เศษกระจก ซากเก้าอี้ และอีกหลายอย่างเกินจะสังเกตุปลิวว่อนกลางอากาศข้ามหัวผมไปมา ผู้คนเดินวิ่งและล้มระเนระนาดพลางส่งเสียงหวีดร้อง พร้อมๆกับความเจ็บปวดแปล๊บส่งตรงมาจากฝ่าเท้าเปลือยเปล่ารองเท้าข้างซ้ายหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมๆกันนั้นผมเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงยืนตัวแข็งนิ่งผมเดาว่าเพราะความกลัวหรืออาจตกใจจนช็อคก็เป็นได้ที่ทำให้เธอไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ผมกัดฟันกลืนความเจ็บปวดที่ฝ่าเท้าและวิ่งตรงไปคว้าเด็กน้อยขึ้นมากอดไว้ หลังจากนั้นผมไม่อาจคิดอะไรได้อีกนอกจากวิ่งๆๆและวิ่ง วิ่งให้ไกลจากเสียงระเบิด จากเสียงผู้คนกรีดร้อง วิ่งพร้อมเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นจนเด้งกระดอนไปมาจนเกือบจะหลุดมาทางปาก วิ่งไปหามุมที่ปลอดภัย "
.
.
.
ไอ้ห่า!! อ่านแล้วนึกถึง Superman vs Batman , Avenger มึงจะหามุมปลอดภัยอะไรของมึง ความเป็นจริงมึงตายห่าตั้งแต่ยังได้ยินเสียงระเบิดไม่ทันหมดลูกเลยล่ะมั้ง หรือไม่ก็โดนเศษกระจกพุ่งมาตัดคอขาดตอนเริ่มยืนนั่นแหล่ะ เอาตรงๆนะ เขียนยาวกว่ากูอีกแถมก็ยังไม่ได้สาระ นี่นี่นี่ กูคิดออกละ อย่างนี้ดีไหม
" อากาศเริ่มหนาวเย็นลงพร้อมๆกับแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับตาไป เสียงใบไม้และกิ่งไม้รอบๆตัวช่วยกันกล่อมบรรเลงเป็นดนตรีธรรมชาติ ผมนิ่งและยิ้มฟังเสียงดนตรีประสานเสียงเหล่านี้ ผมเอื้อมไปกุมมือเธอช้าๆและแอบหวังว่าเธอคงกำลังฟังเสียงอันไพเราะเช่นเดียวกับผม สัมผัสแรกของเปลือกผิวหนังบนมือเธอนุ่มนวลกว่าที่ผิดคิดไว้ และยังแฝงไปด้วยแรงดีดสะท้อนที่บ่งบอกถึงวัยและการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ผมกุมมือเธอเบาๆ ดึงมือที่น่ารักของเธอมาลูบไล้แผ่นอกของผมผ่านเสี้อบางๆที่คั้นระหว่างกล้ามหน้าอกและมือของเธอ ผมกระซิบเบาๆว่าอีกไม่นานเสื้อผมจะถูกโยนทิ้งไปข้างๆรวมถึงเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆเช่นกัน เธอตอบผมมาด้วยความเงียบงัน ผมยิ้มรับและค่อยๆออกแรงดึงมือของเธอมากขึ้น ทั้งมือและท่อนแขนเธอเคลื่อนไหวตามมาทันที ขนาดของมือเธอไม่ใหญ่เกินมือของผู้หญิง แต่ก็ไม่เล็กจนบอบบางไร้เรี่ยวแรง ผมเริ่มออกแรงมากขึ้นพร้อมกระตุกมือของเธอเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเส้นเอ็นบางเส้นของเธอยังคงเหนียวและรั้งมือและท่อนแขนของเธอไว้กับร่างกาย หลังจากออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆอย่างระมัดระวัง มือและท่อนแขนของเธอก็หลุดออกจากหัวไหล่อย่างไม่ค่อยยินยอมนัก เสียงเลือดและน้ำเหลืองเข้มข้นหยดลงบนพื้นแผ่วเบาแต่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นเฉพาะของมัน กลิ่นที่คนทั่วไปรังเกียจและเรียกมันว่ากลิ่นเหม็นเน่าของศพ แต่สำหรับผมกลิ่นนี้มันช่างกระตุ้นความต้องการความกระสันทางธรรมชาติของผมเหลือเกิน ผมต้องการแค่มือของเธอ มือที่น่ารักน่าทะทุทะนอมนี้ ผมโอบจูงมือของเธอออกเดินทางไปหามุมส่วนตัวสำหรับมือของพวกเรา "
.
.
.
หยี๋!! แหว่ะ!! ถามจริงมึงโรคจิตปะเนี่ย อ่านแล้วจะอ๊วก
โรคจิตอะไรวะ นี่เขียนแบบคว้ามาจากอากาศรอบตัวเลยนะ เรื่องราวอยู่ในอากาศมองและคว้ามันให้เจอ เรื่องแบบนี้มันอยู่รอบตัวพวกเรานั่นแหล่ะ มึงมองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีนะเว้ยย
โรคจิตชัดๆ มองไปรอบตัวมึงสิมีแต่คนปกตินั่งกินกาแฟ ยืนคุยกันยิ้มแย้ม กูไม่เห็นตรงไหนที่มึงคว้าเอาความโรคจิตมาเขียนได้เลย
เออหน่า ของแบบนี้มันซ่อนอยู่ในมุมสว่างและรอยยิ้มแบบนี้แหล่ะ มึงเชื่อกูสิ
.
.
.
.
.
เสียงการถกเถียงกันของความไม่รู้ที่อวดรู้ทั้งสองเสียงยังคงดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นานจนผมเอือมระอา จะหาสาระอะไรสักนิดมาใช้ก็แทบไม่มี สิ่งเดียวที่ช่วยผมจากการฟังการถกเถียงอันน่ารำคาญไม่รู้จบมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ การเตือนให้ผมรู้ว่าต้องเขียนให้ทันโจทย์ตะพาบกิโลฯที่ 157 เพราะถึงกำหนดส่งแล้วไม่งั้นคงเหมือน สองสามปีที่ผ่านมาที่คิดค้างๆคาๆแล้วก็ปล่อยผ่านไป สิ่งเดียวที่ผมต้องการตอนนี้คือ
...มุมสงบ