Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
7 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
คนข้างใจกับผู้ชายข้างตัว...5

ตอนที่ 5


          “พี่กันย์ครับ  วันเสาร์ – วันอาทิตย์ นี้ว่างไหมครับ?”
         เสียงจากหมอหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนพิงขอบประตูห้องตรวจเรียกความสนใจของแพทย์รุ่นพี่จนต้องเงยหน้ามามอง
          “อ้าว  ธีร์...ว่าไงนะ”
         “ผมถามว่าวันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้พี่ว่างหรือเปล่า?”
         “ขึ้นเวรที่อีอาร์เหมือนเดิม”  หมอรุ่นพี่ตอบพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อยและอยากเร่งเวลาให้ถึงสุดสัปดาห์เร็ว ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คุยกันมากมายแต่อย่างน้อยก็ได้ทำงานใกล้คนที่กำลังคิดถึง
         “ว๊า...น่าจะว่างนะ  จะได้ไปสนุกกันเหมือนเมื่อก่อน”
        “มีอะไรหรือเปล่าหมอธีร์”
         “คือว่าพวกผม...มีผม  พี่นัทธ์กับมิวจะไปเยี่ยมค่ายกับน้อง ๆ ที่ชมรมครับ  ปีนี้ชมรมจัดงานอีสานสัมพันธ์รวมกับการออกค่ายเลยทีเดียว”
         ใบหน้าที่กำลังอมยิ้มหุบลงฉับพลันเมื่อแรกรับรู้ว่าสุดสัปดาห์ที่จะถึงเขาจะไม่เจอหน้า ‘คนคล่องตัว’ ชายหนุ่มนึกถึงจดหมายในอีเมลล์แอดเดรสที่ได้รับเมื่อสามสัปดาห์ก่อนเรื่องการจัดงานอีสานสัมพันธ์เหมือนกับทุก ๆ ปี ซึ่งตัวเขาเองตั้งแต่จบกลับมายังไม่มีโอกาสไปเพราะภารกิจส่วนตัว   มีเพียงแต่โอนเงินเข้าบัญชีชมรมเพื่อเป็นทุนในการจัดงานและเป็นทุนสำรองสำหรับการออกค่ายของน้อง ๆ ชมรม
         “เออ...พี่ลืมไป  พี่ก็ได้รับอีเมลล์เหมือนกันแล้วก็โอนเงินให้แล้วด้วย”
         “สรุปว่าพี่กันย์ไม่ว่างใช่ไหมครับ  สามทหารเสือก็คงต้องเดินทางไปกันเท่าเดิมเหมือนทุก ๆ ปีที่ผ่านมา” 
         ธีร์หัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงฉายา  ‘สามทหารเสือ’  ซึ่งเกิดจากการเดินทางไปเยี่ยมค่ายในปีแรก  พวกเขาสามคนเดินทางไปกับอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมซึ่งเป็นผู้หญิงรูปร่างสูง  ใบหน้างดงาม   ถึงแม้จะไปค่ายอาสาพัฒนาชนบทเธอก็ยังคงแต่งตัวดูดี  มีสกุล  จึงทำให้พวกเขาสามคนเหมือนองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิงออกช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากไร้  และในปีนั้นยังพากันหลงทางเข้าหมู่บ้านจนมืดค่ำ   ต้องไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านละแวกใกล้เคียงให้นำทาง  อีกทั้งชาวบ้านช่วยสงเคราะห์เจ้าหญิงและสามทหารเสือด้วยการเลี้ยงอาหารค่ำก่อนนำทางไปส่งที่ค่าย
          “เอาไว้ถึงวันนั้นก่อนก็แล้วกันนะ  เผื่อหาคนมาอยู่เวรแทนได้  พี่ก็อยากไปเหมือนกัน”   
          หมอกันย์นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีต  เขาและเธอสนิทกันมากจนถึงขั้นเรียกได้ว่าผูกพันจากการทำงานในชมรม  และการออกค่ายอาสาพัฒนาเป็นสิ่งที่ทำให้เขาทึ่ง  ชื่นชม  สุดท้ายศรัทธาในตัวผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอุดมคติ  ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในชนบทห่างไกล  ทั้ง ๆ ที่หลายอย่างเธอไม่รู้แต่ยังพยายามค้นคว้า  เสาะแสวงหาแหล่งช่วยเหลือเพื่อให้มนุษย์ร่วมโลกที่ด้อยโอกาสกว่าเธอให้ได้รับโอกาสนั้น  จนตัวเขาเองซึ่งไม่ใช่คนในพื้นที่เกิดความรู้สึกร่วมและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาจึงเรียนรู้วิถีชีวิต  ความรู้สึก  ความต้องการ  จารีต  ประเพณี   ของคนภาคอีสาน  ทำให้เขาเข้าใจคนภาคนี้อย่างลึกซึ้งและนำมาใช้ในการทำงานได้เป็นอย่างดี
          “ถ้าพี่กันย์หาคนอยู่เวรแทนได้บอกผมก็แล้วกัน  จะได้เอารถไปคันเดียว  พี่นัทธ์จะมาเจอกันที่ค่ายเลยน่ะครับ  ทางนี้ผมกับมิวเดินทางกันสองคน”
         “อย่าห่วงพี่เลย  ถ้าไปพร้อมกันไม่ได้ก็อาจจะต้องไปเอง  เพราะบางทีอาจจะหาคนอยู่เวรแทนได้แค่วันเดียว”
          “ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับ  มีคนไข้พิเศษนัดไว้ตอนทุ่มนึง”  หมอรุ่นน้องหมุนตัวเดินกลับห้องตรวจของตัวเอง


          กริ๊ง  กริ๊ง  หมอหนุ่มเอื้อมมือออกไปรับโทรศัพท์ที่ตั้งบนโต๊ะ
         “ฮัลโหล  ผมหมอกันย์ครับ”
        “หมอคะ  รายงานผลแล็บผู้ป่วยที่เซ็ทผ่าตัดไว้น่ะค่ะ”  เสียงพยาบาลประจำหอผู้ป่วยดังลอดมาทางสายโทรศัพท์
         “มีผลอะไรผิดปกติเหรอครับ?”  หมอหนุ่มทำหน้าสงสัยเนื่องจากว่าเป็นเรื่องผิดปกติ  หากผลปกติเขาจะไม่เคยได้รับแจ้งเช่นนี้
         “มี HIV Positive ค่ะ”
         “เหรอครับ...มีคนแจ้งคนไข้หรือยัง?”
        “ยังค่ะ  เราจะถามหมอว่ายังจะผ่าตัดตอนนี้เลยหรือเปล่า?”
         “ถ้าแบบนี้ก็เลื่อนเป็น on call1  นะ  ผมขอคุยกับคนไข้ก่อนก็แล้วกัน  ตามพยาบาล  counselor2 ให้มาพบผมด้วย”
         “คงต้องเป็นพรุ่งนี้นะคะ  ตอนนี้เขาลงเวรแล้วค่ะ”
         “อืม...ใช่สิ  ผมลืมไป  เขาทำงานแค่กะเช้าอย่างเดียวนี่นะ  ถ้างั้น  พรุ่งนี้คุณช่วยแจ้งพยาบาล counselor ให้คุยกับผู้ป่วยแทนผมไปเลยนะ  ถ้าผู้ป่วยพร้อมค่อยโทรแจ้งผมอีกที”
         นายแพทย์กันย์สั่งงานเสร็จ  พอวางสายภายในของโรงพยาบาล จึงใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองโทรหาเพื่อนหมอเพื่อมาอยู่เวรแทนตัวเองในวันสุดสัปดาห์


         เย็นวันพฤหัสบดี
          “น้องมิวคนสวย  สามทุ่มจะมีเคสหมอกันย์  เคสพิเศษด้วย  มาเข้าให้หน่อยนะ”  หัวหน้าห้องผ่าตัดทำเสียงอ่อนเสียงหวานขอความช่วยเหลือจากลูกน้องคนเก่ง
         “พิเศษยังไงคะพี่ติ๊ก”   น้อง ‘คนสวย’  หันหน้ามาถามหัวหน้าด้วยความสงสัย
        “HIV Positive สิจ๊ะ  ผ่าตัดใหญ่ด้วย  พี่กลัวหมอเครียด  ทั้งทำยากแล้วยังจะมีความเสี่ยงแบบนี้ด้วย  เดี๋ยวพลาดได้ง่าย”
          “ได้สิคะ  แต่...ขอเบิกโอทีสองเท่านะคะหัวหน้า  เพราะมันเป็นเคสยากส์”  ณัฐรดาออกเสียง  เอส  ให้ยาวเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งพิเศษซึ่งเป็นการหยอกล้อกันเล่นระหว่างหัวหน้าและลูกน้องที่สนิทสนมกันมานาน
         “ไปเบิกกับหมอกันย์นะ  เพราะเขาเป็นคนขอให้มิวเป็นคนส่งเครื่องมือเอง” 
         ใบหน้าที่ยิ้มจนตาหยีเหี่ยวลงเป็นดอกไม้โดนแดดตอนเที่ยงวันก่อนจะถามราวกับคนตกใจสุดขีด  “อะไรนะพี่ติ๊ก  พี่ว่ายังไงนะเมื่อกี้น่ะ”
        “ตกใจอะไร  พี่แค่บอกว่าไปเบิกเงินโอทีจากหมอกันย์เพราะเขาเจาะจงมาว่าต้องให้มิวมาช่วยผ่าตัด”
       “มิวไม่มาได้ไหมคะ  ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำงานหรอกนะ  แต่ว่า...เดี๋ยวคนอื่นว่าเอา  คนน่ะพี่ติ๊ก  ไม่อยากให้ใครเห็นว่าคนอื่นเก่งกว่าตัวเองหรอก  ยิ่งคนที่อยู่เวรก็ยังอยู่บนตึกแล้วมิวขึ้นมาต่างหากเขาจะยิ่งว่าให้เราได้   หมอนะหมอ  ทำไมทำแบบนี้  ไม่รู้หรือไงว่าคนอื่นเขาทำงานยาก”  น้ำเสียงเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที  สีหน้ายุ่งยากใจกับสิ่งที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าและขณะเดียวกันก็ลำบากใจที่จะต้องทำงานข้ามหน้าเพื่อนร่วมงานคนอื่นก่อนจะพึมพำบ่นให้แพทย์ผ่าตัดในตอนท้าย
         “พี่แก้ปัญหานั้นแล้วล่ะมิว  สุณีโทรมาลาป่วยพี่เลยขึ้นเวรแทน  ฉะนั้นปัญหาการก้าวก่ายเพื่อนร่วมงานเป็นอันตกไป  มิวโอเคมั้ย”
         “ครั้งนี้ได้ค่ะพี่ติ๊ก  แต่ว่าครั้งต่อไปต้องบอกหมอกันย์นะคะ  เผื่อไม่ใช่พี่ติ๊กขึ้นเวร  หนูสิ...จะตกที่นั่งลำบาก”
         “ได้สิ  แต่ว่าครั้งนี้ช่วยพี่ก่อนก็แล้วกัน”
        “ถ้างั้นมิวไปเตรียมของก่อนนะคะ  เตรียมเสร็จจะลงไปอาบน้ำ  กินข้าวกินปลาให้เรียบร้อยถึงจะขึ้นมาตอนสักสองทุ่มครึ่ง”
         “โอเค  พี่จะได้เตรียมเคสผ่าตัดตาของหมออรรถอีกเคสเหมือนกัน”  หัวหน้ากับลูกน้องเคลียร์ปัญหาเรียบร้อยก่อนแยกกันเตรียมงานของตนเอง


         ห้องผ่าตัดที่ใช้แยกเป็นห้องเคสติดเชื้อ  เป็นห้องขนาดกลางในจำนวนห้องทั้งหมด  พยาบาลสวมหมวกสีฟ้า    เสื้อกาวน์ผ้ากันน้ำชนิดใส่ครั้งเดียวแล้วทิ้ง  แว่นป้องกันเลือดขนาดใหญ่  รองเท้าผ้าใบถูกหุ้มทับอีกชั้นด้วยถุงเท้ากันน้ำ เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนแต่งตัวลักษณะเหมือนกัน   มองดูผิวเผินคล้ายนักบินอวกาศกำลังปฏิบัติงานที่ดาวอังคาร   อุปกรณ์การผ่าตัดถูกเตรียมอย่างเพียบพร้อมเพื่อไม่ให้มีการเปิดเข้าเปิดออกของห้องบ่อย ๆ  หมอหนุ่มร่างสูงเปิดประตูห้องผ่าตัดเข้ามาเมื่อเวลาเกือบสามทุ่ม  สายตาคมกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนคลี่ยิ้ม  กล่าวสัพยอกเจ้าหน้าที่ในห้อง
        “ชุดใหญ่กันเลยนะครับวันนี้  ผมต้องขอโทษทุกคนด้วยที่มีแต่เคสยาก ๆ”
         “เป็นการพิสูจน์และการันตีฝีมือหมอค่ะ  และที่สำคัญเพื่อเป็นข้อบ่งชี้ถึงศักยภาพของโรงพยาบาล  เรายินดีค่ะ” วิสัญญีแพทย์ย่อตัว  ค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการเย้าแหย่เพื่อให้เกิดความครื้นเครง
        “วันนี้อยากฟังเพลงน่ะ  ผมขอเปิดเทปด้วยนะหมอหนุ่มหันไปทาง circulate nurse3   เพื่อให้จัดการเรื่องวิทยุ
         “เอ๊ะ  วันนี้หมอกันย์อารมณ์ดีนะเนี่ย  ถูกหวยมาเหรอคะ?”  วิสัญญีแพทย์คนเดิมตอบโต้กับหมอผ่าตัดในขณะที่มือกำลังบันทึกสัญญาณชีพของผู้ป่วยลงแบบฟอร์ม 
         “ความจริงผมชอบเปิดเพลงเวลาทำงาน  ทำให้อารมณ์เย็น  มีสมาธิด้วย”  หมอหนุ่มตอบ  มองรอบ ๆ เพื่อสำรวจเครื่องมือที่คนคล้ายมนุษย์อวกาศแคระเตรียมไว้   ร่างสูงเดินลับหายออกไปจากห้องอีกครั้งประมาณสิบนาทีจึงกลับเข้ามาแต่งตัวเป็นมนุษย์อวกาศคนสุดท้ายในทีม
          เสียงเพลงเบา ๆ คลอไปกับเสียงเลื่อยตัดกระดูก  ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศในห้องที่เย็นเฉียบแต่กลับมีความรู้สึกว่าอบอุ่นในหัวใจของมนุษย์อวกาศตัวใหญ่เมื่อมองเห็นมือเล็ก ๆ ของมนุษย์อวกาศแคระหยิบโน่น  ฉวยนี่อย่างคล่องแคล่ว  ทันใดนั้นจากมนุษย์อวกาศใหญ่ต้องกลายร่างเป็นกุมภัณฑ์เมื่อเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากบริเวณแผลผ่าตัดกระเด็นมาปิดแว่นกันเลือดทั้งแพทย์และผู้ช่วยผ่าตัดจนแทบมองไม่เห็น
          “แคลมป์  แคลมป์  ผมขอแคลมป์”  เสียงตะโกนก้องดุจสายฟ้าฟาดของ ‘กุมภัณฑ์’  พร้อมกับมือใหญ่แบ  สะบัดเร่า ๆ มาตรงหน้าคนส่งเครื่องมือ    แคลมป์หนึ่งตัวถูกวางบนมือแต่ยังไม่วายตะโกนซ้ำ “เตรียมไว้เยอะ ๆ มีเท่าไหร่เอามาให้หมด  อย่าให้ต้องได้เรียก”
          “ดึงรีแทรคเตอร์ดี ๆ ซิ  ผมมองไม่เห็น  เส้นเลือดเส้นไหนเนี่ย” กุมภัณฑ์ไม่ยอมกลายร่าง ยังตะโกนก้องใส่ผู้ช่วย  มือใหญ่ยื่นออกไปดึงรีแทรคเตอร์เอง
          “หมอคะ  ใจเย็น ๆ มานี่มิวจะช่วยดึง” คนที่ยังเป็นมนุษย์อวกาศบนดาวอังคารพูดเบา ๆ ดึงสติของกัปตันทีมให้กลับมา  มือเล็ก ๆ ยื่นไปช่วยผู้ช่วยถ่างแผลให้หมอเห็นจุดเลือดออกได้ชัดเจนขึ้น
         การช่วยเหลือกันอย่างชำนาญในทีม  สถานการณ์ฉุกเฉินจึงถูกควบคุมให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในเวลาไม่นาน  เสียงเพลงที่หายไปจากเสียงสายฟ้ากลบกลับมาร้องอ่อย ๆ เหมือนเดิม  เมื่อทุกอย่างอยู่ในความสงบวิสัญญีแพทย์จึงเย้าแหย่กัปตันทีม
         “เมื่อกี้หมอกันย์ร้องเพลงเพราะนะ  แต่เนื้อเพลงทำไมมันมีแต่ แคลมป์  แคลมป์  แคลมป์  เพลงนี้ใครร้องน่ะ”
          คนที่ถูกให้เป็น ‘นักร้อง’ หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเอ่ยขอโทษทีม
          “ผมขอโทษทุกคนนะครับ  ไม่รู้เป็นอะไรสิ  เห็นเลือดทีไรไม่เคยควบคุมสมาธิได้สักที  มันเป็นประสบการณ์เลวร้ายที่ผมเคยเจอน่ะครับ  ผมเลยกลัวมากกว่าปกติ”
          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  หมอเข้าใจ  ไม่ใช่แต่หมอกันย์นะที่เป็นแบบนี้  เท่าที่หมอทำงานกับหมอผ่าตัดมาเป็นสิบ ๆ ปี  มีหมอประมาณ  99 เปอร์เซ็นแปลงร่างทันทีเมื่อเห็นเลือดกระฉูด และทีมผ่าตัดทุกคนคงคิดเหมือนหมอ  ใช่ไหมมิว”   วิสัญญีแพทย์แสดงความคิดเห็นของตนเองก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับ  scrub nurse4  ส่วนคนที่ถูกถามได้แต่ยิ้มรับไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ
          “ยังไงผมก็คงขอโทษไว้ก่อนแหละ  ผมก็คิดว่าสถานการณ์แบบนี้คงเกิดขึ้นอีกหลาย ๆ ครั้ง  เลยอยากจะบอกทุกคนไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่ได้โกรธ  หรืออยากว่าใคร  มันเป็นภาวะเครียดของคนผ่าตัดน่ะครับ  ยิ่งมาเจอกับเคสที่เราต้องระวังมาก ๆ แบบนี้  ยิ่งเพิ่มความเครียดให้สูงขึ้น”  หมอหนุ่มพูดไปด้วยในขณะเย็บแผลไปเรื่อย ๆ  มือใหญ่จับเครื่องมือเย็บแผลตักเนื้อเยื่อขึ้นลง  พลันเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อเข็มแหลมคมทิ่มเข้าไปที่นิ้วของคนเย็บ  กัปตันทีมร้องดังลั่น
          “อุ๊ย!!” 
          needle holder5  ถูกทิ้งออกจากมือทันที  นายแพทย์กันย์เดินออกจากห้องผ่าตัดตรงไปที่อ่างล้างมือ  ถอดถุงมือล้างเลือดที่ไหลออกมาตามรอยเข็มตำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ  จากนั้นร่างสูงเดินกลับเข้าไปแต่งตัวในห้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเย็บแผลจนเสร็จ  ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องเล็กที่เย็นเฉียบ  มีเพียงเสียงเพลงที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพลงอะไรดังออกมาจากวิทยุ  ใบหน้าของหมอหนุ่มเรียบตึง  แววตาครุ่นคิด   จวบจนเย็บแผลเสร็จร่างสูงจึงผละออกมาจากห้องผ่าตัดโดยไม่พูดกับใครอีกเลย


          หมอหนุ่มทำแฟ้มประวัติของตัวเองที่แผนกเวชระเบียนก่อนจะเดินถือแฟ้มไปที่ห้องตรวจเลือด
         “ผมขอเจาะเลือดตรวจ HIV หน่อยครับ”  แพทย์หนุ่มแจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่ห้องแล็บที่กำลังลงผลการตรวจเลือดของผู้ป่วยในโรงพยาบาล
          “ทำไมคุณหมอถึงได้ตรวจเลือดล่ะครับ”  เจ้าหน้าที่ห้องแล็บมองหน้าเคร่งเครียดของคนที่เดินมาขอเจาะเลือด
          “เข็มทิ่มมือครับ  คนไข้ HIV Positive”
         “โอ...พระเจ้า  ขออย่าให้หมอเป็น 0.3 % ของผู้โชคร้ายนั้นเลยนะครับ”   นักเทคนิคการแพทย์ชายวัยกลางคนอุทานด้วยความตกใจ
         “ผมก็หวังว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เหลือครับ” หมอผู้โชคร้ายตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มแห้งแล้ง
          แพทย์หนุ่มนั่งจ้องนาฬิกาที่ติดอยู่ผนังห้องในช่วงระหว่างรอผลตรวจ  เข็มนาฬิกาเดินอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของเขา   ความกังวลฉายชัดออกมาทางดวงตา  เวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมงนักเทคนิคการแพทย์เดินตรงเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า
          “วันนี้โชคดีแล้วนะครับ  หมออย่าไปรับโรคทางอื่นมาเพิ่มล่ะ  อีกสามเดือนเจอกันครับ  ขอให้หมอเป็นผู้โชคดีตลอดไป”  หมอหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นรับคำอวยพรจากเจ้าหน้าที่ห้องแล็บก่อนจะกลับไปรับยาต้านไวรัสที่ห้องยาเพื่อจะต้องรีบกินยาตามเวลาที่กำหนดแล้วจึงกลับที่พักด้วยความคิดว้าวุ่น

          หลังจากวันทำผ่าตัด   ณัฐรดาไม่มีโอกาสพบกับนายแพทย์กันย์จนถึงเย็นวันศุกร์ที่ต้องออกเดินทางไปเยี่ยมค่าย  หญิงสาวกระวนกระวาย  กระสับกระส่ายจนคนที่กำลังขับรถสงสัย
          “เป็นอะไรไปล่ะมิว  ดูท่าทางเหมือนคนไม่มีความสุขเลยนะ”
          “ห่วงพี่กันย์น่ะธีร์” คำตอบอ่อนอ่อยเพราะไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าห่วงหมอหนุ่ม
          “พี่กันย์เป็นอะไร?  ตอนเย็นเมื่อวานเรายังคุยกับพี่เขาอยู่เลย  โทรมาบอกว่าหาคนขึ้นเวรแทนวันเสาร์กับวันอาทิตย์ได้  แต่วันศุกร์หาไม่ได้  คงเดินทางพรุ่งนี้มั้ง”
         “เมื่อคืนน่ะสิ  มีเคส HIV Positive ผ่าตัดแล้วเข็มทิ่มมือพี่เขา”
         “ฮ้า...ว่าอะไรนะ  เอาใหม่ซิ” หมอธีระสิทธิ์หันขวับมาทางคนนั่งข้างเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองถนนอีกครั้ง 
         “เข็มทิ่มมือพี่กันย์เมื่อคืนราว ๆ หกทุ่มแหละ  หลังจากนั้นเขาไม่คุยกับใครเลย  จนออกจากห้องผ่าตัดไป  กระทั่งเดี๋ยวนี้เราก็ไม่เห็นหน้าเขา ยังไม่ได้คุยกันอีกเลย”
        “ตาย...ตาย...ตาย  แล้วจะเป็นยังไงมั่งเนี่ย  มิวน่าจะโทรบอกเราตั้งแต่เมื่อเช้านะ  จะได้คุยกับพี่เขา”
         “ตอนนี้คุยกับไม่คุยอาจมีผลเสีย  ผลดีเท่า ๆ กันเลยนะธีร์  เราเลยยังไม่อยากกวนเขา อยากให้เขาเดินออกมาคุยกับเราเอง”
         “เอางี้แล้วกัน  รอดูก่อนนะว่าพี่กันย์จะตามไปเยี่ยมค่ายไหม  ถ้าพี่เขาไม่ไปเรากลับมาค่อยไปหาเขา  ถ้าเขาตามเราไป  แสดงว่าคงยังไม่วิกฤตจนคิดไม่ตกหรอกนะ”
         “ก็คงทำได้เท่านี้ล่ะมั้ง  รอ  รอ  และรอ”   
         ธีระสิทธิ์เหลือบมองหน้าของเพื่อนสาวเมื่อได้ยินน้ำเสียงระโหย   ณัฐรดานั่งเหม่อมองไปเบื้องหน้า  แววตาเศร้าหมอง  นี่เหรอคือเพื่อนผู้ซึ่งบอกกับขาว่า  ‘ มิวลืมเขาไปหมดแล้วล่ะธีร์  ตอนนี้มิวมีชีวิตเพื่อตัวเอง’ 

on call1   = เวลาเมื่อพร้อม
counselor2    = พยาบาลให้คำปรึกษา
circulate nurse3   = พยาบาลช่วยรอบนอก
Scrub nurse4 = พยาบาลส่งเครื่องมือ
Needle Holder5 = เครื่องมือจับเข็มเย็บแผล 




Create Date : 07 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2553 16:20:33 น. 1 comments
Counter : 434 Pageviews.

 
สนุกมากครับ เห็นภาพทุกอย่างจริงๆขอบคุณครับ


โดย: กอล์ฟ IP: 202.28.27.6 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:19:23:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรรณวรดา
Location :
อุดรธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือ...เป็นเส้นทางในการนำผู้คนสู่ความสำเร็จ การอ่านหนังสือเป็นวิธีการที่ต้องเดินไปบนเส้นทางนั้น หนังสือทุกเล่ม ไม่ว่าจะมีราคาแพง ราคาถูก เล่มที่เก่าเก็บมานานหรือเล่มที่เพิ่งพิมพ์ออกมาจากโรงพิมพ์สด ๆ ร้อน ๆ หนังสือวิชาการหรือหนังสืออ่านเล่น ทุกเล่มล้วนบ่งบอกตัวตนของตนเองและมีคุณค่าในตัวเองทุกเล่มเช่นเดียวกัน...มาเถอะมาอ่านหนังสือกัน เพื่อเพิ่มคุณค่าของตนเองและคุณค่าของหนังสือ

ลายปากกา
Cursor by nuthinbutnet.net
ShoutMix chat widget

MusicPlaylist
MusicPlaylist at MixPod.com
เวลาแห่งความสุขของคนรักนิยาย by นาด้า
Friends' blogs
[Add พรรณวรดา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.