เราข้ามมาถึงฝั่งมาเก๊าตอนประมาณเที่ยงเศษ ขานี้ใช้เวลามากกว่าขาไปประมาณชั่วโมงเศษๆ เนื่องจากทัศนวิศัย ไม่ค่อยดี เมฆหมอกหนาไปหมด ท้องฟ้าเป็นสีขาว เราออกมาเข้าคิวยืนรอแท๊กซี่ อยู่พักใหญ่ กลุ่มคนที่มาเรือรอบนี้ก็เข้าแถวขึ้นรถบัสของเวเนเชียนไปกันเกือบหมด
เรารอพักใหญ่ก็ไม่มีแท็กซี่มาซะที ก็เลยเอาวะ ขึ้นรถโรงแรมฟรีเข้าเมืองไปตายเอาดาบหน้า มีตั้งหลายโรงแรมให้เลือก เช่น Sand, Wynn, Lisboa พอลากกระเป๋าไปจะถึง ก็มีแท๊กซี่ซะแว๊บมาพอดี ก็เลยเปลี่ยนใจขึ้นแท็กซี่ดีกว่า ขึ้เกียจขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ จริงๆ ถ้าอยากประหยัดขึ้นรถพวกโรงแรมนี้ไปก่อนก็ได้ ค่อยหาต่อแท๊กซี่ไปโรงแรมที่เราพักอีกที (หุหุ แท๊กซี่ได้เงินเราแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหล่ะ เด๋วขากลับจะเล่าให้ฟังว่าทำไง)
เราเอารูปในกล้องที่ถ่ายแผนที่โรงแรม Ko Wah จากเว็บทีเพื่อนๆ โพสข้อมูลกันไว้ มาให้คนขับดู เค้าก็พยักหน้า เป็นอันว่ารู้ มิเตอร์เริ่มต้นที่ mop 13 ถ้าจำไม่ผิด ค่าฝากสัมภาระท้ายรถอีกใบละ 5 เหรียญ รถวิ่งข้ามสะพานข้ามเกาะไป มิเตอร์ขึ้นเร็วมากๆ พอลงสะพานซ้ายมือเป็นสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ สไตล์จีน เดาว่าคงเป็นแถว Fisherman wharf วิ่งไปอีก เริ่มมองเห็นคาสิโนใหญ่ๆ แต่ไกล วิ่งไปสักพัก ขวามือเป็นคาสิโนลิสบัว
เราลองใช้ความรู้ภาษาจีนกลางที่ร่ำเรียนมา(ความรู้ระดับอนุบาล) ลองถามคนขับว่า ซันหม่าโหลว จ้ายหนาหลี่ ไอ้เซนาโด้สแควร์ ที่ใครๆ ก็ต้องไปเดินเนี่ย มันอยู่ตรงไหน เค้าก็ทำมือชี้ๆไปข้างหน้า เออ แสดงว่าฟังรู้เรื่อง อิอิ ผ่านคาสิโนลิสบัวไปสองสามแยก ก็เห็นเซนาโด้สแควร์สีเหลืองอยู่ทางขวามือ ยังมีบรรยากาศตรุษจีนอยู่เลย มีเวทีตกแต่งสีสดใส
พอแท็กซี่ผ่านเซนาโด้ได้นิดเดียว ก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอย เดาว่าใกล้ถึงแล้ว เลี้ยวขวาอีกที เราเห็นบรรยากาศก็จำได้ว่า ถึงแล้ว ถนนแห่งความสุขที่เราจะมาพักกัน แล้วเค้าก็จอดรถตรงแถวโรงแรม Man Va
ปล ตอนอยู่ฮ่องกงให้แม่เพื่อนโทรมาถามราคาให้ ทั้ง ko wah, man va แต่เหมือนที่ ko wah จะพูดจาน่าฟังกว่า เราก็เลยเล็งที่ ko wah ไว้ แต่ไหนๆ รถก็มาจอดหน้า man va แล้ว ก็ลองเข้าไปถามราคาซะหน่อย
ตอนแรกทำใจมาแล้วว่าคนตรงเคาเตอร์จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เอาเข้าจริง มีลุงผู้ชายคนนึงพูดอังกฤษ สื่อสารได้รู้เรื่องเลย เราถามราคาห้อง สามเตียง เค้าบอก 400 เหรียญ เราต่อเหลือ 380 เค้าหันไปถามผู้หญิงที่นั่งแถวนั้นสงสัยเจ้าของ ก็โอเค ก็เลยพักที่นี่แล้วกัน ยังดีที่เรามาพักคืนวันอาทิตย์ เพราะถ้าเป็นศุกร์ เสาร์ จะแพงกว่านี้ จ่ายเงินก่อนเลย พร้อมค่ามัดจำอีก ร้อยเหรียญ ไว้คืนให้ตอนคืนกุญแจ
ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 6 มีแม่บ้านขึ้นไปพร้อมเราด้วย แล้วก็เป็นคนไปทำความสะอาดห้องที่เราจะพักนี่เอง นั่งรอข้างนอกสักพักนึง เค้าก็เตรียมห้องเรียบร้อย เราเอาของเข้าไปเก็บ สำรวจห้องพัก ก็สะอาดเรียบร้อยดี นั่งกินแซนด์วิช เสบียงที่ซื้อมาจากเซเว่นเมื่อเช้า ประทังชีวิตไปก่อน แล้วก็พร้อมลุยยย
เดินจากโรงแรมไปไม่ไกล ไม่เกินสิบนาที ข้ามถนนอีกหน่อย เราก็มาอยู่ที่เซนาโด้สแควร์แล้ว บ่ายวันอาทิตย์นี่ ผู้คนมากมายจริงๆ ออกมาเดินกันเต็มลานเลย เราก็เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ดูป้ายบอกทางเผื่อจะไปซากประตูโบสถ์เซ็นต์ปอล ก่อนเลย สองข้างทางเป็นตึกใหญ่สไตล์โปรตุกีส แหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองมาเก๊าตามในหนังสือ ก็อยู่ในระแวกนี้เป็นส่วนมาก ใช้พลังขาหน่อย เดินถึงหมดทุกที่
เดินฝ่าฝูงชนมากมายผ่านไปหน่อย ขวามือเป็นร้าน Giordano ซ้ายมือคือโบสถ์เซนต์ดอมินิก เราเข้าไปชมด้านในโบสถ์นี้เป็นแห่งแรก
โบสถ์แห่งนี้มีอายุกว่า 400 ปี เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บาร๊อคโคโลเนียล มีศิลปกรรมทางศาสนาที่สวยงาม แล้วก็มีรูปปั้นพระเยซู พระแม่มาเรีย ภายในโบสถ์เค้าจุดเทียนเล่มกลมๆ สีแดงในแก้ว ให้บรรยากาศดูศักดิ์สิทธิ์ดี
มองไปเห็นร้าน Bodyshop อยู่ตรงมุม เลี้ยวซ้ายตรงนั้นเลยเพื่อจะไปซากโบสถ์เซนต์ปอล ระหว่างทางมี แม่ค้าพ่อค้า ตัดหมูแผ่น ส่งคุ้กกี้ ขนมต่างๆ ให้ชิม ตลอดทาง ดีจัง เดินฝ่าฝูงชนมาซัก ห้าสิบเมตร ก็เห็นซากประตูโบสถ์ตะหง่านแต่ไกล มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเพียบเลย
เราเดินไปทางด้านขวาของประตูโบสถ์ เพื่อเดินไปพิพิธภัณฑ์มาเก๊า ทุกวันที่ 15 ของทุกเดือนจะเปิดให้เข้าชมฟรี เอ๊ะวันนี้ก็วันที่ 15 นี่ ช่างพอดีจริงๆ ไม่งั้นก็คนละ mop 15 เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปหน่อย ก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์มีร้านขายของที่ระลึก มีขายพวงกุญแจป้อมปืน แล้วก็โปสการ์ดด้วย
der="0" alt="Photobucket">
ด้านในก็มีสิ่งน่าสนใจให้ดูเต็มเลย จำลองรูปแบบการใช้ชีวิตของคนสมัยก่อน เครื่องใช้ต่างๆ ตึกสมัยเก่า อาหารการกิน เครื่องแต่งกาย
ออกจากที่นี่ ฝนเริ่มตกพรำๆ อากาศยังคงมีเมฆมากทั้งวัน เริ่มๆ มืดแล้วด้วยสิ เราเดินไปวิหารอีกแห่ง ไปตามทางขึ้นเขาเล็กน้อย
วันนี้มีคนมาสวดมนต์ด้วย เอาภาพบรรยากาศแบบซีเปียให้ดู รู้สึกเก่าๆ ดี
เดินวนลงมาก็มาเจอเซนาโด้เหมือนเดิม ท้องฟ้าเริ่มมืดๆ แล้ว เลยได้เก็บภาพถ่ายยามเย็นอีก
เราเดินมาป้ายรถเมล์ กางแผนที่ ดูว่าจะไป Fisherman wharf ต้องขึ้นรถสายไร พอดีเจอชายหนุ่มคู่หนึ่ง คนไทยเหมือนกัน เค้าบอกจะไปแถวนั้น เผื่อต่อรถ เราก็กระโดดขึ้นรถเมล์ตามเค้าเลย
รถเมล์มาจอดที่ท่ารถ ใกล้ๆท่าเรือเฟอรี่อีกแห่ง เดินเลาะไปตามทาง อากาศเริ่มเย็นแล้ว ยิ่งอยู่ริมทะเล ลมพัดอย่างนี้ โอ้ย แต่ละคนใส่กันแค่เสื้อแขนสั้นเอง ไม่นึกว่ามาแถวนี้แล้วจะหนาว เพื่อนเราเดินเงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าหิว หรือเมื่อย หรืออะไรกันแน่ จริงๆ ถ้ามาเดินตอนโพล้เพล้ยังมีแสงอาทิตย์ตอนเย็น คงจะโรแมนติกทีเดียว
ระหว่างทางที่เดินไป ถ่ายรูปกันไป มีคนกวาดถนนแถวนั้นมาชวนเพื่อนเราคุย แล้วก็บอก I love you เฉยเลย ขำๆ ดี ลมหนาวพัดมาตลอด พวกเราทั้งเมื่อยแล้วก็หิว เสบียงที่หอบหิ้วใส่ถุงพลาสติกเดินถือมาตลอดทาง ได้แก่ แซนวิช และบิสกิต เมื่อเช้าที่ยังกินไม่หมด แล้วก็น้ำเปล่าอีกขวด ก็งัดเอาออกมากินจนเรียบ
แถวๆ นี้ไม่ค่อยมีคนมาเดินเท่าไหร่ ดูวังเวงชอบกล อยู่ไม่นานเราก็เลยเดินกลับไปขึ้นรถชัตเตอร์บัสแถวนั้น เอาของคาสิโนลิสบัวแล้วกัน จะได้นั่งไปชมแสงสีในเมืองกัน
ชมแสงสียามค่ำคืน ตอนถัดไปจ้า
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 7 มีนาคม 2552 21:27:57 น. |
Counter : 1390 Pageviews. |
|
|