ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 8
สำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาอ่านบล็อคเราคือที่เรานัดหนุ่มสิงคโปร์เนี่ยทุกคนที่เรานัดเจอ เราคุยมาไม่ต่ำกว่าครึ่งปีได้ไปอ่านประสบการณ์การคุยกับหนุ่มสาวสิงคโปร์ของเราเอามันส์ก่อนได้ตามลิงค์พวกนี้นะจ๊ะเม้าเรื่องที่แชทคุยกับหนุ่มสิงคโปร์แชทคุยกับคนปลกหน้าที่เป็นผู้หญิงด้วยกันกว่า 4 ชม. เกี่ยวกับด้านมืดของเธอลองให้หนุ่ม ๆ ทายหัวข้อนิทรรศการภาพถ่ายนึง มาดูซิหนุ่มแต่ละอาชีพทายกันว่าอะไรบ้างเม้าเรื่องต่าง ๆ ที่ได้แชทกะคนสิงคโปร์คุยมาก็หลายเดือน ถึงเวลาเอาตัวเองบินไปเจอหนุ่มซักทีปีหน้านัดหนุ่มที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเข้าไปจับกันในความมืดเป็นชั่วโมง แล้วไกด์ก็ฮามาก ได้ใจสุด ๆนัดเจอหนุ่มทางเน็ทครั้งแรก แต่หนุ่มไม่ได้มาแค่ 1 แต่มาถึง 3!!!!จะเม้าให้ฟังเรื่องที่คุยกับสาวสิงคโปร์ที่ทำงานในคาสิโนเรื่องเศร้า ๆ เคล้าคำพูดแย่ ๆ ของหนุ่มสิงคโปร์ที่คุยด้วยจากใน tinderแชทน่ารัก ๆ ฟิน ๆ ของหนุ่มสิงคโปร์ที่ได้คุยด้วยไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 1ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 2ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 3ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 4ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 5ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 6ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 7ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 8 ไปหาหนุ่มพาเที่ยวอ้อยอิ่ง...ที่สิงคโปร์ ตอนที่ 9 หลังจากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับหนุ่มคนนึงตอนสาย ๆ ก็กลับมาโฮสเทลอาบน้ำ แต่งตัวใหม่ ไปเที่ยวกะหนุ่มอีกคนนึงโห เหมือนสวยเลยว่ะอยู่ไทยแม่ง ไม่เคยมีอย่างนี้ไม่เคยมีเข้ามาเลยดีกว่า สงสัยต้องส่งตัวเองออกไปอยู่สิงคโปร์จริง ๆ ซะละหนุ่มสิงคโปร์ดูแลดี คนละเรื่องกะหนุ่มบ้านเราด้วย ฮา ๆสิงคโปร์วันสุดท้ายของเรา แดดแรงมากเหมือนกรุงเทพเลยแต่หลายวันก่อนหน้านั้น เมฆเยอะ ฝนตกบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เดินข้างนอกได้ทั้งวันสบาย ๆแต่วันนี้ไม่ได้เลยมีเมฆตอนพระอาทิตย์ขึ้นแต่พอขึ้นแล้วก็เปรี้ยง ๆ เลย มีมาตกตรงเราปิคนิคไล่ไม่ให้เรานั่งนานแล้วแดดก็เปรี้ยงอีกเลยต้องกลับมาอาบน้ำรอบสอง รอบแรกอาบไปตอนตี 4 ครึ่ง ฮา ๆแล้วก็ไปเจอหนุ่มที่เจอมาแล้ว 2 วัน ๆ นี้วันที่ 3 ละหนุ่มมาทั้งชุดหนุ่มออฟฟิศเลยจ้าเพราะเช้าวันนี้หนุ่มต้องเข้าออฟฟิศ แบบว่ามาเที่ยวกะชั้นต่อแบบเต็มยศ ฮา ๆแล้วอินี่ แต่งตัวเสื้อยืด เกงยีน รองเท้าผ้าใบ สะพายเป้ เป็นนักท่องเที่ยวสุดริดแล้วหนุ่มยืนรอเรามาชั่วโมงนึงละคือฮีมาก่อนเวลานะ ไม่ใช่ว่าเราสาย คือเราไปตรงเวลาเป๊ะ แต่ฮีดันทำเรื่องเสร็จเร็ว แล้วก็ติดต่อเราไม่ได้เลยมาก่อนเวลาตั้งชั่วโมงนึง เกรงใจจัง นัดเจอกันสถานีไรก็ไม่รู้ ๆ แต่ว่ามาโผล่แถว CBD (Central Business District)มันเป็นย่านธุรกิจบ้านเค้า เหมือนสีลมบ้านเราที่เต็มไปด้วยตึกสูงและหนุ่มสาวออฟฟิศแล้วไปถึง ติดเที่ยงพอดีจ้า แล้วไงจ๊ะ ก็คนล้านแปดลงมาจากตึกมาต่อคิวกินข้าวแถวนั้นไงจ๊ะแล้วอิป้านี่ วัน ๆ อยู่แต่ป่า แต่สวนวันธรรมดา เจอผู้เจอคนซะที่ไหนพอมาเจอคลื่นมหาชน คิวสามช่วงตึกทุกร้านขนาดนี้ อิป้าไม่สู้นะจ๊ะสะกิดหนุ่มว่า ไปกินที่อื่นเถอะแต่หนุ่มบอกว่า ยูไม่ต้องต่อคิวเลยแค่ไปนั่งสวย ๆ จองโต๊ะไว้ เดี๋ยวไอยืนต่อคิวให้ ยูมีหน้าที่นั่งรอกินอย่างเดียวแต่ก็ถามหนุ่มว่าแล้วไอจะได้กินกี่โมงเนี่ย คิวยาวเหยียดทุกร้านซะขนาดนี้ ไม่เอา ๆ เลิก ๆ ไปกินที่อื่นเลยหนุ่มก็เลยตามใจพาลัดเลอะ ผ่านสวนแถวนั้น แล้วก็ผ่านที่กินเหล้าสังสรรค์หลังเลิกงานของพวกฮีไปโผล่ซอกนึง ซึ่งเพ้นได้น่ารักดี เลยถ่ายรูปมาซะหน่อย แล้วเราผ่านโรงแรมแห่งนึง น่ารักมาก เขียวมากกก สวยมากกกก และดูใหม่มากกกก็เลยถามหนุ่มว่าที่โรงแรมอะไร หนุ่มก็ตอบว่าโรงแรม PARKROYALเป็นโรงแรมที่ฮีมางานแต่งเพื่อนฮีเย็นเมื่อวานนั่นแหละโห โรงแรมเจ๋งมาก เขียวครึ้มสุด ๆ ได้รางวัลเพียบจากการเป็น eco-friendly hotelยูอยากเข้าไปดูมั้ยแต่เราตอบว่า ไม่อ่ะ เห็นแค่นี้ก็โอเคละ เข้าไปก็เท่านั้น มันไม่ธรรมชาติ ฮา ๆแล้วเราก็ไปที่รถใต้ดินกันก่อนถึงสถานี มันมีสวนสาธารณะอยู่อันนึง มีคล้าย ๆ เวทีกลางแจ้งอยู่หนุ่มก็เล่าให้ฟังว่าที่สิงคโปร์นี่มีกฎนะ ว่าห้ามรวมตัวกันเกิน 5 คนในที่สาธารณะด้วยไม่ได้รับอนุญาตเฮ้ย มีอย่างนี้ด้วยเหรอกลัวจะประท้วงเหรอเออ แปลกดี มีกฎข้อนี้ในประเทศที่เจริญแล้วแบบนี้ด้วย แล้วฮีก็ถามว่าจะไปไหนคือจริง ๆ อยากไปอีกซักสวนสาธารณะนึงนะแต่มันไกลจากในตัวเมืองนี้มากเลยอ่ะเลยบอกฮีว่า ไหน ๆ ก็มาละ ไป Sentosa ก็ได้ เพราะไม่ไปเดี๋ยวเพื่อนจะหาว่าไปไม่ถึงแล้วไปไงจ๊ะอย่างเราก็ต้องนั่งรถไฟใต้ดินแล้วก็เดินสิจ๊ะ ไม่ได้ไกลอะไร ไม่ถึงกิโลจะไปนั่งกระเช้าให้มันเปลืองทำไม ทั้ง ๆ ที่เค้าก็ทำทางเดินให้เดินได้เหมือนกันแต่หนุ่มก็เซ็งไปเลย เจอผู้หญิงชอบเดินขนาดนี้เพราะวันนี้แดดเปรี้ยง ร้อนมาก แล้วฮีก็มาในชุดหนุ่มออฟฟิศเต็มยศซะขนาดนี้ฮีก็เดินไป ก้มหน้าก้มตากับมือถือของฮีไปเราก็เดินดุ่ม ๆ นำฮีไป เพราะก็ไม่อยากจะไปขัดการพิมพ์ของฮีก็เข้าใจแหละว่า ไม่ควรขาดการติดต่อกับเพื่อน ที่ทำงาน และที่บ้านเพราะกลับมาบ้านแค่ 10 วันมาเที่ยวกับเราตั้ง 3 วัน ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ได้ไปเจอญาติ เจอเพื่อนเลยเค้าก็บอกว่ามีญาติที่จะเจอแน่ ๆ 2-3 คนรุ่น ๆ เดียวกันที่จะต้องไปกินข้าว กินเหล้าด้วยกันแล้วก็เพื่อนสนิทที่กลับมาสิงคโปร์ทุกครั้งก็ต้องไปกินกันทุกครั้งอีก 2-3 คนแล้วยังไงจ๊ะ ยังไมได้ไปเจอใครเลยจ้ะ มาเจออิเจ้ตลอด 3 วัน ฮา ๆ ไปถึง เจ้ก็ไม่เข้านะจ๊ะ Universal Studio น่ะเจ้ไม่อินกับอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติตรงนั้นมีทะเลนะ ก็ดูโอเค แต่มันปลอมอ่ะทะเลอาจจะจริง แต่ทรายก็เอามาจากอินโดหรือมาเลย์เนี่ยแหละจัดแต่งให้มันสวย มันก็ไม่ธรรมชาติน่ะ ไม่อิน ๆเดิน ๆ มอง ๆ ถ่ายรูปนิดหน่อยพอเป็นพิธีว่ามาแล้วนะแล้วก็นั่งรถรางกลับ เพราะหนุ่มบอกว่า ไอไม่เดินกลับแล้วนะ ฮา ๆ แล้วเราก็กลับมาห้างตรงรถไฟใต้ดินแล้วเดินไปกินโรงอาหารที่เรามากินกับหนุ่มวันแรกมื้อแรกในสิงคโปร์มื้อนี้ มื้อสุดท้าย เราก็กลับไปกินที่โรงอาหารเดิมนั้นอีกก็ให้หนุ่มเลือกว่าอยากกินอะไรก็สั่งมาเลย เรากินได้ทั้งนั้นแต่ก็บอกไปว่าวันแรกกินอะไรไปแล้วบ้างหนุ่มก็สั่งขนมผักกาดมากิน มันก็เหมือนบ้านเรานั่นแหละกับอีกอย่างนึง จำไม่ได้แล้วอ่ะ แล้วอย่างที่บอก ทริปนี้ทั้งทริป เราไม่ได้ถ่ายรูปอาหารก่อนกินไว้เลยเพราะเราไม่ชอบดูรูปอาหารใน fb ของชาวบ้านแล้วเราก็รำคาญชาวบ้านที่ชอบถ่ายรูปอาหารก่อนกินเราก็เลยไม่ถ่าย จำเอา ถ้าประทับใจก็จำได้เองแหละ นั่งกิน เราก็คุยกันเรื่อง culture การทำงานของคนสิงคโปร์เนอะที่ให้ความสำคัญกับหัวสมอง ความเก่งเป็นหลักไม่ได้ดูว่ายูเป็นฝรั่งแล้วจะเก่งกว่าเพราะอย่างว่า ประเทศเค้าก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักกันอยู่แล้วแล้วก็เรื่องลุค เรื่องการแต่งตัวที่สำคัญมากคนสิงคโปร์จะให้ความสำคัญกับเสื้อผ้า เครื่องประดับมากซึ่งตอนแรกเค้าก็ไม่คิดแบบนั้นเค้าก็แต่งตัวธรรมดา ไม่ได้เข้ารูปอะไรแต่หัวหน้างานเค้าบอกให้ไปหาร้านตัดสูทมาไม่ให้ซื้อสูทสำเร็จรูปที่ไม่พอดีตัว หลวมโครกใส่สบายทำให้ตัวเราเหมือนว่าวแบบนี้มิน่าล่ะคนสิงคโปร์ เวลามาเมืองไทยสิ่งที่เค้าต้องทำเลยคือมาตัดสูทที่เมืองไทย แถว ๆ นานา หรือ Central World ประตูน้ำเนี่ยแหละเพราะราคาค่าตัดสูทบ้านเราถูกกว่าครึ่งนึง แล้วก็คุยเรื่องน้องชายเราเนอะว่าเอาแต่ติดเกมส์ เล่นเกมส์ทั้งคืน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ทำงานแล้วฮีถามว่าแล้วน้องชายยูเวลากินข้าวไปกินข้าวที่โต๊ะกินข้าวมั้ยเราก็บอกว่า ไปกินข้าวที่โต๊ะกินข้าว แต่เวลาน้องชายชั้นกินข้าว จะไปคุยด้วยไม่ได้นะยูเพราะน้องชายชั้น จากโต๊ะจอคอมมานั่นกินข้าว ก็กินข้าวไป ดูจอมือถือไป ห้ามคุยด้วย เพราะจะไม่ฟังฮีก็ตอบว่าการที่น้องชายยูมากินข้าวที่โต๊ะกินข้าวได้ก็ถือว่ามีวินัยมากแล้วนะยูเพราะต้องชั้นอยู่หน้าคอม ชั้นกินข้าวหน้าคอมเลยนะโห กรู เจอผู้ชายเป็นหนักกว่าน้องชายเข้าให้แล้วเหรอแต่ฮีมีความรับผิดชอบกว่าน้องชายเราเยอะนะ จากที่คุยด้วยแล้วโห หาความมีวินัยของน้องชายชั้นเจอตั้ง 1 อย่างแน่ะแล้วเราก็บ่นว่าน้องกินเสร็จแล้วก็ทิ้ง ไม่เก็บล้าง ถอดรองเท้าทิ้ง ไม่เก็บ วางของข้างล่างก็รก เกะกะ ไม่เคยเก็บอะไรเลยฮีก็บอกว่า ยูก็บอกน้องชายยูดี ๆ สิ เหมือนที่ยูคุยกับชั้นน่ะไม่ใช่ไปบ่น ไปจิกให้ทำ ผู้ชายที่ไหนเค้าอยากจะทำเอิ่มแล้วทำไมไม่ทำเลย จะได้ไม่ต้องให้บ่นซึ่งอันนี้ฮีก็ตอบเราไม่ได้ ฮา ๆ คุยกันหลายเรื่องอยู่นะแต่ดีอย่างนะ ตอนนั่งกินข้าวคุยกัน ฮีไม่จับมือถือเลยนะเหมือนวันแรก เดินคุยทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดยันหัวค่ำ ฮีไม่จับมือถือเลยตั้งใจคุย ตั้งใจฟังแต่วันนี้ฮีก็มองนาฬิกาข้อมือบ่อยเพราะเราบอกฮีไปแล้วว่าต้องกลับถึงโฮสเทลไปเอากระเป๋าไปสนามบินกี่โมงฮีก็จะคอยรักษาเวลาให้ คงกลัวเราตกเครื่อง ฮา ๆ แล้วก็นั่งใต้ดินกลับไปโฮสเทลของเราตอนบ่ายแก่ ๆฮีก็บอกว่าเดี๋ยวไปส่งที่สนามบินนะเราก็เกรงใจอ่ะ บอกว่าไม่ต้องหรอกชั้นมาเองคนเดียวได้ ชั้นก็กลับเองคนเดียวได้เอิ่ม คิดกลับไป รู้งี้ให้ฮีไปส่งก็ดีได้ข่าวว่าปฏิเสธผู้ชายเรื่องรับส่งสนามบิน 2 คนเลยทริปนี้ คือเรามีความคิดประหลาดอย่างนึงคือเราเป็นคนที่ไม่ไปรับ ไปส่งใครที่สนามบินนะเรารู้สึกว่ามันเสียเวลาคนไปรับ ก็ต้องไปกลับสนามบิน ไกลก็ไกล แถมตัวเองก็ไม่ได้บินคนไปส่งยิ่งแล้วใหญ่ ไปส่งเสร็จก็กลับบ้าน ไม่ได้บินเองเวลาเราเดินทาง เรานั่ง taxi ไปสนามบินและกลับจากสนามบินคนเดียวตลอดไม่อยากให้พ่อแม่ไปส่ง เพราะมันเสียเวลา ขับรถไป ขับรถกลับ ไกลก็ไกลแถมบางครั้งเวลาบินก็ห่วยแตก ค่ำมืดจนเลยเวลานอน หรือเช้าจัดให้ต้องตื่นกลางดึกเราไปเองคนเดียวตลอดตั้งแต่ได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกตอนมหาลัย แล้วเราก็จะไม่ไปรับ ไปส่งใครด้วยเราอยากให้มีความรู้สึกว่าทุกครั้งที่เราไปสนามบิน คือเราได้บินความรู้สึกที่ไปสนามบินทุกครั้ง คือเราจะตื่นเต้นทุกครั้งเพราะทุกครั้งที่ได้ไปเหยียบสนามบินคือเรากำลังจากเดินทาง แล้วกรณีหนุ่มคนนี้เราเกรงใจอ่ะคือเข้าใจมั้ย เค้ากลับบ้านมาแค่ 10 วันมาเที่ยวกับเรา 3 วันเต็มแล้วอ่ะ อาจจะไม่เต็ม 1 วันเต็ม อีก 2 วันมาเจอครึ่งวัน แต่ครึ่งวันแรกเค้าก็ออกจากบ้านแต่เช้าไปทำธุระแล้วตอนสาย ๆ เที่ยง ๆ ก็มาเที่ยวกับเราถึงเย็น ถึงค่ำเราก็ไม่อยากให้เค้าเสียเวลาไปส่งเราที่สนามบินอีกนั่งไปสนามบิน นั่งกลับมาบ้าน อย่างน้อยก็ 1-2 ชั่วโมงที่เสียไปแทนที่เค้าจะได้ใช้เวลาอันมีค่านั้นกับพ่อแม่ที่บ้านเค้า หรือกับญาติกับเพื่อนจะดีกว่าซึ่งเราก็ไม่ได้บอกเหตุผลนี้กับหนุ่มนะว่าทำไมเราถึงไม่อยากให้ฮีไปส่งแค่บอกว่า ชั้นโอเค ชั้นเองได้ ก็กลับเองได้ฮีก็โอเค ๆ ก็ให้ฮีนั่งต่อกลับบ้านไปเลย ไม่ต้องแตะบัตรออกมาส่งเราที่โฮสเทลก็นั่งแล้วลากันตรงนั้น แล้วเราก็ลุกเดินออกประตูไป ไม่ได้มีพิธีอะไร เหมือนบ๊าย บายเพื่อนแล้วพรุ่งนี้เจอกันแต่เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็เป็นได้(เอิ่ม รูปนี้ไม่เกี่ยวอะไร แต่คิดไว้ว่าอยากมี moment แบบนี้ซักครั้งในชีวิตจุงเบย) กลับมาถึงโฮสเทลใช้ wifi ที่โฮสเทลเช็คข้อความหนุ่มเมื่อเช้าบอกว่าเนี่ยหลังจากที่ไปแลกเงินที่จะไปออสอาทิตย์หน้าเสร็จนั่งใต้ดินกลับบ้าน อยู่ดี ๆ ก็ง่วงมาก ๆ จะหลับให้ได้แต่อีก 1 สถานีก่อนถึงบ้านล่ะเราก็บอกว่า อืม โชคดีนะที่ยูไม่ได้พาไอเที่ยวต่อ ยูต้องง่วงมากแน่เลย เพราะยูไม่ได้นอนทั้งคืนแถมออกมาลั้นลาอีกครึ่งวัน อ้อ เผื่อใครไม่ได้อ่านตั้งแต่แรกการนัดหนุ่ม ๆ สาว ๆ ของเราที่นี่เราไม่ได้ซื้อซิมมือถือที่นี่นะจ๊ะดังนั้นการนัดเจอทุกคนต้องตรงเวลาและสถานที่แถมยังต้องคาดเดากันอีกเล็กน้อย เพราะเรายังไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนบางคนรูปก็ชัดเจน แต่อาจะสูง เตี้ย อ้วน ผอมกว่าในรูป (นิดหน่อยจนถึงมาก)บางคนรูปก็ใส่แว่นดำ หรือถ่ายด้านข้าง ก็ต้องเดาเอาแต่คนพวกนั้นส่วนใหญ่จะเข้ามาทักเรา เพราะเราใช้รูปจริง ไม่เซลฟี่ ธรรมชาติ (ลงโทษ) โดยแท้ ฮา ๆ แล้วเราก็นั่งรถใต้ดินไปสนามบินซึ่งรถไฟใต้ดินบ้านเค้าถูกดีนะไปไกลแค่ไหนก็ 2 เหรียญกว่าแต่ใช้เวลาเหมือนกันนะแหม สนามบินเนอะบ้านไหนก็ไกลจากเมืองทั้งนั้นแหละแต่ก็ดี ดูบ้าน ดูเมืองไปเรื่อยได้เห็น HDB แต่ละแบบในแต่ละสถานีจะได้คุ้นเคยเผื่อได้มาอยู่ เลือกเอาว่าอยากอยู่รังนกสถานีไหน อร๊ายยย คิดไปไหนไกลแล้ววะเนี่ยอิเจ้ ไปถึงก่อนเวลาบิน 3 ชั่วโมงเพราะกลัวแถว ตม. กับแถว self check in มีปัญหาเหมือนที่ดอนเมืองไปถึงสนามบินก็ไปเข้าห้องน้ำ ไปเดินเล่นก่อนเข้า check in นิดหน่อยเพราะตอนวันมาถึงก็รีบออกจากสนามบินให้เร็วที่สุด ไม่ได้ดูอะไรเล้ยแต่มาถึงตอนนี้ เวลาเหลือเฟือเลยเดินดูซะหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีอะไรอยากซื้อเลยเดินเข้าไปเคาร์เตอร์ Air Asia แทบไม่มีคนเลยจ้ะจริง ๆ แล้วทุกเคาร์เตอร์ของทุกสายการบินก็แทบไม่มีคนเลยพนักงานเยอะมาก เร็วมาก สนามบินปูพรม ใหม่ สะอาด อยากนอนเกลือกกลิ้ง ประทับใจฝุด ๆแถว ตม. ก็ไม่นานเลย ไปต่อแค่คิวเดียวเองทุกอย่างรวดเร็วเสร็จภายใน 20 นาทีได้ พอเข้าไปด้านในแล้วก็ไปขอรหัส wifi ของสนามบิน หาที่นั่งเล่น ตามประสาคนไม่ช้อป duty freeมาแบบ low cost พักห้องรวมแบบ low cost เที่ยวแต่ที่ ๆ ไม่เสียเงินค่าเข้า แล้วจะมีเงินที่ไหนไปช้อปของ hi end ฮา ๆแต่ตลกมากทริปนี้ใช้เงินเป็นหมื่น!!!!!ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ช้อปอะไรเลยไป 5 วัน 4 คืนเนอะค่าตั๋วจริง ๆ 2 พันนิด ๆ ซื้อประกันพ่วงเบ็ดเสร็จ 2500ค่าประกันการเดินทาง สุขภาพต่างหาก อีก 500 กว่าบาทค่าที่พักห้องหญิงล้วน 8 เตียงห้องน้ำในตัว 4 คืนก็ 3000 กว่าบาทค่าเดินทางบัตร EZ link ก็ประมาณ 20-30 เหรียญ ก็ตีซะว่า 1000 บาทค่าซื้อน้ำ ซื้อขนมนิดหน่อย ซื้อข้าวบางมื้อ ซึ่งน้อยมาก 500 บาทได้มั้งแต่ซื้อยาที่สิงคโปร์นี่สิง แพงกว่าเมืองไทย 4 เท่าตัว ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยเงินบาทเลยว่าเท่าไหร่ เจ้จะเป็นลมไม่ซื้อก็ไม่ได้ ทรมาน ซึ่งได้เขียนเล่าไปแล้วสิ่งที่แทบไม่ได้จ่ายเลยคือค่าอาหารเพราะหนุ่ม ๆ จ่ายให้หมดเลย (ทั้ง ๆ ที่พยายามจะแย่งช่วยหนุ่มจ่ายแล้ว แต่ไม่มีใครให้จ่าย)แต่อาหารจริง ๆ ถ้าจะจ่ายเองก็ไม่แพงหรอก มื้อนึงก็ร้อยกว่าบาทอันนี้ไม่รวมอาหารเช้านะเพราะที่โฮสเทลมีขนมปังไว้ให้ ก็กินขนมปังเป็นอาหารเช้าอยู่แล้วแล้วเราบังคับให้ทุกคนมากินกับเราให้พาไปกินแต่โรงอาหารไม่ให้พาไปกินร้านติดแอร์ หรือคาเฟ่ติดแอร์แพง ๆ เลยอันนี้คือขนาดไปแบบประหยัดมาก ๆ ค่าข้าวแทบไม่ได้จ่ายยัง 7500 เลยอ้อ คิดออกละไอ้ที่ว่าเป็นหมื่นเนี่ยเพราะเราซื้อกระเป๋าฝากสาว ๆ สิงคโปร์ที่เราไปเจอแล้วก็อาหารไทย ขนมไทย ข้าวของสารพัดไทย ๆ ทั้งหลายที่แบกไปฝากหนุ่ม ๆ ที่ตั้งใจจะไปเจออีกเป็นพันนี่เองทำให้ทริปนี้จบปิ๊งไปก็หมื่นนึงได้ ขากลับ บินแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเครื่องไม่เต็ม ได้นั่งริมหน้าต่าง ตรงกลางว่างยืดขาเบี่ยงนอนเลยจ้า ดีใจมาก ได้นอนไปพักใหญ่ ตื่นมาอีกทีจะถึงไทยแล้วเป็นการเที่ยวที่ประทับใจดี เก็บหนุ่มได้ครบ ตรง concept ว่าจะไม่มีวันไหนที่ต้องเที่ยวเองคนเดียวเลยแต่ก็มี 1 มื้อที่ต้องกินคนเดียว มื้อนั้นแปลก ๆ เลยทีเดียว ฮา ๆ เฮ้อทริปนี้ได้แต่เพื่อนกลับมา ไม่เห็นได้ฟงได้แฟนกลับมาอย่างคนอื่นเค้าเล้ยไอ้ที่เขียนเม้าไปเนี่ย เราคงรู้สึกประทับใจไปคนเดียวผู้ชายคงไม่ได้ประทับใจอะไรกับเราด้วยอาจจะเพราะมันบ้านเค้า เค้าอยู่กับประเทศเค้ามาตั้งแต่เกิดแต่เราเพิ่งเคยไปครั้งแรก ทุกอย่างมันสดใหม่ มันก็เลยประทับใจอยู่ฝ่ายเดียว ทำไมถึงคิดงี้เหรอติดตามตอนต่อไปนะแจ๊ะตอนจบ หลายต่อหลายครั้งมันก็หักมุมไอ้ที่เขียนมาซะมุ้งมิ้งนี่ เอิ่ม....เราอาจจะคิดไปเองงงงงงขอบคุณที่ติดตามค่า อ่านคอมเม้นท์แล้วชื่นใจที่อย่างน้อยก็มีคนที่ติดตามอ่านทำให้คนพิมพ์เล่าก็จะตั้งใจพิมพ์นะค้างานก็ยุ่งจะตาย (ห่าน) อยู่ละแต่ก็เจียดเวลามานั่งพิมพ์วันละนิด วันละหน่อย (แต่เอาเข้าจริง พอเริ่มพิมพ์ก็หยุดไม่ได้ นอนดึกมันทุกคืน)บล็อคนึงพิมพ์อย่างต่ำทั้งวัน ถ้าเอาทีเดียวเสร็จ ยังไม่นับเลือกรูปจากหลายร้อย ให้เลือก 10 กว่ารูปในบล็อค โหลดรูปจากที่อื่นแล้วเอาลิงค์มาไว้ที่นี่ จัดเรียง ฯลฯ บล็อคแต่ละบล็อคใช้เวลา ทำเอามันส์ เงินก็ไม่ได้ เวลาก็เสียไปทั้งวัน นั่งทั้งวันไม่ได้ลุกไปไหน ปวดก้น ปวดหลัง ปวดขา ปวดแม่งทุกอย่าง แต่พอเวลาได้อ่านคอมเม้นท์ว่ามีคนติดตาม ทุกอย่างที่ทุ่มเทไป มันได้ความชื่นใจกลับมาขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ คุณสละเวลาคอมเม้นท์เพียงแค่ 2 นาที แต่มันมีความหมายสำหรับเราทั้งอาทิตย์ สำหรับพลังในการพิมพ์เนื้อหาตอนต่อไปค่ะ รักคนอ่านนะคะ