ส่องกรุงเทพฯ อย่างมีธรรมาภิบาล ตอน Bangkok City Of Life
ส่องกรุงเทพฯ อย่างมีธรรมาภิบาล
ตอน Bangkok City Of Life
บ่ายแก่ๆวันหนึ่งปลายเดือนมีนาคม
ผมเดินตัดผ่านถนนเล็กๆจากห้างใบหยก 1
ไปทะลุ ห้างซิตี้ ประตูน้ำ ตลอดสองข้างทาง
จอแจไปด้วยร้านค้าที่นำสินค้าพวกเสื้อผ้าแฟชั่น
ออกมาวางขายจนแทบไม่มีทางจะให้เดิน
ผมเดินทะลุมาถึงทางทางเลี้ยวเข้าลานจอดรถ
ห้างซิตี้ ผมรู้สึกกระหาย จึงเดินเข้าไปที่รถเข็น
เล็กๆคันหนึ่งที่มีข้อความว่า
มะพร้าวเผาเย็นๆ 10 บาท
พ่อค้าวัยเดียวกันกับผมใช้สันอีโต้
เฉาะมะพร้าวเผาให้ผม
อ่า.....
สดชื่นแก้กระหายดีจัง
..
..
พลั่ว!
ผมหันไปตามต้นเสียง
กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาจอดตรงนี้
แม่ง ไม่ฟังใช่มั้ย?
พลั่ว! พลั่ว!
ผมเห็นยามโบกรถห้างซิตี้
กำลังใช้กระบองตีกระหน่ำ พ่อค้ามะพร้าวเผา
ท่ามกลางเสียงแม่ค้า ตะโกนด่าไล่หลัง
ไอ้เหี้ย มึงไปตีเค้าทำมั้ย?
เค้าทำอะไรให้มึงเดือดร้อน ฯลฯ
ผมหยุดยืนดู ชายสองคน ผิวพรรณและชาติกำเนิด
ถิ่นอาศัย ผมทราบได้ว่าเค้าต้องมาจากถิ่นอีสาน
ด้วยกันแน่ๆ
คนหนึ่งอยู่ภายใต้ยูนิฟอร์ม
พนักงานรักษาความปลอดภัย
อีกคนเสื้อผ้าเก่าๆ สู้ชีวิตด้วยตนเอง
หน้าผากอาบเลือด
ยาม ยังคงเงื้องกระบองที่จะพาดกระหน่ำ ต่อ
โดยมี เพื่อนรักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาสมทบ
มึงตีกูอีกซิ ....กูไม่ยอมแล้วน่ะ"
พ่อค้ามะพร้าวเผาเงื้อม อีโต้ เตรียมพร้อมสู้
เหมือนสุนัขจนตรอกกับชะตาชีวิต...
ผมแย่มากรู้สึกว่ามะพร้าวเผาผม
มันไม่หวาน และขมปี๋เสียแล้ว
ผมเดินจากสถานที่นั้นมาด้วยความรู้สึกแย่ๆ
ท่ามกลางสิ่งที่ติดค้างในใจ
"คนหนึ่งตีเค้าเพื่อเงินเดือน
อีกคนหนึ่งโดนตีเพื่อปากท้องและลูกเมีย"
นี่หรือ Bangkok City Of Life?
ผมเดินไปเรื่อยๆ กับสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
...................................... ........................... ...........
จนไปหยุดยืนอยู่
ณ มุมหนึ่งของสถานีรถไฟลอยฟ้า
ผมยืนมองขบวนรถไฟ...
ที่ค่อยๆเคลื่อนขบวนออกจากสถานีเอื่อยๆ
ลมเย็นๆพัดเข้ามาในสถานี ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ผู้คนมากมายต่างยื้อแย่ง
แข่งขันกัน ให้ได้ที่นั่งบนรถไฟ
เพื่อความสบายของตน
ผมยังนั่งอยู่ตรงที่เดิม...
คิดถึงเรื่องพ่อค้ามะพร้าวเผาแล้ว
ผมยังรู้สึกหดหู่ .....เหนื่อยใจ
ผมเดินจนเหนื่อย และค่อยๆทรุดตัวนั่ง
ลงกับที่นั่งที่ป้ายรถเมล์ เวลานี้ก็เย็นมากแล้ว ผมเหลือบมองผู้คนยื้อแย่งกันขึ้นรถเมล์
อย่างเอาเป็นเอาตาย
ต่างคนต่างก็ต้องการที่นั่งบนรถ
คนแก่ และ เด็ก ได้แต่ยืนมองอยู่ท้ายแถว
เนื่องจากไม่มีแรงที่จะไปสู้รบตบมือกับใคร
ผมหัวเราะให้กับตัวเอง...
ถ้าเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมไม่เดินออกมาจากที่ตรงนี้
ป่านนี้ทุกๆวันที่ผ่านมาของผม
คงเป็นเหมือนกับผู้คนตรงหน้าผมตอนนี้นี่แหล่ะ
ความสบาย...ผลประโยชน์ส่วนตน
ทำให้เรา หลงลืมคำว่า น้ำใจ...
น้ำใจ... หาอยากน่ะท่ามกลางกลุ่มควัน
และสภาพสังคมเมืองใหญ่ๆ
อย่าง Bankgkok City of Life
ผมเห็นคนมากมาย ยื้อแย่ง เบียดเสียด
พยายามที่จะขึ้นรถเมล์
สังคมเราทุกวันนี้...ทำให้คนเราต้องเป็นแบบนี้สินะ
เราไม่ทำเขา...เขาก็ทำเรา
เราไม่แย่งเค้า เค้าก็แย่งเรา
เราไม่โกงเค้า เค้าก้อโกงเรา ฯลฯ
ผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์นั้น
เธอ...กำลังหัวเราะ
แน่ล่ะ...ภาพตรงหน้านี่มันช่างน่าขันจะตายไป
ผมเผลอยิ้ม และหัวเราะในใจตามไปด้วย
เสียงของรถไฟฟ้า ข้างบนแล่นผ่านไป
ผมนึกในใจ ผู้คนบนรถไฟฟ้านั้น
ก็คงไม่ต่างจากผู้คนที่อยู่ตรงหน้าผมซักเท่าไหร่
สังเกตจากใครที่กำลังก้าวเดินลงจากสถานีนั้น
ต่างคน...ต่างเร่งรีบ....
ต่างคน...ต่างก็ห่วงแต่เรื่องของตน
แต่ก้อมีเรื่องแปลก ในมุมมองผม
ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่ง
ก้าวเดินลงจากสถานีอย่างช้าๆ
เหมือนดั่งว่า...เวลาไม่สำคัญกับตัวเขา
เขากำลังเป็นผู้ครอบครองเวลานั้นอยู่สินะ
เค้าไม่แยแสต่อเวลาเลย เท่ห์ มากๆ
ที่สำคัญ เขากำลังหัวเราะ
เขาคงกำลังนึกสมเพชภาพผู้คน
ที่แย่งกันขึ้นรถเมล์ตรงหน้าผมหรือเปล่านะ?
แน่ล่ะ...ก็มันน่าหัวเราะจริงๆนี่
ผู้หญิงคนที่ผมเห็นว่าเธอกำลังหัวเราะอยู่นั้น
หันมายิ้มให้ผมด้วยล่ะ...
อ่า..
ผมจะทำอะไรได้นอกจาก ยิ้มตอบกลับไป
บางที รอยยิ้มเล็กๆ ของคนที่เดินสวนทางกัน
ก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเหมือนกันนะ
รอยยิ้ม...ที่พบหาได้ยากยิ่งในสังคมนี้...
มันช่างยากพอๆกันกับการแกว่งตีนหางาน
ของเด็กที่เพิ่งจบใหม่ๆเลยทีเดียว
ภายหลังที่ผมยิ้มให้เขา
เขาก็ยิ้มตอบผมกลับมาเช่นกัน
ผมนึกอะไรอยู่นะ ถึงยิ้มให้เขาไปอย่างนั้น ช่างเถอะ...การที่คนเรายิ้มให้แก่กัน
ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลก้อได้นี่
แม้จะเป็นแค่เพียง คนที่เดินผ่านกันเท่านั้น
แต่รอยยิ้ม ที่เขายิ้มตอบผมกลับมานั้น
มันทำให้ผมมองสังคมดีขึ้นเป็นกองเลยล่ะ
เขากำลังทำท่าบุ้ยปากให้ผมมองตามไปข้างบน
ผมเห็นโฆษณาที่ติดบนเส้นทางของรถไฟฟ้า
มันตลกดี จนผมต้องทำท่าบุ้ยใบ้ให้เธอหัน
ไปมองข้างบนบ้าง
แต่ผมน่ะเหรอ...หลังจากเห็นโฆษณานั้นแล้ว
ผมถึงกับหัวเราะ
ก๊ากกกกก
ออกมาดังๆ เชียวล่ะ
ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ...ผมว่าโฆษณานั้นตลกจะตายไป
หลังจากที่ผมหัวเราะ กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์
ได้ที่แล้ว ขอโทษน่ะ
ขอผมทำอะไรบางอย่างที่เสียมารยาททีเหอะ
ขำชิปหาย!
กรุงเทพฯ...ชีวิตดีๆที่ลงตัว
คล๊ากกกกก
ถะ...ถะ...ถะ...
ถุยส์!
..
..
อครสถุนคีย์บอร์ด@2007
Create Date : 19 เมษายน 2550 |
|
3 comments |
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 14:37:42 น. |
Counter : 713 Pageviews. |
|
|
|
อยู่บ้านนอกสบายใจกว่า
วันนี้วันไหลที่นี่ล่ะน้า
ว่าแต่น้าๆ เปียกยังคะ มะสาดสักสองถังทีดิ๊