All the arts are brothers - each one is the light to the others. ( Voltair )
|
|||
นากา นักล่าหัวมนุษย์ ( หัวกะโหลกเข้าแถวอยู่บนชั้นหิ้ง ในบ้านของผู้นำชนเผ่า มีการทำเครื่องหมายกาไว้บนหน้าผากแต่ละหัว แตกต่างกันไป จะได้รู้ว่าหัวไหนมาจากหุบเขาไหน และเป็นหัวของนักรบเผ่าไหน ) เรื่องราวของชาวนากา ในรัฐนากาแลนด์ ดินแดนแห่งภูเขาพันลูก ที่นำมาลงในบล็อก "มรรคาแห่งภูเขา" หินทิเบตก้อนสุดท้าย Last Tibetstone... ขอยืมมาจาก อิสระ พงศ์ไพศาล ด้วยความขอบคุณค่ะ เขาคือคนหนุ่มจากเมืองเหนือ ชาวเชียงใหม่แห่งล้านนา นักถ่ายทำสารคดีมืออาชีพ งานของเขาส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องราวของการต่อสู้ การเรียกร้องหาความยุติธรรม และยังเป็นชนกลุ่มน้อยในเอเชียด้วย หลายปีมานี่เขาได้รับมอบหมายจากผู้นำของชาวนากา ให้ไปถ่ายทำสารคดีเรื่องราวของนากาแลนด์ ดินแดนนักล่าหัวมนุษย์ เพื่อเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รู้จักและเข้าใจชนเผ่าเก่าแก่ ที่มีวัฒนธรรมอันมหัศจรรย์หลากหลาย อิสระ พงศ์ไพศาล บุกบั่นไปที่นั่น บางวันขณะกำลังเดินทาง เขาอยากถ่ายทุกข์กลางป่ากลางภูเขา แต่คนขับรถไม่ยอมจอดให้ เพราะช่วงนั้นกำลังมีความขัดแย้งระหว่างเผ่าสองเผ่า การลงจากรถอาจกลายเป็นความตายได้ งานสารคดีย่อมไม่ใช่งานสบายๆ แน่ ยิ่งเป็นสารคดีชนเผ่าที่อยู่ไกลปืนเที่ยง ยิ่งต้องพบอุปสรรคขวากหนาม แต่สำหรับเขา ความทุรกันดาร หรือภยันตรายคือจิตวิญญาณ เมื่อมีหัวใจให้เสียแล้ว ขวากหนามใดๆ ก็ไม่อาจขวางกั้นเอาไว้ได้ ( แผนที่แสดงรัฐนากาแลนด์ ) คำว่า นากา ไม่ได้หมายถึงพญานาค หรือ งูใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจ ปัจจุบันชาวนากามีประชากรอยู่ประมาณ ๓ ล้านคน พวกเขาอาศัยอยู่กระจัดกระจายในรัฐนากาแลนด์ อรุนาชัลประเทศ มณีปุระ อัสสัมของประเทศอินเดีย และบางส่วนก็อยู่ในเขตของประเทศพม่า ชาวนากามีชนเผ่าใหญ่ๆอยู่ ๑๖ เผ่า และยังแยกเป็นชนกลุ่มย่อยๆ อีกราวๆ ๓๐ เผ่า อย่างกูรู รูเบน มาชานกวา ศิลปินระดับซุปเปอร์สตาร์คนนี้ก็เป็นชาวนากาเผ่า ตังกูล มีถิ่นฐานอยู่ในรัฐมณีปุระของอินเดีย ( แผงขายเนื้อหมาในตลาด ) .....ชาวนากาก็เหมือนอิสระชนแห่งขุนเขาทั่วไป ที่มีชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ มีความเป็นอยู่เรียบง่ายและรักความเป็นอิสระ .....ในอดีตชาวนากาได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีการล่าหัวมนุษย์ อันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่กระทำติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อที่ว่า หนึ่ง จะนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่แผ่นดิน และจิตวิญญาณในการปกป้องคุ้มครอง สอง การล่าหัวมนุษย์ยังเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความกล้าหาญ และแสดงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นนักรบผู้กล้า ความเป็นผู้นำแห่งชนเผ่ารวมไปถึงอำนาจของผู้ชนะ วันนี้แทบไม่มีการล่าหัวมนุษย์แล้ว นอกจากในบางแห่งที่อยู่ไกลออกไปมาก แต่ก็เป็นการลักลอบ เพราะผิดกฏหมายสำหรับชาวโลกปัจจุบัน การเลิกล่าหัวมนุษย์ จบลงได้เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ( หัวที่ล่ามาได้ ถ้าเห็นว่าสมบูรณ์ที่สุด จะถูกนำขึ้นไปแขวนกลางแจ้ง บนเขาสัตว์ที่ดีที่สุดในหมู่บ้านของเขา แขวนตอนกำลังสดๆ ราวๆเดือนหนึ่ง เนื้อหนังก็จะถูกตากแดดจนแห้งไปเอง จากนั้นเอาไปเคลือบน้ำมัน ) ในประวัติศาสตร์ของชนชาวนากา ก่อนที่อังกฤษจะเข้ายึดครองอินเดียและในที่สุดอินเดียก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นนั้น ชาวนากาเชื่อว่าดินแดนของพวกเขาไม่เคยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียหรือแม้แต่พม่า ชาวอังกฤษได้เข้ามาติดต่อกับชาวนากาเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๖๖ ( พ.ศ. ๒๔๐๙) ภายหลังจากเข้ามาสำรวจน้ำมันในรัฐอัสสัม ระหว่างนี้ทหารของอังกฤษก็ถูกชาวนากาลอบโจมตีอยู่เนืองๆ เพราะชาวนากาถือว่านี่เป็นการรุกรานดินแดนของพวกเขา จนกระทั่งมีการสู้รบกันขนานใหญ่ที่หมู่บ้าน โคโนมา อันเป็นหมู่บ้านชาวนากาเผ่า อังกามี มันเกิดขึ้นในปี ค.ศ.๑๘๗๙ ( ๒๔๒๒) ด้วยกำลังยิงและอาวุธที่ทันสมัยกว่า ชาวนากาจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการรบครั้งนั้น นักรบนากาได้ต่อสู้กับทหารอังกฤษ และกุรข่า อย่างเต็มที่ และเสียชีวิตไปเกือบทั้งหมด ชาวนากาจำเป็นต้องทำ สัญญาสุภาพบุรุษ กับอังกฤษอย่างไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ( ความภาคภูมิใจจะแสดงไว้ตามบ้านของผู้นำชุมชน หรือโชว์บนก้อนหินกลางหมู่บ้าน ในที่ๆโดดเด่น เห็นได้ง่ายๆ ) หลังการรบพ่ายแพ้ นับจากนั้นดินแดนของชาวนากาก็อยู่ในอาณัติของอังกฤษ แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารราชการ อังกฤษคงปล่อยให้ชาวนากามีชีวิตอย่างอิสระชน และเรียกดินแดนของชาวนากาว่าขุนเขาแห่งนากา ที่ไม่ถูกรวมเข้ากับดินแดนอื่นๆ ( The Naga Hills Excludeed Area ) ชาวนากาได้ประกาศอิสระภาพจากอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๔๗ ( ๒๔๙๐) หนึ่งวันก่อนหน้าที่อินเดียจะประกาศอิสระภาพ ปัจจุบันชาวนากายังคงต่อสู้เรียกร้องการปกครองตนเองจากอินเดีย photo credit; Lemyao Shimray - retlaw snellac ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ เห็นมีในเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรด้วย
โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 14 สิงหาคม 2551 เวลา:20:56:13 น.
แผงขายเนื้อหมานในตลาดวางให้เห็น ๆ
ที่ทุ่งเสี้ยวมีขายแต่ไม่วางให้เห็น ผ่านไปบ้านหนึ่งเขาเขียนว่า เนื้อชาโด้ สวัสดียามดึก โดย: แพรจารุ วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:1:05:40 น.
ขอบคุณมากเลยครับคุณ last_tibetstone ที่แวะไปเขียนคอมเมนท์ในหลายบทความผมซึ่งเพิ่งแวะไปดูเพราะเข้าใจว่าไม่มีใครไปคอมเมนท์แล้ว อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยียนอีกนะครับ จะรอ
โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 11 กันยายน 2551 เวลา:19:57:35 น.
เพ่ท่าน
อยากไปปายอ่ะ แวะมาอ่าน นากาแมน แล้วเจ้า โดย: malarn cha วันที่: 14 กันยายน 2551 เวลา:8:05:48 น.
สวัสดีเจ้า พี่หมู( ? )
ขอบคุณจ๊าดนักเช่นกั๋นเจ้าที่ไปบอกเล่าความรู้สึกสู่กันฟัง ดีใจมาก ๆ ๆ ๆ ที่ได้อ่านตัวหนังสือของพี่อีก นอกเหนือจากในหนังสือสองเล่มนั้น เคยปรารภกับเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนว่า "คุณคนนี้เค้าน่าจะเป็นนักเขียนนะ เพราะเค้าเขียนหนังสือได้ดีจัง !" ขออนุญาตแอ้ดบล็อกนะคะ แล้วจะแวะเวียนมาบ่อย ๆ มาเสพสาระความรู้...แม่ไก่เป็นหนอนค่ะ ไม่ใช่ปลวก แหะ ๆ แล้วจะรออ่านหนังสือ"ศิลปินผู้แสนสุข" ค่ะ เชื่อว่าคงอ่านแล้วมีความสุขเป็นแสนแน่เลย โดย: แม่ไก่ วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:21:01:58 น.
|
last_tibetstone
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] เหนือกว่ารัก เงินตรา หรือชื่อเสียง... มอบความจริงใจให้แก่กันจะดีกว่า... Group Blog
All Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |