ลี่เจียง... กระซิบเสียงสายน้ำ ( ตอน 3..เมืองที่ขี้เกียจที่สุด )
เมืองนี้ชื่อลี่เจียง เราขอประกาศอย่างเป็นทางการ ไว้ ณ ที่นี้ ในปี พ.ศ. 2547 ว่าที่นี่ลี่เจียงเป็นเมืองที่ขี้เกียจที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศของเรา



ผู้ชายสบายใจ ใต้ร่มไม้ บรรเลงเพลงไปเรื่อยๆ

เดินไปตามถนนแคบๆ ของเมืองเก่าต้ายั่นแต่เช้า ค่อยๆก้าวย่างตามสบาย ได้บรรยากาศสตรีผู้โดดเดี่ยวที่เดินทางคนเดียว อย่ามาตอแย ไม่แน่จริงไม่ออกท่องยุทธจักรตามลำพังหรอก


สามสิ่งไม่สมควรเข้าใกล้ยามท่องยุทธจักร ให้หลีกเลี่ยงคนสามประเภท
หนึ่ง - หลวงจีน
สอง - ยาจก
สาม - สตรีที่เดินทางคนเดียว

มันน่าเบื่อจริงๆ เพคะ พวกหลวงจีนชอบสั่งสอน เอะอะก็วางท่าวางคำเอาแต่สอนๆๆ ถ้าเห็นจีวรโบกสบัดมาแต่ไกล หนีไปเหอะ
ส่วนกระยาจกขอทานน่ะ ถ้าไม่รวยจริงและเป็นคนขี้รำคาญ ก็อย่าเข้าใกล้ เค้าจะขอๆๆ ทั้งเงินทั้งเหล้า
สตรีที่เดินทางคนเดียว ดูเงียบๆหงิมๆ แถมอาจสะสวยด้วยเสน่ห์อันลึกลับ อย่าตอแยหล่อน สำเร็จฝ่ามือพิฆาตมาแล้วไม่งั้นไม่ออกจากหอไร้รักในหุบเขามาอวดโฉมหรอก อสูรเราดีๆนี่เอง พึงระวัง

ผู้คนยังบางตาในเขตเมืองเก่า อาจยังเช้าเกินไป

มุ่งหน้าไปสี่แยกซิฟาง ร้านรวงยังไม่เปิด เหมือนมีหินทิเบตฯอยู่ก้อนเดียว ดีเป็นบ้า ผ่านที่ทำการไปรษณีย์ ประตูงามยังปิดอยู่ สงบสงัดจนได้ยินเสียงกระซิบจากสายน้ำ
ไม่เพียงสายน้ำ แต่บ่อน้ำยังถูกอนุรักษ์เอาไว้ด้วย
เป็นบ่อน้ำสาธารณะ รูปสี่เหลี่ยมมีสามส่วนติดๆกัน บ่อแรกไว้ดื่มกินแก้กระหาย หรือตักน้ำไปใช้ในครัวเรือน บ่อที่สองไว้ล้างผักล้างหญ้า บ่อสุดท้ายซักผ้าผ่อน

ตราบใดที่เรามีสำนึกที่ดี ไม่ลืมผีลืมสาง ไม่ลืมสายใยที่เชื่อมโยงมนุษย์ให้เข้ากับธรรมชาติ ตราบนั้นเราคงจะสบายใจกับการได้กินน้ำใช้น้ำ จากลำคลองจากแม่น้ำของเราเอง มากกว่าไปซื้อน้ำดื่มน้ำกินจากโรงงานผลิตน้ำ หรือไม่ก็ใช้เครื่องกรองน้ำประปาราคาแพงระยับ คนจนๆจับไม่ติด เพราะผลิตจากเมืองฝรั่ง คนไม่รวยไม่มีปัญญาหาซื้อมาติดบ้าน

ที่สี่แยกซิฟาง ( Zifang Square ) ใจกลางเมืองที่ขี้เกียจที่สุดในจีน
หญิงสูงอายุชาวน่าซียังมีเวลาออกจากบ้านมานั่งรับไออุ่นจากดวงตะวัน งานหนักอาจถูกโอนส่งต่อไปให้พวกสาวๆ เพิ่งออกเรือน ได้ยินมาว่าหญิงน่าซีต้องรับภาระหนักอึ้ง แต่วันนี้คงไม่เหมือนวันก่อนๆไปซะหมด


ท่ามกลางแดดอุ่นยามเช้า พวกผู้ชายนั่งเล่นหมากเล่นเบี้ย เล่นดนตรีกลางแจ้ง ผู้หญิงเคลื่อนที่ดุ่มเดินไปไหนสักแห่ง แบกตะกร้าอยู่บนหลัง

เมื่อปี 2535 การย่างเข้ามณฑลหยุนหนานของท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง เท่ากับประกาศชัด ว่าจะพัฒนาดินแดนที่ชุมไปด้วยชนเผ่าหลากหลาย ให้เป็นแหล่งทองคำ วาทะผู้นำที่คนทั้งโลกจดจำได้มีอยู่ไม่กี่คน นอกจากเคเนดี้แล้วก็มีท่านเติ้งนี่แหละ

“แมวขาวหรือแมวดำไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็เป็นพอ”



บาบา อาหารชาวน่าซี

เอากะเค้าซิ แมวขาวหรือแมวดำตัวนี้ทั้งฉลาดทั้งกล้า และบ้าบิ่น
อันที่จริงอย่าว่าแต่กลายจากแมวขาวเป็นแมวดำ หรือจากเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมาเป็นเสรีนิยมเลย พี่ท่านไม่เคยฟังเสียงใคร

จัตุรัสเทียนอันเหมินกับโศกนาฏกรรมจึงอุบัติขึ้นทั้งๆที่ทั่วโลกพากันห้ามสุดชีวิต แต่จีนหาฟังไม่ ให้มันรู้ซะมั่งใครเป็นใคร
ยังเรื่องเวลานาที ทั่วโลกเค้าใช้เวลาตามมาตรฐานของกรีนนิชกัน แต่พี่ทั่นกลับใช้เวลาตามมาตรฐานของตนเอง



ลานหินซิฟางเป็นมันแผล็บจากการถูกขัดถูด้วยรอยเท้า ทั้งของคนและของม้า ที่ถูกใช้งานมานานหลายร้อยปี เพราะเป็นเส้นทางค้าขายใบชาในอดีตระหว่างทิเบตเก่ากับชนเผ่าในมณฑลหยุนหนาน

วันนี้ลานซิฟางยังทำหน้าที่เหมือนเดิม เป็นชุมชนแห่งการพบปะ ซื้อขาย ละเล่น นินทากาเล

ล้วงแผนที่ออกมาดู ถึงจะดูไม่ค่อยเป็นก็ขอทำเท่ ทำแบบนักท่องเที่ยวเค้าทำกันไม่งั้นคนที่นี่อาจคิดว่าฉันเป็นคนพื้นถิ่น จากหน้ารูปไข่จากผิวสีแทน ฉันมักโง่เสมอกับแผนที่ หลงทางอยู่นั่นแหละแต่ไม่เคยสน หลงทีไรได้เห็นอะไรดีๆทุกทีสิน่ะ

วันนี้สุดท้ายก็ยังหลง จะไปชมบ้านตระกูลมู่ ที่เค้าว่างดงามอลังการประหนึ่งราชวัง จนใครๆขนานนามว่าพระราชวัง แต่เปล่าเลย คนในตระกูลมู่ไม่มีเชื้อเจ้าสักนิด

เป็นเพียงหัวหน้าเผ่าน่าซีในยุคราชวงศ์หมิง ที่ช่วยสร้างให้ลี่เจียงเป็นปึกแผ่น และเข้มแข็ง

อันที่จริงแผนที่สาธารณะก็มีให้ เค้าวาดไว้บนแผ่นไม้ บอกเส้นทางไปโน่นไปนี่ แสดงทิศเหนือ ใต้ ออก ตก เอาไว้หมด
เป็นรูปกบโดนศรเสียบ
ชาวน่าซีนับถือและเชื่อว่ากบเป็นเทพเจ้า คอยปกปักรักษาเผ่าน่าซี



แผนที่มวลชน


จากซิฟางสแควร์ คุณสามารถเดินไปได้ทั้งสี่ทิศ หรือแปดทิศสิบทิศเลย ถ้าหลงก็หาทางกลับมาที่นี่ก็แล้วกัน หินฯก็หลงทาง วนกลับไปซิฟางสองรอบ แผนที่เค้าดี ผังเมืองก็คงจะดี แต่เราเองไม่ดี หลงไปหลงมาเจอ House of the dream แทนที่จะเจอบ้านตระกูลมู่ นึกเสียดายเพื่อนกวีไม่มาด้วย มันคงบ้าถ้าเจอบ้านของความฝัน

ช่างพร้อมพรักกันทั้งเมือง เงินทองถึงไหลมาเทมา ไม่เหมือนบางเมือง หัวมังกุท้ายมังกร แล้วยังฝันอยากดูดเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยว ฝันไปเหอะ

ใช่ มีความรักก็เหมือนมีผ้าผูกตา

รักเมืองนี้ไปแล้ว เลยตาบอด อะไรๆดีไปหมด

ลานซิฟางช่วยป้องกันอัคคีภัยอีกด้วยสิ หากไฟไหม้ทางทิศใดทิศหนึ่ง ซิฟางสแควร์ยังขวางกั้นเอาไว้ได้

ในซอกซอยเล็กๆหนุ่มๆน่าซีเกือบสิบคนโผล่ออกมา แบกเสียมแบกจอบ บ้างเดินบ้างขี่จักรยาน มุ่งหน้าไปทางเดียวกัน

ตรงนี้แหละคือสถานีคาราวานม้า บนเส้นทางคาราวานค้าชากับทิเบตในอดีต เมื่อลี่เจียงยุคหลายร้อยปีผ่านตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมทางใต้



กบ บนแผนที่

“เมืองที่ขี้เกียจที่สุดของจีน” ในวันนี้ จึงมีอดีตน่าจดจำ
เป็นจุดพักสำหรับรวบรวมหรือกระจายสินค้าของภาคตะวันตกฉียงใต้
และเลยไปถึงเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนานิกายตันตระทิเบต แลวัฒนธรรมภาคกลางของจีน เช่นลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า
แต่เอาเข้าจริงๆ คนที่นี่เค้านับถือลัทธิตงปา นับถือพ่อมดหมอผีกัน เรื่องดีๆเช่นนี้แหละโยงไปถึงธรรมชาติ ที่ไหนก็ตามที่มีผีมีสาง ธรรมชาติมักเป็นใหญ่ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม!

ต้ายั่นเมืองเก่าตรงนี้มีเนื้อที่แค่สามตารางกิโลเมตรเศษ ๆ ฟังดูไม่มากไม่มาย แต่สามตารางกิโลเมตรนี้กลับมีสะพานสามร้อยกว่าสะพาน
ใช่ เพราะมีสายน้ำลำคลองไหลวนเวียนทั่วทั้งเมือง ก็ย่อมต้องมีสะพานให้คนข้าม ลำคลองผ่านหน้าบ้านหน้าร้านแทบทุกหลัง
สามร้อยกว่าสะพาน บวกลบคูณหาร กะประมาณเอาได้ว่าในเนื้อที่หนึ่งตารางกิโลเมตรจะมีสะพานราวหนึ่งร้อยสะพาน หรือเกือบๆนั่นล่ะ
สะพานเกิดมาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งสะพานไม้ สะพานหิน หรือไม้ปนหิน
คุณจะเพลิดเพลินกับการเดินข้ามไปข้ามมาบนสะพาน

หลายสะพานมีประวัติ บางสะพานสร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่คนที่มีอายุยืนที่สุดในเมือง เป็นสะพานหินแด่สองคนพ่อลูก
คนพ่อนั้นอายุถึง 108 ปี ส่วนคนลูกก็แค่ 104 ปีเอง
บางสะพานสร้างโดยมีคนบริจาคเงินเพราะไม่มีลูก หวังว่าถ้าสร้างสะพานแล้ว ครอบครัวตัวเองจะขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ

หลายวันที่ลี่เจียง ฉันสนุกกับการเดินการลื่นตามสะพาน
ในเมืองที่ขี้เกียจที่สุดเมืองหนึ่งของจีน
และอร่อยกับของกิน!
แต่ราตรีสีแดงก็แสนสนุก ครึกครื้นริมฝั่งคลองกับการประลองกำลังของเสี่ยวเอ้อ



( ตอนต่อไป ราตรีสีแดง ที่ลี่เจียง )




Create Date : 26 มกราคม 2551
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 16:33:03 น.
Counter : 796 Pageviews.

11 comments
  
ทำไมถึงว่าลี่เจียงเป็นเมืองที่ขี้เกียจที่สุดล่ะจ้ะ
โดย: bench วันที่: 26 มกราคม 2551 เวลา:22:30:09 น.
  
รัฐบาลจีนเค้าว่าเองจ้ะ

เค้าประกาศเป็นทางการ ปี 2547

ป่านนี้ก๊วยเจ๋งคงรู้แล้ว
โดย: หินทิเบตก้อนสุดท้าย (last_tibetstone ) วันที่: 27 มกราคม 2551 เวลา:8:39:28 น.
  
อยากลองไปอยู่จัง "เมืองที่ขี้เกียจที่สุดในโลก"เนี่ย
โดย: โชยลี้ IP: 117.47.85.158 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:35:34 น.
  
ขี้เกียจที่สุดในจีนเพคะ

โชยลี้เธอก็ทำงานปีละสามวันเอง มิใช่หรือ
โดย: หินทิเบตก้อนสุดท้าย IP: 203.107.199.231 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:02:28 น.
  
ว่าแต่รูปสุดท้ายเนี่ย มันมีชื่อว่าไรคะ ทำไมมันน่ากินจังเลย ถ้าไม่ใช่เนื้อวัวสู้ตายค่ะ
โดย: ดูซิเนี่ย IP: 124.120.172.207 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:52:21 น.
  
โดย: dulcinea (Dulcinea ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:55:26 น.
  
โดย: ดูซิเนี่ย IP: 124.120.177.47 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:21:08 น.
  


โดย: jaaa (Dulcinea ) วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:47:03 น.
  
รูปน่ารัก แต๊งกิ้ววจ้ะที่ส่งมาให้
คราวหน้าขอกระป๋องเขียวๆ ดาวแดงๆด้วยนะ
โดย: หินทิเบตก้อนสุดท้าย IP: 203.107.198.250 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:17:46:05 น.
  
เปรี้ยวปากซะเหลือเกินพี่ท่าน
คิดเถิง ขวดเขียว ๆ ดาวแดง ๆ อยู่เหมือนกัน
โดย: malarn cha วันที่: 30 มิถุนายน 2551 เวลา:20:17:11 น.
  
ชนกันหน่อยนะเพคะ มาลานชา
แต่เชื่อไหมเห็นหมูใส่หมวกดาวแดง คิดถึงป้าวิโน่น
โดย: last_tibetstone วันที่: 30 มิถุนายน 2551 เวลา:23:21:47 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

last_tibetstone
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เหนือกว่ารัก เงินตรา หรือชื่อเสียง... มอบความจริงใจให้แก่กันจะดีกว่า...
มกราคม 2551

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31