ชี้ชัดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลันผลาญงบฯประเทศอื้อซ่า!
ผลวิจัยชี้ชัดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลันผลาญงบประเทศ-ผู้ป่วย ระบุ สูญเสียเม็ดเงินมหาศาลในการดูแลรักษา เฉลี่ยผู้ป่วย 1 รายเป็นภาระรัฐมากกว่า 1 แสนบาทในการนอนโรงพยาบาลรัฐครั้งแรก เผยผลการศึกษาคนไข้ 330 ราย ต้นทุนการดูแลรักษาทะลุ 70 ล้านบาทในปีแรก ผู้ป่วยสูญเสียโอกาสในการทำงานเป็นเงินมากกว่า 14 ล้านบาท
นพ.พงศ์ชัย อนุกูลสวัสดิ์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการศึกษาเรื่อง ต้นทุนของการรักษาป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลันในประเทศไทย โดยการสนับสนุนของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) และกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พบว่า นอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลันจะเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย และทั่วโลกอันเนื่องมาจากมีอัตราการนอนโรงพยาบาล อัตราการตายที่สูง และเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยเรื้อรังที่สำคัญ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุแล้ว ยังเป็นภาระใหญ่หลวงด้านงบประมาณในการดูแลรักษาทั้งของรัฐบาลและผู้ป่วยด้วย การศึกษาครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในไทย เพื่อจะหาต้นทุนการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลันในประเทศไทย โดยจะคำนวณต้นทุนการรักษาโรคนี้ตลอดชีวิตของผู้ป่วย ด้วยวิธีการคำนวณต้นทุนทั้งจากมุมมองของรัฐบาลในการให้บริการการรักษาทางการแพทย์โดยตรงทั้งหมดที่หน่วยบริการของรัฐเป็นผู้จ่าย เช่น ต้นทุนค่ายา การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การนอนโรงพยาบาล การผ่าตัด การทำหัตถการทางการแพทย์ ตลอดจนค่าแรงของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในหน่วยบริการ และจากมุมมองภาระทางสังคมทั้งหมดที่รัฐบาลและผู้ป่วยเป็นผู้จ่าย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการแพทย์โดยตรงหรือไม่ก็ตาม เช่น ค่าโดยสาร ค่าจ้างคนดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ค่าปรับปรุงบ้านผู้ป่วยให้เหมาะกับสภาพความเจ็บป่วย ตลอดจนการขาดรายได้อันเนื่องมาจากการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต จากการศึกษาเวชระเบียนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลันของโรงพยาบาลรามาธิบดีที่รับรักษาไว้เป็นผู้ป่วยใน ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม 2545-ธันวาคม 2546 จำนวน 330 เวชระเบียน พบว่าต้นทุนทางการแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วย 330 คน ในระหว่างการนอนโรงพยาบาลครั้งแรกเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 36.5 ล้านบาท ในช่วง 1 ปีแรกเป็น 55.1 ล้านบาทและตลอดช่วงเวลาการติดตามการรักษาเป็น 62.4 ล้านบาท โดยต้นทุนส่วนใหญ่มาจากการบริการดูแลรักษาในโรงพยาบาล การฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ และต้นทุนค่ายา นพ.พงศ์ชัย กล่าวต่อว่า จากการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยต้นทุนตรงทางการแพทย์ของการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลันต่อคนไข้ 1 ราย ในระหว่างการนอนโรงพยาบาลครั้งแรกจะเป็นเงินจำนวนมากถึง 110,682 บาท ในช่วง 1 ปีแรกเป็น 167,150 บาท และตลอดการติดตามที่มีอยู่ในเวชระเบียนเป็น 189,020 บาท จากการทบทวนเวชระเบียน 330 เวชระเบียน พบว่า มีผู้ป่วย 59 รายเสียชีวิตในปีแรก ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการทำงานให้เกิดรายได้ตั้งแต่ 37-365 วัน ประมาณเป็นความสูญเสีย 4,039,512 บาท และถึงแม้ผู้ป่วยจะไม่เสียชีวิต หากก็เจ็บป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาล ทำให้สูญเสียโอกาสการทำงานให้เกิดรายได้ในปีแรกรวมกันประมาณ 5,818 วัน คิดเป็นความสูญเสียประมาณ 1,457,210 บาท ส่งผลให้ต้นทุนโดยอ้อมอันเกิดจากการสูญเสียโอกาสในการทำงานอันเนื่องมาจากการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลันในปีแรกสูงถึง 14,231,633 บาท เมื่อรวมต้นทุนทั้งหมดของการเจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันฉับพลัน ทั้งต้นทุนตรงทางการแพทย์ ต้นทุนโดยตรงที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ และต้นทุนโดยอ้อม จะพบว่าการดูแลรักษาผู้ป่วย 330 คนจะสูญเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 70.8 ล้านบาท ในปีแรก ขณะที่ปีที่ 2 จะสูญเสียประมาณ 24.3 ล้านบาท ด้าน นพ.ปิยมิตร ศรีธรา ที่ปรึกษาโครงการวิจัยดังกล่าว จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า แม้ต้นทุนในการดูแลรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจฉับพลันในระยะแรกจะสูง และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจากการจัดบริการดูแลรักษาในขณะผู้ป่วยนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ถ้าคาดคะเนไปตลอดอายุของผู้ป่วยพบว่า ในระยะยาวก็ยังมีต้นทุนการดูแลรักษาที่สูงมากเช่นกัน ดังผลการศึกษาที่พบว่าร้อยละ 38 ของผู้ป่วยที่มีชีวิตรอดจากโรคหลอดเลือดหัวใจฉับพลันในระยะแรกจะต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นระยะๆ นอกจากนั้น ต้นทุนที่ไม่ใช่ต้นทุนทางการแพทย์ที่รัฐเป็นผู้จ่าย เช่น ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการขาดงานอันเนื่องมาจากการเจ็บป่วยหรือตาย หรือต้นทุนที่ผู้ป่วยและญาติเป็นผู้จ่ายก็สูงมาก และอาจสูงกว่าต้นทุนตรงทางการแพทย์ที่รัฐเป็นผู้จ่ายเสียอีก ทางแก้เพื่อลดต้นทุนของสังคมในการดูแลโรคนี้จึงควรเน้นไปที่การป้องกันโรค การกำเริบของโรค และให้บริการการรักษาทางการแพทย์อย่างเต็มที่ในครั้งแรกที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา เพื่อลดอัตราการรักษาตัวซ้ำในระยะหลังซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง นพ.ปิยมิตร กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ยังมีข้อจำกัดด้านข้อมูลที่เป็นผู้ป่วยเฉพาะของโรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยของรัฐ และตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ได้มีการใช้ยาที่ประเทศไทยผลิตได้เองในรายการยาที่เป็นไปได้ ส่งผลให้ต้นทุนอาจยังต่ำกว่าความเป็นจริงที่มีการใช้ยาต้นแบบที่มีราคาแพงจากต่างประเทศ
Create Date : 11 กันยายน 2550 |
Last Update : 11 กันยายน 2550 17:41:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1852 Pageviews. |
|
|
|
|
|