เมื่อตะวันยอแสง..เรี่ยวแรงก็เริ่มอ่อนล้า..พักลงตรงนี่ที่เดิมแล้วหลับตา..
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
28 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
มุมฉลาดของชีวิต ..




สูดกลิ่นกุหลาบยามหลับช่วยความจำดีขึ้น @

กลิ่นกุหลาบจะช่วยกระตุ้นหน่วยความจำ ทำให้สมองไว-จำได้ดีขึ้นในวันรุ่งขึ้น

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่าทีมนักวิจัยจากประเทศเยอรมันทำการศึกษาพบว่าดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกุหลาบในระหว่างการนอนหลับช่วยให้คนมีความจำดีขึ้นกว่าเดิมในวันรุ่งขึ้น โดยทีมนักวิจัยทีมนี้ ได้ศึกษาพบถึงกลไกที่แสดงให้เห็นว่า คนเราสามารถใช้กลิ่นเป็นตัวกระตุ้นการสร้างหน่วยความจำใหม่ๆ ในขณะที่เรานอนหลับและส่งผลให้อาสาสมัคร ที่เข้าร่วมการวิจัยมีความสามารถในการจดจำได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ผลการศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อดังไซแอนซ์ ซึ่งระบุว่าในระหว่างที่คนเรานอนหลับ ความจำจะถูกประสานรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันทำให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และกลิ่นหรือแม้กระทั่งตัวกระตุ้น อื่นๆ ก็สามารถกระตุ้นให้กระบวนการดังกล่าวนี้ ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้ที่ดีขึ้นสามารถพัฒนาได้ดียิ่งขึ้น

แจน บอร์นและคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่ง ลูเบ็ก ในประเทศเยอรมันนี้ได้ทำการศึกษาโดยให้อาสาสมัครจำนวน 74 คนเรียนรู้ในการเล่นเกมส์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายเกมส์เพิ่งความสนใจหรือ “คอนเซ็นเตรชั่น” ที่ให้ผู้เล่นต้องจับคู่วัตถุหรือไพ่ซึ่งจะเปิดให้ดูแค่ครั้งเดียวก่อน

ทั้งนี้พบว่าในขณะที่ให้อาสาสมัครกำลังทำการทดสอบนักวิจัยได้ให้อาสาสมัครบางส่วนสูดดมกลิ่นกุหลาบ และหลังจากนั้นอาสาสมัครก็เข้าไปนอนในอุโมงค์เครื่องสแกนสมองเอ็มอาร์ไอซึ่งใช้เพื่อศึกษาดูการทำหน้าที่ ี่ของสมองอาสาสมัครในระหว่างที่พวกเขากำลังนอนหลับ

และในระหว่างการนอนหลับของอาสาสมัครทีมของบอนก็ได้ปล่อยกลิ่นหอมกุหลาบชนิดเดิมเข้าไปให้พวกเขา ได้ดมอีกหลายระยะ ในวันถัดมาอาสาสมัครถูกให้ทำแบบทดสอบอีกครั้งจากที่ได้เรียนรู้ไปแล้วเมื่อวาน “หลังจากคืนที่นอนสูดกลิ่นกุหลาบแล้วผู้เข้าร่วมการวิจัยใจสามารจดจำได้ 97.2 % ของคู่ไพ่ที่พวกเขาได้เรียนรู้ก่อนไปก่อนนอน” ในขณะที่กลุ่มอาสาสมัครที่ไม่ได้ให้สูดดมกลิ่นหอมกุหลาบสามารถจดจำได้เพียง 86 % ของคู่ไพ่

นักวิจัยทีมนี้กล่าวด้วยว่าระยะของการนอนหลับก็มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากผลการวิจัยนี้ ก็มีส่วนเกี่ยวโยงไปถึงการถกเถียงกันเกี่ยวกับประเด็นที่ว่ามนุษย์จะเรียนรู้ในขณะที่นอนหลับ ในลักษณะเดียวกันกับสัตว์บางประเภทที่มีการศึกษาพบกันหรือไม่

ทั้งนี้มีการวิจัยพบว่า หนูเป็นต้นที่เมื่อให้เรียนรู้เส้นทางเขาวงกตใหม่ ๆ แล้วจะซ้อมทบทวนการเคลื่อนไหวในขณะที่นอนหลับ และเช่นเดียวกันกับนกพวกที่มีเสียงไพเราะเหมือนเพลง ก็จะซ้อมร้องเพลงของพวกมันในขณะที่หลับเช่นกัน

ส่วนเรื่องของการดมกลิ่นหอมต่อการจำนั้น ทีมของบอนกล่าวว่า กลิ่นหอมของกุหลาบช่วยพัฒนาการเรียนรู้จริงๆ โดยจะต้องให้ในระยะการนอนหลับที่เรียกว่า คลื่นต่ำ หรือ สโลว์เวฟ แต่ผลของกลิ่นนั้นพบว่าไม่มีผลเลยเมื่อให้ดมในระยะการหลับที่เปลือกตากรอกไปมา

FW

เป็นเบาหวาน ต้องรับประทานอะไร? @


แม้จะป่วยด้วยโรคเบาหวาน แต่ท่านก็ไม่ต้องอมทุกข์กับการรับประทาน หากรู้หลัก ก็สามารถมีความสุขได้เท่าเดิม เพราะปัจจุบัน ผู้ป่วยเบาหวานสามารถเลือกรับประทานอาหารต่างๆ ได้เช่นเดียวกับคนปกติ

แต่จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าจะรับประทานอาหารได้มากน้อยเพียงใด จึงจะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง การรับประทานข้าวแต่น้อยหรือไม่รับประทานเลยแล้วไปเพิ่มอาหารอย่างอื่น เช่น ผลไม้ เนื้อสัตว์ ในปริมาณมากๆ มิใช่วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ทั้งยังอาจทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดสูงอีกด้วย

วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ผู้ป่วยควรเลือกรับประทานอาหารหลากหลายชนิดเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนที่ร่างกายต้องการ โดยเลือกรับประทานอาหารตามกลุ่มต่างๆ ดังนี้

กลุ่มที่ 1 อาหารจำพวก ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เผือก มัน ถั่วเมล็ดแห้ง 1 ส่วน ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 15 กรัม โปรตีน 3 กรัม ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี
ข้าวสุก ½ ถ้วยตวง (ประมาณ 1 ทัพพีเล็กในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า)
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่, เส้นเล็ก ½ ถ้วยตวง (ประมาณ 1 ทัพพีเล็ก)
ถั่วเขียว, ถั่วดำ, ถั่วแดงสุก ½ ถ้วยตวง
ข้าวต้ม ¾ ถ้วยตวง (2 ทัพพีเล็ก), วุ้นเส้นสุก ½ ถ้วยตวง
ขนมจีน 1 จับ, บะหมี่ ½ ก้อน
ขนมปังปอนด์ 1 แผ่น, มันฝรั่ง 1 หัวกลาง
ข้าวโพด 1 ฝัก (5 นิ้ว), แครกเกอร์สี่เหลี่ยม 3 แผ่น

ผู้ป่วยเบาหวาน รับประทานอาหารในกลุ่มนี้ได้เช่นเดียวกับคนปกติไม่จำเป็นต้องงดหรือจำกัดมากเกินไป เพราะข้าวเป็นแหล่งของพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อการทำกิจกรรมหรือแรงงานที่ผู้ป่วยทำในแต่ละวัน เช่น ผู้ป่วยที่อ้วน รับประทานข้าวได้มื้อละ 2 ทัพพีเล็ก ถ้าไม่อ้วนรับประทานข้าวได้มื้อละ 3 ทัพพี เมื่อเลือกรับประทานก๋วยเตี๋ยวหรือขนมปังแล้ว ต้องงดหรือลดข้าวในมื้อนั้นลงตามสัดส่วนที่กำหนด อาหารในกลุ่มนี้รับประทานได้มื้อละ 2-4 ส่วน ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกรับประทานข้าวซ้อมมือหรือขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ขัดสี เพื่อจะได้ใยอาหารเพิ่มขึ้น

กลุ่มที่ 2 ผักชนิดต่างๆ 1 ส่วน มีคาร์โบไฮเดรต 5 กรัม โปรตีน 2 กรัม ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี
แครอท, ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน ½ ถ้วยตวง
ผักคะน้า,บร็อกโคลี ½ ถ้วยตวง
ถั่วแขก,ถั่วลันเตา,ถั่วฝักยาว ½ ถ้วยตวง
น้ำมะเขือเทศ,น้ำแครอท ½ ถ้วยตวง

อาหารกลุ่มนี้มีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารมาก ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานให้มากขึ้นในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะผักใบสีเขียวสดหรือสุก รับประทานได้ตามต้องการ ถ้านำผักมาคั้นเป็นน้ำ ควรรับประทานกากด้วยเพื่อจะได้ใยอาหาร ใยอาหารจะช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและไขมันในอาหารทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดลดลง ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานผักวันละ 2-3 ถ้วยตวง ทั้งผักสดและผักสุก

กลุ่มที่ 3 ผลไม้ 1 ส่วน มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี
กล้วยน้ำว้า 1 ผล, ฝรั่ง ½ ผลใหญ่, ส้ม 1 ผล (2 ½ นิ้ว)
กล้วยหอม ½ ผล, แอปเปิ้ล 1 ผลเล็ก, ชมพู่ 2 ผล
มะม่วงอกร่อง ½ ผล, เงาะ 4-5 ผล, ลองกอง 10 ผล
มะละกอสุก 8 ชิ้นขนาดพอดีคำ, แตงโม 10 ชิ้นขนาดพอดีคำ
น้ำผลไม้ 1/3 ถ้วยตวง

ผลไม้ทุกชนิดมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ถึงแม้จะมีใยอาหาร แต่หากรับประทานมากกว่าปริมาณที่กำหนด จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกรับประทานผลไม้ 1 ชนิดต่อมื้อ วันละ 2-3 ครั้งหลังอาหาร ควรหลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน ละมุด หรือผลไม้ตากแห้ง ผลไม้กวน ผลไม้เชื่อม ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้กระป๋อง การรับประทานผลไม้ครั้งละมากๆ แม้จะเป็นผลไม้ที่ไม่หวาน ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้

กลุ่มที่ 4 เนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน 1 ส่วน มีโปรตีน 7 กรัม ไขมัน 3 กรัม ให้พลังงาน 55 กิโลแคลอรี
เนื้อหมู, เนื้อวัว ไม่ติดมันและหนัง หั่น 8 ชิ้น (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)
เนื้อไก่, เป็ด ไม่ติดมันและหนัง หั่น 8 ชิ้น
ปลาทู (ขนาด 1 ¼ นิ้ว) 1 ตัว, ลูกชิ้น 6 ลูก
เต้าหู้ขาว ½ หลอด, ไข่ขาว 3 ฟอง

อาหารกลุ่มนี้ให้โปรตีนเป็นหลัก ผู้ป่วยควรได้รับทุกมื้อ มื้อละ 2-4 ช้อนกินข้าวพูนน้อยๆ และควรเลือกเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมันและหนัง รับประทานปลาและเต้าหู้ให้บ่อยขึ้น

กลุ่มที่ 5 ไขมัน 1 ส่วน มีไขมัน 5 กรัม ให้พลังงาน 45 กิโลแคลอรี
น้ำมันพืช/น้ำมันหมู 1 ช้อนชา, เนย 1 ช้อนชา, กะทิ 1 ช้อนโต๊ะ
มายองเนส 1 ช้อนชา, เบคอนทอด 1 ชิ้น, ครีมเทียม 4 ช้อนชา
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 6 เมล็ด, ถั่วลิสง 20 เมล็ด
น้ำนมไขมันเต็ม 240 มล. มีไขมัน 8 กรัม ให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี
น้ำนมพร่องมันเนย 240 มล. มีไขมัน 5 กรัม ให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี
น้ำนมไม่มีไขมัน 240 มล. มีไขมันน้อยมาก ให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี

โยเกิร์ตชนิดครีมไม่ปรุงแต่งรส 240 มล. ปริมาณพลังงานขึ้นกับชนิดของนมที่นำมาทำโยเกิร์ต ถ้าใช้ไขมันเต็ม จะให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี เท่ากับน้ำนม

น้ำมันทั้งพืชและสัตว์ให้พลังงานเท่ากัน แต่น้ำมันพืชไม่มีคอเลสเตอรอล สำหรับน้ำมันมะพร้าวและกะทิ มีกรดไขมันอิ่มตัวจำนวนมาก ทำให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น

ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกใช้น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ น้ำมันถั่วลิสง และน้ำมันปาล์มโอเลอีน แทนน้ำมันหมูในการประกอบอาหาร นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทอด แป้งอบที่มีเนยมาก (Bakery Products) และอาหารที่มีกะทิเป็นประจำ

กลุ่มที่ 6 น้ำนม 1 ส่วนมีโปรตีน 8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม จำนวนพลังงานแตกต่างกันตามปริมาณไขมันในน้ำนมชนิดนั้นๆ

ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงนมปรุงแต่งรส โยเกิร์ตชนิดครีมปรุงแต่งรสนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม เพราะนมเหล่านี้มีการเติมน้ำตาลหรือน้ำหวาน ควรเลือกดื่มน้ำนมพร่องมันเนย น้ำนมไม่มีไขมัน

ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานน้ำหวานหรือขนมหวานได้หรือไม่

น้ำหวานทั้งชนิดอัดลมและไม่อัดลม น้ำหวานเข้มข้นผสมน้ำ ลูกอมชนิดต่างๆ เหล่านี้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่นๆ นอกจากน้ำตาล ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นรวดเร็ว ยกเว้นเมื่อผู้ป่วยเบาหวานมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ เริ่มรู้สึกหิวจัด เวียนหัว ตาลาย ควรดื่มน้ำหวานประมาณ ½ -1 แก้ว

สำหรับขนมหวานจัดอื่นๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด สังขยา ขนมหม้อแกง ขนมเชื่อม ขนมกวน ขนมหน้านวล ขนมอะลัว เหล่านี้ ควรงด เช่นเดียวกัน

FW


@ ผักรักษาโรค @


ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง คือ อาหารในแต่ละวันร่างกายต้องการอาหารครบ 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิดให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย

ในผักมีอะไร

ผักเป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญที่พบมากในผักทุกชนิดคือ "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้และไม่ให้พลังงาน นอกจากมีมากในผักแล้วยังพบได้ในถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง เป็นต้น

ใยพืชมีประโยชน์อย่างไร

1. ให้พลังงานน้อย 2. ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลภายหลังอาหารลดลง 3. ช่วยลดการดูดซึมไขมัน 4. กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น

มากินผักกันเถอะ

การรับประทานผักจำนวนมาก ๆ หลายชนิดเป็นประจำ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงและเจริญเติบโตแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

เห็ดหอม

เป็นเห็ดมีขายกันในรูปเห็ดตากแห้ง เห็ดหอมมีรสหวาน มีกลิ่นหอม สารเคมีที่พบมีเส้นใย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและวิตามินบี มีการทดลองพบว่าเห็ดหอมมีฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ถ้ารับประทานเห็ดหอมเป็นยาบำรุงกำลังช่วยย่อย ลดอาการเบื่ออาหาร

งา

มีกลิ่นหอม มีน้ำมันมาก มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด วิตามินบี 1, บี 2, วิตามินอี และเกลือแร่หลายชนิด สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ท้องผูก ผมหงอกก่อนวัย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และเสริมภูมิต้านทานโรค ถ้ารับประทานเป็นประจำ ข้อระวังผู้มีท้องร่วงเรื้อรัง ไม่ควรรับประทาน

ถั่ว

ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วแขก มีสารอาหารที่สำคัญคือ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำได้

ขี้เหล็ก
ใช้ใบรับประทาน ใบขี้เหล็กมีวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน สรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็กมีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาททำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกาย

ตำลึง
เป็นไม้เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูงทั้งวิตามินเอ แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด ฟอสฟอรัส เหล็ก เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย

มะระ

เป็นผักจำพวกแตง มีรสขม เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย มีการทดลองกินมะระลดน้ำตาลในเลือดได้ (ส่วนเม็ดมะระจีนแก่จัดตากแห้งแกะเปลือกนอกออก นำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำร้อนกินวันละครั้งก่อนนอน จะแก้อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้)

ผักกาด

ผักกาดมี 3 ชนิด ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่วิตามินครบบริบูรณ์ และมีเส้นใยอยู่จำนวนมาก การรับประทานเป็นประจำจะป้องกันอาการท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอมสามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และวิตามินซีที่มีอยู่ในผักจะสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค

มะเขือยาว

มะเขือมีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ การรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคลักปิดลักเปิด

ปวยเล้ง

เป็นผักที่มีสีเขียวเข้มมีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก และยังพบว่ามีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียมจะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกผักปวยเล้งให้สุกก่อนแล้วเทน้ำทิ้งไป จึงนำผักมาปรุงอาหารได้ ทำเช่นนี้กำจัดกรดออกซาลิกออกไป ปวยเล้งถ้ารับประทานเป็นประจำ จะยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานอีกด้วย

แค

รับประทานดอกมีชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้

หัวปลี

เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้

เกร็ดเล็กน้อยในการปรุงอาหารผักให้ได้คุณค่า

1. การหั่นผักแล้วล้าง น้ำจะทำให้วิตามินซีในผักสูญเสียไป เพราะวิตามินซีสลายตัวได้ง่ายในน้ำ ดังนั้นจะต้องล้างผักก่อนแล้วจึงหั่น และเมื่อหั่นเสร็จแล้ว ควรปรุงทันที

2. หลังปรุงแล้วควรรับประทานทันที เพราะการทำทิ้งไว้นาน ๆ หลังปรุง จะทำให้สิ่งมีคุณค่าทางอาหารสูญเสียไปได้

3. วิธีการหุงต้มผักทุกชนิดล้วนมีผลต่อการสูญเสียวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีละลายน้ำได้ ดังนั้นการรับประทานผักต้ม จะต้องรับประทานน้ำแกงด้วย การต้มควรจะต้มในน้ำน้อย ๆ และใช้เวลาสั้น ๆ

4. การปรุงอาหารจำพวกผัก ถ้าเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร และรักษาวิตามินซีไว้ด้วย

5. เครื่องครัวที่ใช้ผัดหรือต้มผัก ควรเป็นพวกเหล็ก เพราะจะทำให้วิตามินสูญเสียน้อยกว่าพวกทองแดง


FW


เซ็นรับรองให้ดี ๆ ก่อนมีหนี้ไม่รู้ตัว

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะทำธุรกรรมอะไรก็ตามที่ต้องใช้เอกสารสำคัญ ๆ เรามักจะต้องเซ็นชื่อกำกับฝไว้ด้วยทุกครั้ง แต่คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่า บางคนก็จะมีการเซ็นกำกับต่อว่าใช้เพื่อทำอะไร ในขณะที่บางคนก็เพียงแค่เซ็นรับรองความถูกต้องเฉย ๆ


เท่านั้นยังไม่พอ มีบางคนลงวันที่กำกับด้วย แล้วคุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าเราทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร และต้องทำแบบไหนถึงจะถูกต้องที่สุด ?


เพราะเดี๋ยวนี้นั้นขโมยขโจรมากมายเหลือเกิน แถมยังคิดค้นวิธีสารพัด สารพันมาหลอกลวงเราอีกต่างหาก เรียกได้ว่าโจรเดี๋ยวนี้นั้นพัฒนากลโกงได้รวดเร็วจนเราแทบจะตามไม่ทันกันเลยทีเดียว และสิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่หลาย ๆ คนอาจจะละเลยไปนั่นก็คือเหล่าบรรดาสำเนาเอกสารสำคัญต่าง ๆ

ซึ่งคุณทราบหรือไม่ว่าเหล่ามิจฉาชีพอาจจะใช้สำเนาเอกสารเหล่านี้ไปสร้างหนี้ก้อนโตให้คุณได้โดยที่มันได้เงินไปแถมยังหายหน้าไปพร้อมกับความสุขอุรา ในขณะที่คนที่นั่งน้ำตาตกก็อาจจะเป็นคุณที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ได้




ซึ่งการเซ็นชื่อกำกับสำเนาเอกสารนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันไม่ให้มีการนำเอาเอกสารของเราไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ ที่เราไม่ทราบเรื่องด้วย และวิธีการที่ถูกต้องในการเซ็นชื่อรับรองก็คือ

ต้องเขียนชื่อ นามสกุล รับรองสำเนาถูกต้อง ระบุวัตถุประสงค์ที่จะใช้ เช่น เพื่อสมัครงาน เพื่อทำเรื่องไปศึกษาต่อ หรือเพื่อกูยืมเงินจากที่ไหน เป็นต้น นอกจากนี้อย่าลืมระบุวันที่ที่ใช้ด้วย


และที่ลืมไม่ได้ก็คือ ให้เซ็นตรงส่วนที่เป็นรายละเอียดส่วนใหญ่ หรือตรงบัตรประชาชนด้านบนนั่นเอง หรือไม่อย่างนั้นในขณะที่ถ่ายเอกสารก็อาจจะให้ทางร้าน วางถ่ายเอกสารให้ด้านบนกับด้านล่างชิดกันมากขึ้นหน่อย อย่าให้ห่างกันมากตนเกินไป เพื่อจะได้เซ็นได้ครอบคลุมเกือบทั้งหมด



ทราบแล้วคราวหน้าก็เซ็นให้ถูกต้องนะคะ เพราะบางครั้งแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้ก็อาจจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงได้ในอนาคตได้ค่ะ


ดื่มชาร้อนอาจเสี่ยงเป็นมะเร็ง

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

นักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่านพบว่า การดื่มชาร้อนอาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหาร โดยเฉพาะการดื่มชาดำที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป


จังหวัดโกเลสตาน ทางเหนือของอิหร่าน เป็นพื้นที่หนึ่งที่พบผู้ป่วยเป็นมะเร็งหลอดอาหารชนิด OSCC หรือ oesophageal squamous cell carcinoma มากที่สุดในโลก ทั้งที่ผู้คนในจังหวัดนี้ มีอัตราการสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ต่ำมาก

ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเตหะราน จึงได้ลงมือศึกษาแล้วพบว่า
พฤติกรรมการดื่มชาร้อนนั่นเองที่เป็นต้นเหตุ

โดยนักวิจัยได้ศึกษาพฤติกรรมการดื่มชาร้อนใน 300 คน ที่ถูกวินิจฉัยว่า เป็นมะเร็งหลอดอาหารชนิด OSCC และนำพวกเขามาเปรียบเทียบกับอีก 570 คน ที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน โดยผู้เข้าร่วมการทดสอบเกือบทุกคนดื่มชาดำอยู่เป็นประจำ ปริมาณการดื่มอยู่ที่ 1 ลิตรต่อวันโดยเฉลี่ย

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ดื่มชาดำร้อน คือมีอุณหภูมิระหว่าง 65 ถึง 69 องศาเซลเซียส จะเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหารมากกว่าถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มชาดำแบบอุ่น คือมีอุณหภูมิไม่ถึง 65 องซาเซลเซียส ส่วนผู้ที่ดื่มชาดำแบบร้อนจัด คือมีอุณหภูมิเกิน 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหารเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า

ความเร็วในการดื่มชาก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน โดยผู้ที่ดื่มชารวดเดียวหมดภายใน 2 นาที หลังรินใส่ถ้วย จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหารถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ใช้เวลาดื่มชาเกิน 4 นาทีขึ้นไป
แต่ปริมาณความมากน้อยในการดื่มชา ไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับความเสี่ยงเป็นมะเร็งชนิดนี้

ผลการศึกษาดังกล่าวจึงเป็นที่มาว่า เหตุใดคนในซีกโลกตะวันออกจึงป่วยเป็นมะเร็งหลอดอาหารกันมากขึ้น ขณะที่คนในซีกโลกตะวันตก มักนิยมใส่นมลงไปในชา จึงช่วยให้ชาเย็นลงและระงับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร แต่ผู้คนในตะวันตกมักป่วยเป็นมะเร็งหลอดอาหาร จากการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า

...ทีมงานที่นี่ดอทคอม...

นั่งดี ๆ ก็ไม่มีอาการปวดหลัง



ปวดหลังถือเป็นหนึ่งอาการฮิตของผู้คนในสมัยนี้ ยิ่งสำหรับในคนที่ต้องนั่งทำงาในออฟิศทุก ๆ วันแล้วด้วยนั้น อาการปวดหลังดูเหมือนจะเป็นอาการที่พบได้มากที่สุดเลยก็ว่าได้



ทั้งนี้อาการปวดหลังที่ว่านั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะ การนั่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะการนั่งบนเก้าอี้เป็นเวลานานๆ โดยไม่ลุกขึ้นและผ่อนคลายกล้ามเนื้อนั้น อาจจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ เนื่องจากมีการเกร็งกล้ามเนื้อมากเกินไป เพราะฉะนั้นในการนั่งทำงานนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนั่งให้ถูกท่า


โดย
ควรนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง และให้เท้าสัมผัสกับพื้น หรือให้วางขากับเข่าอยู่ในลักษณะเท่ากัน และวางเมาส์ไว้ใกล้ตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องเอื้อมไปจับ พยายามนั่งให้หลังชิดพนักเก้าอี้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้หลังงอได้


นอกจากนี้การนั่งอ่านหนังสือในระดับที่เหมาะสมก็เป็นประโยชน์เช่นกัน เพราะหากคุณต้องก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการปวดหลังแล้วก็ปวดคอได้ด้วยเช่นกัน



ทั้งนี้เพราะพฤติกรรมการนั่งเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ปวดหลัง อีกทั้งเก้าอี้ที่ดีมีส่วนทำให้ลดการปวดหลังลงได้ เพราะฉะนั้นก็ละเลยที่จะใส่ใจกันนะคะ





Create Date : 28 มีนาคม 2552
Last Update : 28 มีนาคม 2552 0:12:39 น. 2 comments
Counter : 842 Pageviews.

 
Very interesting topic kha


โดย: Jujastar วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:0:51:39 น.  

 
แวะมาอ่านจร้าขออนุญาตฝากเว็บไว้ในอ้อมกอดน้อยๆด้วยนะครับ|เข้าชมเว็บ บิ๊กอายขอบคุณครับ


โดย: bigeye (tewtor ) วันที่: 15 เมษายน 2554 เวลา:22:49:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สาว17
Location :
ลูกสาวเมืองสิงห์ Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Color Codes ป้ามด







เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตครอบครัว
มีบางครั้งที่เราต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
มีบ้างบางครั้งที่เราต้องเลิกทำในสิ่งที่ชอบ
เพื่อความก้าวหน้าของชีวิตครอบครัว
มีบ่อยครั้งที่เราต้องรู้จักใช้สติ
ต้องรู้จัก อดทน และให้อภัย
ดูอย่างต้นไม้ซิ
มันไม่เคยที่จะผืนลิขิตของฤดูกาล
มันไม่คิดจะขัดธรรมชาติ
เมื่อถึงคราวต้องทิ้งใบก็ยินยอมแต่โดยดี
อดทนและอดทน
เพื่อผลิใบ และดอกผลเมื่อฝนมา
เพราะเมื่อเวลามาถึงทุกสิ่งจะดำเนินไป
ชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่มีสุข








Free Hit Counter ทีเว็บมาสเตอร์ รวมพลคนทำเว็บ
Google
New Comments
Friends' blogs
[Add สาว17's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.