Group Blog
|
เวทนา บันทึกกรรมฐาน ประมาณวันที่ 20-23 มีนาคม 2567 ..เราได้กำหนดเข้าสมาธิแบบสบายๆ กำหนดในใจว่าไม่คล้อยตามความคิด จะรู้พุทโธไป เมือ่พุทโธไปเรื่อยก็เกิดความคิดขึ้น โดยเกิดความรู้สิ่งใดในความคิดนั้น นิมิตนั้น ก็มีชอบบ้าง ชังบ้าง ใคร่บ้าง เกลียดบ้าง กลัวบ้าง พะวงบ้าง ผลักไสบ้าง วนเวียนไป สิ่งที่ชังก็อยากให้เป็นดั่งใจก็คิดเพลินไป สิ่งที่ชอบก้อเพลินไหวไป จึงมากำหนดรู้ว่าทำไมหนอจิตคนเราถึงเป็นอย่างนั้น จักแก้อย่างไร ..จึงปักลงที่ลมหายใจทำพุทโธไป เกิดความคิดใดขึ้นก็พุทโธรู้ลมไปดูความคิดไปพร้อมๆกัน ..สักพักความคิดเริ่มแยกกันกับส่วนที่ใจทำพุทโธ ทั้งๆที่เป็นขณิกสมาธิ ..เมื่อเกิดความรู้ตั้งมั่นในพุทโธแยกกันกับความคิดต่างๆ จึงทำพุทโธไปพร้อมรู้ความคิดต่างๆไปเรื่อยอย่างนั้น เหมือนเรานั่งพุทโธไปดูทีวีไป ฟังเสียงคิดเหมือนทำกรรมฐานพุทโธไปฟังวิทยุไปฉะนั้น (ถ้าคนที่เคยเข้าฟังธรรมครูบาอาจารย์แล้วกรรมฐานไปฟังไปจะเข้าใจสภาพวะนี้ว่า เรากำหนดพุทโธทำสมาธิไป ฟังครูบาอาจารย์ไป จะไหลเข้าสมาธิก็ปล่อยมันไป มันจะฟังก็ปลอยมันไป แต่ใจตั้งมั่นปักอยู่ที่พุทโธ คือ พุทโธไปฟังไป พุทโธไปรู้ไป) ..แล้วจิตเริ่มเข้าสภาวะพุทโธ คือ ผู้รู้ รู้ว่าความคิดนั้นเป็นอกุศลมีผลเป็นทุกข์ รู้ว่าความคิดนี้เป็นกุศลมีผลเป็นสุข จิตเป็นผู้ตื่น ตื่นจากสมมติความคิดกิเลสของปลอม ใจจึงหน่ายความคิด เข้ามาตั้งนิ่งไม่กระทำเจตนาอื่นใดนอกจากดูรู้อยู่เฉยๆ ไม่เสพย์ไม่ข้อง ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งใด เมื่อใจมีกำลังอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่มีกิเลสเข้ามาห่อหุ้ม ใจก็เริ่มเบา ว่าง ผ่องใส สบาย ..สืบต่อมาเมื่อใจไม่ติดใจข้องแวะสิ่งใด ก็ไม่เกิดความชอบชังต่อสิ่งใดเลย ไม่มีความสำคัญใจอะไรต่อสิ่งใด ไม่หมายรู้อารมณ์ใดด้วย รัก ชัง กลัว หลง แม้จะเกิดความคิดถึงเรื่องราวที่ชอบที่พอใจหรือเรื่องราวที่แย่ๆเกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนั้น ใจก็นิ่งรู้อยู่แค่นั้น ไม่เอนเอียงไหวตามไป เมื่อเห็นกิริยาอาการของใจจึงรู้ว่า จิตที่เป็นพุทโธนี้มันช่างมีความเบาใจ สบายใจ อิ่มเอมใจดีเหลือเกิน แม้จะเป็นเพียงขณิกสมาธิ จะทรงอารมณ์ได้เพียงชั่วคราว(วันนั้นที่ทรงไว้ได้ 2 ชั่วโมง 24 นาทีโดยประมาณ ถ้าอุปจาระสมาธิครูบาอาจารย์ท่านว่าอย่างต่ำครึ่งวัน หรือ 1 วันก็ได้) แม้ใจรับรู้ทุกอย่างรอบตัวหมด..แต่ใจมันก็นิ่ง เบา สบาย เย็นใจดีเหลือเกิน เมื่อพิจารณาสภาวะอาการความรู้สึกในตอนนั้นก็ให้เห็นว่า..ใจเรานี้ไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งใดเลย ไม่สำคัญว่าชอบ ไม่สำคัญว่าชัง ใจไม่ให้ความคัญว่ายินดียินร้าย ไม่รับรู้สิ่งใดด้วยหมายรู้ในสิ่งนั้นโดยความชอบหรือชังเลย กล่าวคือ..ไม่หมายรู้อารมณ์ด้วยรัก โลภ โหรธ หลง หรือ ไม่หมายรู้อารมณ์ด้วยราคะ-ความกระหายใคร่เสพย์, ไม่หมายรู้อารมณ์ด้วยโทสะ-ความโกรธ เกลียด ชัง กลัว, ไม่หมายรู้อารมณ์ด้วยโมหะ-ความอ่อนไหวไหลตาม - ทำให้เข้าใจได้ว่า..เมื่อเรารู้ เราได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รู้รส ได้สัมผัสกาย ได้สัมผัสใจ แล้วเกิดความชอบ ชัง รัก ใคร่ เกลียด กลัว ผลักไส นั่นเพราะชอบชังเกิดมาจาก..ความสำคํญมั่นหมายของใจ หรือ ความสำคัญหมายรู้อารมณ์นี่เอง ..ความยินดี, ยินร้าย, เฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย, โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ฉันทะ อรดี ปฏิฆะ นี่เอง..ที่เป็น..สมุทัย..ของความชอบชังทั้งปวง - เมื่อใจปักหลักอยู่ไม่สัดส่าย อ่อนไหวไหลตามความยินดียินร้าย ใจก็แจ่มใสขึ้น นิ่ง ว่าง เบา สบาย ผ่องใส รับรู้ทุกอย่าง เห็นความรู้สึกนึกคิดกิเลสรายล้อม แต่ไม่เข้าไปติดใจข้องแวะ แม้จะพยายามเอาใจเข้าไปกำหนดรู้สิ่งใด ใจก็ไม่เอาไม่ทำทั้งนั้น จะถอยกลับมานิ่งรู้อยู่ตลอดเวลา ปักหลักนิ่งทำแค่รู้เฉยๆอยู่อย่างนั้น ไม่ไหวเอน ไม่จับ ไม่ยึด ไม่น้อมใจไปในสิ่งใด นอกจากตรงที่ใจมันเลิกปักหลักอยู่ที่มีความรู้สึกที่ว่าง โล่ง เบา สบายๆ..ทำให้รู้ว่า ใจเรานี้มันเป็นตัวรับรู้-เป็นตัวเสพย์เสวยอารมณ์ มันเลือกที่จะเสพย์อารมณ์ความรู้สึกที่ใจมันรับรู้ได้ นั่นคือ..มันเลือกที่จะเสพย์ธัมมารมณ์ได้ (ธัมมารมณ์ คือ สิ่งที่ใจรู้, อารมณ์-ความรู้สึก-นึกคิด หรือ..สภาวะธรรมใดๆทั้งปวงที่ใจรู้หรือรับรู้) หากมันเลือกเสพย์สิ่งใดใจมันก็จะปักแนบแน่นในสิ่งนั้น ทำให้เข้าใจถึงคำที่..สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนแก่พระสารีบุตรมหาเถระว่า..รู้ธัมมารมณ์ที่ควรเสพย์และไม่ควรเสพย์ และ เลือกธัมมารมณ์ที่ควรเสพย์และไม่ควรเสพย์ นั่นคือ..ใจเราสามารถเลือกเสพย์ธัมมารมณ์ได้ ใจสามารถเลือกเฟ้นเสพย์ธัมมารมณ์ได้ - จากสภาวะธรรมที่เจออยู่นี้นั้น..ทำให้เข้าใจอย่างหนึ่งได้ว่า..ที่ใจเราเลือกเสพย์ไม่ได้ แล้วมักอ่อนไหวไปตามธัมมารมณ์ไปทั่ว นั่นก็เพราะใจเราไม่มีกำลังมากพอจะตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง เหมือนคนที่ป่วยหรืออดอาหารไม่มีเรี่ยวแรง ดังนั้นการเจริญ ทาน ศีล สมาธิ เป็นการสร้างกำลังให้ใจ เป็นการให้อาหารแก่ใจ มโน มนะ เมื่อมีอาหารใจ ใจก็มีกำลัง เมื่อมีกำลังใจก็สามารถตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทำความรู้ทั่วพร้อม รู้แจ้งแทงตลอดเข้าถึงปัญญาได้ ศีลทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้เกิดปัญญา สมดั่งใน..กิมัตถิยสูตร..ว่าด้วยอานิสงส์ ที่สมเด็จพระตถาคตเจ้านั้นแสดงไว้แก่พระอานนท์ดีแล้วนั้น ดูกรอานนท์ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัต โดยลำดับ ด้วยประการดังนี้แล - หลังที่ใจมันเลือกที่จะตั้งปักหลักอยู่ในความนิ่ง ไม่เข้าหาอารมณ์ ไม่ถอยหนีอารมณ์ ปักใจไว้อยู่ที่แค่รู้ รู้แนบแน่นสภาวะ รู้แนบแน่นไม่ไหวเอน อยู่ๆก็เหมือนใจมันย้อนกลับเข้ามาหาตัวเอง ส่งจิตใจมาภายในใจ ทำความรู้..ถอยตามกระแสความสำคัญมั่นหมายของใจมาที่เหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น ก็เห็นว่า..มีความรู้สึกที่อิมเอม สบายๆ ขณะนั้นจึงเข้าใจว่าเพราะใจไม่ข้องเสพย์ไม่ติดใจข้องแวะสิ่งใด มันเบาใจไม่หน่วงตรึงจิต มันสบาย เมื่อใจมันสบายมันก็ยินดี เต็มใจเข้ามาอยู่นิ่งๆทำแค่รู้ นี่คือ.ความเพลินใจ ยินดีในอารมณ์ความรู้สึก ความเต็มใจของใจ ของมโน มนะ นี่เอง - เมื่อเกิดความพอใจยินดีในสิ่งใด ใจก็จะเกิดความเต็มใจเสพย์ในสิ่งนั้นสืบต่อ นี่เองคือ..ความพอใจ..เพลิดเพลินใจ..ที่จะเสพย์ทำให้เกิดความสืบต่อ - จึงเข้าใจตามที่..พระอาจารย์สนธยา ธัมมะวังโส ท่านกรุณาสอนเราไว้แล้วว่า ..ขณิกสมาธิอาศัยฉันทะ ความพอใจ ความเต็มใจ ความยินดี ความเพลินใจเป็นอารมณ์..มันเป็นอย่างนี้นี่เอง.. จึงดูความสบายที่เกิดขึ้นรายล้อมใจอยู่ แล้วก็เหมือนกับใจขยายเข้าไปดูในความสบายใจนั้น ก็เกิดเห็นความสุขอ่อนๆ มันคือโสมนัสเวทนา คือ ความสุข ..เวทนา นี้เป็น สมุทัย ของความสำตัญมั่นหมายของใจเรานี่เอง.. ความจดจำสำคัญมั่นหมายของใจว่า..อย่างนี้ยินดี..อย่างนี้เยินร้าย เกิดขึ้นได้เพราะมีเวทนานี้เอง มีเวทนาเป็นสมุทัย ความโสมนัส-สบายใจ ยินดี, โทมนัส-ไม่สบายใจ ยินร้าย, อุเบกขา-ไม่ยินดียินร้าย ..ก็เป็นเวทนาในเวทนาใช่หรือไม่ - ทำให้รู้ชัดว่า..ที่ใจเลือกเสพย์ก็เพราะเวทนา เพราะความสุขนี่เอง ใจมันสุขอันไหนสิ่งใด..มันก็ยินดีในอันนั้นสิ่งนั้น พอใจในสิ่งนั้น เสพย์สิ่งนั้น เพลิดเพลินสิ่งนั้น แล้วแนบใจไว้ในสิ่งนั้น เสพย์สืบต่อความรู้สึกเสวยอารมณ์ในสิ่งนั้น ..แต่ด้วยเพราะปุถุชนโลกียะ..อาศัยสุขทางกายมาถึงใจ ทำให้ติดจมอยู่ในสมมติกิเลสเครื่องล่อใจทั้งปวง ..สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาเมื่อทรงตรัสรู้ เป็นผู้รู้แจ้งโลก จึงสอนให้รู้จักสุขที่เนื่องด้วยใจ ไม่อิงอามิสเครื่องล่อใจ ทำให้พบสุขที่แท้จริง นั่นคือโลกุตระธรรมนั่นเอง..เมื่อรู้ดังนี้..ก็ทำเรานี้ให้หมดความลังเลสงสัยในทันที - เวทนา คือ คาามรู้สึก ความสบาย แช่มชื่นใจ รื่นรมย์ใจ ความอิ่มเอม ปราบปลื้ม ปิติ ฟูใจ ความสุข นี่คือเวทนา ความไม่สบายกายใจ เหี่ยวใจ อัดอั้น คับแค้นกายใจทั้งหลายก็เป็นเวทนา นี้คือเวทนาในเวทนานั่นเอง แม้ขณิกสมาธิเมื่อปฏิบัติตรงแล้ว ยังเห็นได้อย่างนี้ ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้สูงส่งจริงแท้ นี่เป็นเวทนาในเวทนาเหมือนดั่ง..หลวงตาศิริ อินทสิริ ท่านสอนไว้เป็นอย่างนี้นี่เอง เวทนาเกิดจากใจรู้ ก็เพราะใจรู้ๆนี้แหละ รู้สุขรู้ทุกข์ เพราะใจรู้นี้แหละคือเหตุเกิดของเวทนา สืบต่อไปเป็นความจดจำสำคัญมั่นหมายของใจ - ใจ มโน มนะ คือ ธาตุรู้ ..ใจที่รู้ๆนี้ รู้สุข รู้ทุกข์ รู้เฉยๆ รู้เสพย์ รู้ๆทุกอย่างนี้..ใจปุถุชนอย่างเราๆนี้มันรู้สิ่งใด-มันก็เสพย์สิ่งนั้น สำคัญมั่นหมายใจในสิ่งนั้น อุปาทานสิ่งนั้น ดังนี้..สิ่งใดที่ใจรู้สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้ อยู่เหนือการควบคุม จึงชื่อว่าสมมติ ชื่อว่าอนัตตา ใจรู้ได้ก็เพราะผัสสะ ความสัมผัสตา สัมผัสหู สัมผัสจมูก สัมผัสลิ้น สัมผัสกาย สัมผัสใจ ความกระทบจิตให้รู้ ความกระเพื่อมของจิต - เพราะเราไม่อาจห้ามการกระทบสัมผัสได้ด้วยไม่ใช่ตัวตน หรือบังคับให้คงไว้ได้ ก็ด้วยใจนี้รู้ๆ รู้ไปหมดทุกอย่าง รู้สุข รู้ทุกข์ รู้เฉยๆ แต่ก็ไม่สามารถบังคับไม่ให้รู้เฉพาะสิ่งที่รักได้ และไม่รู้เฉพาะสิ่งที่เกลียดได้ ใจนี้มันรู้ๆไปหมด คือ รู้นั่น รู้โน่น รู้นี่ไปหมด แต่สิ่งที่รู้คือสมมติกิเลสของปลอมทั้งนั้น - สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรพระปรีชาญาณ มีปัญญาญาณอันยิ่งแล้ว จึงสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายให้สำรวมระวังในผัสสะ ก็สัตว์ทั้งหลายเมื่อยังไม่รู้ เมื่อยังไม่เข้าใจ ก็มิอาจรู้การสำรวมระวังนั้นได้ ก็เมื่อมีโสมนัสก็ดี, โทมนัสก็ดี, อุบกขาก็ดี, สุขเวทนาก็ดี, ทุกขเวทนาก็ดี, อขะมะสุขขะมะทุกข์ก็ดี ก็ยากยิ่งนักจะทำได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจคงทรงตรัสสอนว่า เรารู้อารมณ์ทางใดก็ให้มีสติทางนั้น เมื่อสฬายตนะเป็นที่รู้อารมณ์ ก็ทรงสั่งสอนสัตว์ให้ สำรวมระวังทางสฬายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือมี อินทรีย์สังวร นั่นเอง - ก็อินทรีย์สังวรณ์นี้ การมีอินทรีย์สังวรนี้ทำไฉน สัตว์ทำได้ยาก เพราะมัวพะวง จำจดจำจ้อง หวาดกลัวระแวง ใคร่ได้อยู่ จึงเข้าใจได้ยากนัก ทำได้ยากนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดา จึงทรงตรัสสั่งสอนสัตว์ว่า ให้ถือใจอย่างเดียว - ก็สัตว์ทั้งหลายจะถือใจอย่างไรได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา จึงตรัสสอนว่า ให้มีสติทางตา มีสติทางหู มีสติทางจมูก มีสติทางลิ้น มีสติทางกาย มีสติทางใจ เมื่อรู้ทางตาก็มีสติทางตา เมื่อรู้ทางหูก็มีสติทางหู เมื่อรู้ทางจมูกก็มีสติทางจมูก เมื่อรู้ทางลิ้นก็มีสติทางลิ้น เมื่อรู้ทางกายก็มีสติทางกาย เมื่อรู้ทางใจก็มีสติทางใจ กล่าวโดยย่อรู้ทางใดก็มีสติทางนั้น - ก็มีสติระลึกรู้ทางสฬายตนะนั้นทำอย่างใด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนละเว้นเจตนาอกุศล เพราะเจตนาคือกรรม ส่วนการรู้ ก็รู้ได้ด้วยใจ ใจคือตัวรู้ ใจจึงรู้ๆไปหมด รู้คิด รู้ทำ ก็ใจที่อ่อนไหวนี้แล เป็นตัวกระทำเจตนาทั้งหมด ..โดยแท้จิตเดิมของเรานี้ ทรงอยู่ด้วยตัวของมันเองได้ ในนามกาย มันมีหน้าที่แค่รู้..ไม่ได้มีหน้าไว้สั่งหรือเสพย์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ (แต่ไม่ใช่แบบพรหมลูกฟักที่ไม่รับรู้อะไรเลย) จึงจะสามารถเห็นความจริงและไม่ยึดหลงในขันธ์ ๕ ได้ - โดยความว่า..ใจ..มีไว้รู้-ไม่ได้มีไว้เสพย์ คือ การฝึกใจให้เดินบนทางสายกลาง เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ไหวเอนไปทางใด มีเพียงความจริง เป็นไปเพื่อแทงจิตทะลุขึ้นถึงความรู้แจ้งแทงตลอดตามจริง..ไม่ใช่สมมติของปลอมปรุงแต่งกำหนดสมมติขึ้นมา และไม่มีสิ่งใดเกินกว่าธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การทำสักแต่ว่ารู้จึงชื่อว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือทางสายกลาง อยู่ท่ามกลางไม่เอนเอียงใจไปสิ่งใด หรือข้องเสพย์เสวบอารมณ์ความรู้สึกใด ซึ่งการประครองใจไว้ดังนี้ได้ก็ต้องอาศัยกำลังจองมหากุศล คือ ความสุจริต ๓ ซึ่งจะคลุมใจให้ไม่เอนเอียงได้ พระตถาคตเจ้าจึงทรงสั่งสอนให้เจริญกุศลเพื่อให้รู้สุขทางใจ แล้วเกิดเป็นกำลังของใจไม่ไหวเอนตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเองสติสังขารโดยรอบรู้ถูกรู้ผิดแยกแยะได้ จนสติและสมาธิไปถึงขั้นสุดเกิดเป็นปัญญา - สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..จึงทรงตรัสสอนไว้ว่า ขันธ์ ๕ มีไว้ให้ระลึกรู้ ไม่ได้มีไว้เสพย์ กล่าวคือ ให้ใจกลับคืนสู่หน้าที่เดิมที่เพียงทำสักแต่ว่ารู้นั่นเอง รู้ก็ทำสักแต่ว่ารู้ แล้วปล่อยมันผ่านไป ไม่ยินดียินร้ายกับมัน ..ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือ รูปขันธ์ ความรู้นั้นคือวิญญาณ จักขุวิญญาณ วิญญาณตา หรือ ความรู้ทางตา เพราะมีรับรู้กระทบสัมผัสทางตา เราจึงเห็นทางตา เมื่อเห็นทางตาจึงเกิดเวทนา คือความรู้สึกจากสิ่งที่รู้เห็น เมื่อรู้สึกจึงให้ความสำคัญหมายรู้สิ่งนั้นด้วยความชอบ ชัง เฉย ยินดี ยินร้าย ไม่ยินดียินร้าย ..แล้วก็เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆนาๆต่อสิ่งนั้นตามราคะ โมทสะ โมหะ ก็ทั้งหมดทั้งมวลก็มีใจนี้แลที่รู้ๆอยู่นั้น รู้ๆไปหมดในสิ่งนั้น รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ชอบ รู้ชัง รู้ติดใจข้องแวะ รู้คิด - เพราะใจเป็นธาตุรู้..เราจะมีสติควบคุมธาตุรู้ได้ก็ด้วยการรู้ก็ทำสักแต่ว่ารู้ คือ ให้ใจมันทำแค่รู้เท่านั้น ด้วยการฝึกฝนใจด้วนกำลังสมาธิให้..มีหน้าที่รู้ ไม่ได้มีหน้าที่เสพย์ ด้วยเมื่อรู้สิ่งใดแล้วเราบังคับผัสสะทางตาบังคับความรู้ทางตาให้รู้เฉพาะสิ่งที่ชอบและไม่รู้สิ่งที่ไม่ชอบย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ เพราะใจ..คือ ธาตุรู้ ใจเป็นตัวรู้ เมื่อเราห้ามใจมันไม่ให้รู้ก็ไม่ได้ บังคับใจมันให้รู้เฉพาะเจาะจงก็ไม่ได้ เราจึงต้องปล่อยให้มันรู้ไป เพียงแค่เราฝึกฝนใจมันให้มีกำลังด้วยกำลังสติและสมาธิ..โดยเมื่อมันรู้แล้ว ก็ให้ใจมันแค่รู้เท่านั้นโดยไม่ติดใจข้องแวะ รู้โดยคิดสืบต่อ ไม่ใส่ใจให้ความสำคัญ ไม่ให้ความสำคัญมั่นหมายของใจ ..ตัวรู้มันก็จะกลับเป็นคืนสภาพเดิม..คือ..ธาตุรู้ รู้โดยไม่ให้ความสำคัญมั่นหมายใดๆต่อใจ ไม่สั่ง ไม่ตราตรึง ไม่ติดตรึง ไม่ข้อง ไม่เสพย์ ทำสักแต่ว่ารู้ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ นี้เป็นการกำหนดรู้โดยใจ รู้แล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ติดใจข้องแวะ ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่รู้ ทำแค่รู้ ทำสักแต่ว่ารู้ แล้วปัญญาดารรู้เห็นตามจริงโดยไม่ปรุงแต่งก็จะเกิดขึ้น นี่คือพระปรีชาญาณอังยิ่งของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า - ขันธ์ ๕ มีไว้รู้ ไม่ได้มีไว้เสพย์ คือ ทำสักแต่ว่ารู้ แต่ไม่ให้อ่อนไหวไหลตาม การทำสักแต่ว่ารู้นี้คือ การสำรวมระวังผัสะ สำรวมระวัง สฬายตนะนี่เอง เพื่อฝึกใจให้มีกำลังสามารถแยกแยะก่อนดระทำสิ่งใดโดยขาดปัญญาได้ และเพื่อเดินเข้าสู่ทางสายกลาง เกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอดตามจริง
|
สมาชิกหมายเลข 1075032
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] Friends Blog Link |