Group Blog
All Blog
|
อุปมาธรรมละกามราคะเพื่อเดินไปสู่การเหลือเพียงกามฉันทะ อุปมาธรรมละกามราคะเพื่อเดินไปสู่การเหลือเพียงกามฉันทะ อุปมาธรรมละกามราคะเพื่อเดินไปสู่การเหลือเพียงกามฉันทะนี้.. ซึ่งสภาพจริงมันเป็นปัจจัตตัง เหมือนหลวงปู่บุญกู้ อนุวัฑฒโน ท่านกรุณาสอนไว้ว่า..เราทำเราก็ได้ เราทำได้ที่เรามันก็เป็นของเรา เขาทำเขาได้เราเอามาพูดมันก็เป็นของเขาได้ไม่ใช่เราได้ เมื่อพูดไปก็เหมือนประกาศสิ่งที่เขาได้โดยเราแอบอ้างเท่านั้น อย่างนั้นแล้วศีลจะไปหาเอาลูบคลำเอาที่ไหน ..ดังนี้ความรู้โดยส่วนตัวนี้ผมบันทึกไว้เพื่อใช้ทบทวนกรรมฐาน จะไม่ปะติดปะต่อ ไม่เรียบเรียง แต่รู้ได้ด้วยตัวเอง หากท่านใดแวะชมต้องแยะแยะจริงแท้ถูกผิด หากตีความได้น้อมนำทำตามแล้วเจริญได้ดีถูกตรง ก็ขอให้ท่านรู้ไว้เลยว่าธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ไม่มีพระพุทธเจ้าจะไม่มีพระธรรม ไม่มีพระธรรมจะไม่มีพระสงฆ์ ไม่มีพระสงฆ์ก็จะไม่มีผู้เผยแพร่ธรรมแท้มาสู่เรา อุปมาธรรมละกามราคะ เพื่อเดินไปสู่การเหลือเพียงกามฉันทะนี้ พอจะจำแนกเพื่อบันทึกกรรมฐานไว้ได้ดังนี้.. วันเสาร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตรงกับวัน มาฆะบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ กามมันอิ่มไม่เป็น ตราบใดที่ยังไม่อิ่มกามก็มีอยู่ทุกเมื่อ ซึ่งจะรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่ที่กำลังของจิต การละกามทั้งปวง จึงต้องทำให้ใจอิ่ม เมื่อใจอิ่มมันก็รู้จักพอ ..เมื่อใจมันพอ มันเบื่อหน่าย ระอา ..มันก็คลายในกามราคะ..นิพพิทา-วิราคะ -> ถอนออกสละคืน การละกามในคน 2 ประเภท 1. คนที่อิ่มแล้ว ..ความอิ่มเต็มใจ ความพอ ไม่ต้องการอีก ย่อมมีใจน้อมไปในนิพพิทา วิราคะ เป็นไปเพื่อละกาม ..ธรรมนั้นเป็นไฉน อุปมาเหมือนดั่งบุคคลผู้กินอิ่ม ไม่โหยหา ไม่ต้องการ มีความพอแล้ว ไม่กระหาย - อุปไมยดั่งอาหารที่กินเป็นของโลกียะ - อุปไมยความอยากได้ต้องการโหยหากระหายนั้นเป็นกาม - อุปไมยความอิ่มพอนั้นเป็นความเต็มใจน้อมไปในการสละ เป็นอาหารเป็นกำลังในนิพพิทา วิราคะ ..จะเห็นได้ว่า ความอิ่มพอนี้ มันอิ่มที่ใจ เกิดที่ใจ ทำที่ใจ ซึ่งมีธรรมใช้ในหลายอย่างซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ดีแล้ว โดยกรรมฐานอันเป็นคุณแห่งการละนั้นก็เปรียบได้เหมือนการกำหนดเดินจิตกรรมฐานแห่งธรรมดังนี้ คือ.. - อุปมาเปรียบเหมือนดั่งผู้เจริญจาคานุสสติ ความว่าสิ่งนี้เต็มแล้วเรามีแล้วได้แล้ว เพียงพอแก่เราแล้ว ..จิตถึงจาคะ คือ ถึงความเต็มกำลังใจน้อมเพื่อคลายกำหนัด เกิดนิพพิทา วิราคะ สละคืน - อุปมาเปรียบเหมือนคนอบรมจิตคลายสมมติกาย ทำที่ใจ ความเห็นในสมมติใจ ความเห็นในสมมติธรรม ความไม่ติดใจข้องแวะ ความวางเฉยไม่ยินดียินร้ายต่อธรรมสังขาร ความดำรงมั่นอยู่ การเดินจิต การถอน สละคืน 2. คนที่ยังไม่อิ่ม ..หากยังไม่อิ่ม ก็ต้องมารู้เห็นของจริง จนเกิดความหน่าย ความระอา นิพพิทา วิราคะ เพื่อละกาม ..ธรรมนั้นเป็นไฉน อุปมาเหมือนดั่งบุคคลผู้ยังไม่ได้กิน กินแล้วแต่ก็ยังไม่อิ่มยังไม่พอ ยังอยากได้ต้องการโหยหากระหายอยู่ไม่ขาด - อุปไมยดั่งอาหารที่กินเป็นของโลกียะ - อุปไมยความอยากได้ต้องการโหยหากระหายนั้นเป็นกาม - อุปไมยความยังไม่ได้กิน คือ ยังไม่เคยลิ้มลองสัมผัส - อุปไมยความกินแล้วยังไม่อิ่ม ไม่พอ คือ ความได้เสพย์แล้วมีแล้วแต่ไม่เต็มในใจ ไม่เพียงพอในใจ ยังโหยหา การทำให้อิ่มในกามไม่ใช่ต้องเสพย์กาม ด้วยยิ่งเสพย์ตามมันไปให้มากเท่าไหร่ กามมันก็อิ่มไม่เป็น แม้ได้ครบหมดทั้งโลกมันก็ยังอิ่มไม่เป็น เหมือนโอ่งน้ำก้นรั่วให้เทน้ำไปเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม ยิ่งคิดคำนึงถึงยิ่งโหยหา ก. ดังนั้นทำความอิ่มนี้ทำที่ใจให้มันอิ่ม ทำความหน่าย ความระอา ความถอน ถึงความสำรอกออก ซึ่งมีธรรมใช้ในหลายอย่าง เช่น.. - สัญญา ๑๐ - อสุภะสัญญา หรือ ทวัตติงสาการ หรือบางที่เรียกแทนโดยกายคตาสติ ความเห็นจริงในภายในกายนี้แล เป็นของไม่สะอาด มีอยู่เพียงเท่านั้น อาศัยหนังหุ้มเป็นที่สุดรอบ มีผม เล็บ ฟัน เป็นต้นให้ดูงาม ม้างกายออกจนไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่มีเราในนั้น ในนั้นไม่มีเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน คลายฉันทะถึงอนัตตา - อาทีนวสัญญา เห็นเพียงที่ประชุมโรค ไม่ควรยินดี เป็นไปเพื่อคลายฉันทะถึงความหน่ายระอาในกายนี้ - จตุธาตุววัตถาน, ธาตุวิภังค์-ธาตุ ๖ เห็นสภาพจริง อาศัยจิตนี้จรมาอาศัย มีใจเข้ายึดครอง ความไม่ใช่ตัวตน - อสุภะ ๑๐ ความเห็นตามจริงในกายนี้ ถึงความไม่เที่ยง - พรหมวิหาร ๔ เจโตวิมุตติ ข. ซึ่งกรรมฐานข้างต้นจะทำความหน่ายระอาต่อใจอย่างไร ..ก็อุปมาเปรียบการกำหนดเดินไปของจิตอันเป็นธรรมกื้อกูลในวิราคะให้เข้าใจได้เหมือน.. - อุปมาเปรียบเหมือนดั่งใช้ฉันทะละฉันทะ คือ ความเต็มใจยินดีออกจากกาม ความเห็นในสิ่งที่ยินดียิ่งกว่า เปรียบเหมือนใช้ทานละโลภ คือ มีใจยินดีในอริยะทรัพย์ ควายความตระหนี่หวงแหน ละความอยากได้ใคร่มีใคร่เสพย์ในโลกียะทรัพย์อันปรนเปรอตนเกินความจำเป็น - อุปมาสภาพธรรมแห่งนิพพิทา วิราคะ คือ จิตถึงสัพพโลเก อนภิรตสัญญา กำหนดหมายในความไม่เพลิดเพลินโลกียะทั้งปวง จิตถึงสัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ถึงความความหน่าย ระอา จิตน้อมไปเพื่อคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อความสละคืน - อุปมาการเดินจิตเปรียบเหมือนดั่ง..พรหมวิหาร ๔ เจโตวิมุตติ หรือ ธาตุวิภังค์-ธาตุ ๖ ..อบรมจิตเห็นในสมมติกาย ความเห็นในสมมติใจ ความเห็นในสมมติธรรม ความติดใจข้องแวะเป็นทุกข์ ความวางเฉยไม่ยินดียินร้ายต่อธรรมสังขาร ความดำรงมั่นอยู่ การเดินจิต ถอน สละคืน |
สมาชิกหมายเลข 1075032
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] Friends Blog Link |