รูปบล็อคนอก
Photobucket - Video and Image Hosting
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ภาพพุทธประวัติ ตอนที่ 9 ปรินิพพาน

วิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระ



ลำดับนั้น พระอานนท์เถระเจ้าได้ทูลถามถึงวิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติในพระพุทธสรีระ เป็นไฉน"

"ดูกรอานนท์ ท่านทั้งหลายอย่าขวนขวายเลย จงตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรมุ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์เถิด บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีทั้งหลาย ที่เลื่อมใสในพระตถาคตเจ้ามีอยู่มาก จักทำซึ่งสักการะบูชาสรีระแห่งพระตถาคตเจ้า"

"ก็กษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น จะพึงปฏิบัติในพระสรีระโดยวิธีเช่นใดเล่า พระเจ้าข้า"

"อานนท์ ผู้รู้ทั้งหลายย่อมปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคตเจ้า เป็นแบบเดียวกันกับวิธีปฏิบัติในพระสรีระ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิราชนั้นแล"

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็วิธีปฏิบัติในพระสรีระแห่งจักรพรรดิราชเจ้านั้น มีแบบอย่างเป็นไฉนเล่า พระเจ้าข้า"

"ดูกรอานนท์ ชนทั้งหลายย่อมพันพระสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์ ด้วยผ้าขาวซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าขาว ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญพระสรีระลงในหีบทองอันเต็มไปด้วยน้ำมันหอม เชิญขึ้นสู่จิตรกาธาร ซึ่งทำด้วยไม้หอม ถวายพระเพลิง แล้วเชิญพระอัฏฐิธาตุไปทำพระสถูปบรรจุไว้ ณ ที่ประชุมแห่งถนนใหญ่ทั้ง ๔ เพื่อเป็นที่ไหว้สักการะบูชาแห่งมหาชนผู้สัญจรไปมาแต่ทิศทั้ง ๔ เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน.



ถูปารหบุคคล ๔



"อานนท์ บุคคลผู้ควรแก่การประดิษฐานในสถูป เรียกว่า ถูปารหบุคคล มี ๔ ประเภท คือ

พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑

พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑

พระสาวกอรหันต์ ๑

พระเจ้าจักรพรรดิ์ ๑

บุคคลพิเศษทั้ง ๔ นี้ ควรที่บรรจุอัฏฐิธาตุไว้ในสถูป เพื่อเป็นที่สักการะบูชากราบไหว้ ด้วยความเลื่อมใส ด้วยสามารถเป็นพลวปัจจัย นำให้ผู้กราบไหว้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ตามกำลังศรัทธาเลื่อมใส"



ประทานโอวาทแก่พระอานนท์



ครั้งนั้น พระอานนท์เถระ เข้าไปในวิหาร ยืนเหนี่ยวกลอนประตูวิหาร ร้องไห้ คิดสังเวชตัวว่าอาภัพ อุตส่าห์ติดตามปฏิบัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดุจเงาติดตามพระองค์ โดยมุ่งยึดเอาพระองค์เป็นนาถะ เพื่อทำความสิ้นทุกข์ พระสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นก็จะเสด็จปรินิพพานในราตรีนี้แล้ว ทั้งที่เราเองก็ยังเป็นเสขบุคคลอยู่

พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทอดพระเนตรเห็นพระอานนท์ในที่นั้น รับสั่งถามภิกษุทั้งหลาย ครั้นทรงทราบความแล้ว ตรัสให้ไปตามพระอานนท์เข้ามายังที่เฝ้า แล้วตรัสว่า "อานนท์ อย่าเลย ท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรเลย เราได้บอกแก่เธอแล้วมิใช่หรือว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงถาวร จะหาความเที่ยงแท้จากสังขารได้แต่ที่ไหน ทุกสิ่งที่มีเกิดในเบื้องต้นแล้ว จะต้องแปรปรวนในท่ามกลาง ที่สุดก็ต้องสลายลงเช่นเดียวกันหมด"

"อานนท์ เธอเป็นบุคคลที่มีบุญได้สั่งสมไว้แล้ว เธอจงอุตส่าห์บำเพ็ญเพียรเถิด ไม่ช้าเธอก็จักถึงความสิ้นอาสวะ คือจักได้เป็นพระอรหันต์ ก่อนวันพระสงฆ์ทำปฐมสังคายนานั้นแล"



ตรัสสรรเสริญพระอานนท์



ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอตีตังสญาณอันวิเศษ ได้ทรงพยากรณ์พระอานนท์ในที่ประชุมสงฆ์เช่นนั้นแล้ว ก็ตรัสสรรเสริญพระอานนท์ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วก็ดี แม้ที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้าอีกก็ดี บรรดาภิกษุผู้อุปัฏฐากของพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ก็เป็นเหมือนเช่นอานนท์อุปัฏฐากของเราในบัดนี้แหละ"

"ภิกษุทั้งหลาย อานนท์เป็นบัณฑิต ประกอบธุระกิจด้วยปัญญา รอบรู้ว่ากาลใด บริษัทใดจะเข้าเฝ้า อานนท์ก็จัดให้เข้าเฝ้า ตามควรแก่สถานะวิสัยแห่งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี และเดียรถีย์ ได้ถี่ถ้วนทุกประการ"

อนึ่ง เมื่อบริษัทได้เข้าใกล้ ได้เห็นอานนท์ ก็มีจิตยินดี เมื่อฟังอานนท์แสดงธรรม ก็ชื่นชม ไม่อิ่ม ไม่เบื่อด้วยธรรมกถาของอานนท์เลย เมื่ออานนท์หยุดพักธรรมกถา บริษัทก็ยินดีเบิกบานในธรรมกถาที่แสดงแล้ว ประหนึ่งพระเจ้าจักรพรรดิ์ ประทานความชื่นชม ไม่เบื่อด้วยภาษิต แก่กษัตริย์ พราหมณ์ เป็นต้น ฉะนั้น.



ตรัสเรื่องเมืองกุสินารา



พระอานนท์เถระเจ้าได้กราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมืองกุสินารา เป็นเมืองเล็ก เมืองดอน ไม่ควรเป็นเมืองที่พระองค์จะเสด็จปรินิพพาน ข้าพระองค์ขออาราธนาให้ไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ ๆ เช่นพระนครราชคฤห์ พระนครสาวัตถี เป็นต้น นั้นเถิด กษัตริย์ พราหมณ์ และคหบด ี ผู้มีมหาศาล จักได้จัดการสักการะบูชาพระสรีระเป็นมโหฬาร ควรแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นอัจฉริยมนุษย์บุรุษรัตนดิลกเลิศในโลก"

"อานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น" ทรงรับสั่ง "อานนท์ เมืองกุสินารานี้ แต่ปางก่อนเคยเป็นมหานครราชธานี มีนามว่า "กุสาวดี" เป็นพระนครใหญ่ไพศาล พระเจ้ามหาสุทัศน์จักรพรรดิราช เป็นพระมหากษัตริย์ครอบครอง เป็นเมืองที่มีผู้คนมากประชาชนสงบสุข สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สรรพสิ่งซึ่งเป็นเครื่องอุปกรณ์แก่ชีวิตของมนุษย์ทุกประการ เสียงร้องเรียกร้องหา ค้าขาย สัญจรไปมาหาสู่กัน ไม่หยุดหย่อน ทั้งกลางวันกลางคืน".



โปรดให้แจ้งข่าวปรินิพพานแก่พวกมัลลกษัตริย์



ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องกุสินารา บรรเทาความข้องใจหายความปริวิตกแก่พระอานนท์เถระเจ้าแล้ว ทรงรับสั่งว่า "อานนท์ จงเข้าไปบอกพวกมัลลกษัตริย์ให้ทราบว่า บัดนี้ พระตถาคตเจ้าจักปรินิพพาน ณ ยามที่สุดแห่งราตรีในวันนี้ อย่าให้มัลลราชทั้งหลายมีความเดือดร้อนในภายหลังว่า พระตถาคตเจ้ามาปรินิพพานในคามเขตของเราทั้งหลาย สิกลับไม่ได้เห็นพระองค์ในกาลสุดท้าย"

พระอานนท์รับพระบัญชาแล้ว รีบเข้าไปแจ้งความนั้นแก่มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย ตามพระประสงค์ของพระตถาคตเจ้าทุกประการ

เมื่อมัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้ทราบแล้ว ต่างมีความทุกข์โทมนัส พร้อมด้วยโอรส สุณิสา และปชาบดี กับทั้งอำมาตย์ พร้อมด้วยบุตรและภริยารีบเสด็จออกไปยังสาลวันอุทยาน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระอานนท์เถระเจ้าดำริว่า "ถ้าจะให้มัลลกษัตริย์ทั้งหลายเรียงองค์กันเข้าเฝ้า ราตรีก็จะสว่างเปล่าไม่สิ้นเสร็จ จึงได้จัดให้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสกุล ๆ เป็นคณะ ๆ แล้วกราบทูลชื่อ และวงศ์ตระกูลถวายโดยลำดับ ให้มัลลกษัตริย์ได้เข้าถวายอภิวาทเสร็จภายในปฐมยาม เบื้องต้นแห่งราตรีนั้น"



โปรดสุภัททปริพพาชก



สมัยนั้น ปริพพาชกผู้หนึ่ง ชื่อว่า สุภัททะ ชาวเมืองกุสินารา สุภัททปริพพาชกนั้นได้ยินข่าวว่า "พระสมณะโคดมจักปรินิพพานในที่สุดแห่งราตรีนี้แล้ว" จึงคิดว่า "ความสังสัยของเรามีอยู่ ควรจะรีบออกไปเฝ้าทูลถามให้พระองค์ตรัสบอกบรรเทาความในใจของเรานั้นเสีย" แล้วสุภัททปริพพาชก ก็ออกจากเมืองกุสินารา เข้าไปพบพระอานนท์ยังอุทยานสาลวัน เพื่อขอโอกาสได้เข้าเฝ้า

พระอานนท์เถระเจ้าได้ทัดทานว่า "อย่าเลย สุภัททะท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเจ้าเลย ขณะนี้พระตถาคตเจ้าก็ทรงลำบากพระกายหนักอยู่แล้ว" แม้สุภัททปริพพาชกจะได้วิงวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ อยู่ถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง พระอานนท์เถระเจ้าก็ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า

ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้สดับเสียงพระอานนท์ และสุภัททปริพพาชกเจรจากันอยู่ จึงตรัสเรียกพระอานนท์ว่า "อานนท์ อย่าห้ามสุภัททะเลย ให้สุภัททะได้เห็นตถาคตเถิด แม้สุภัททะจะถามปัญหาอันใดกับตถาคตก็จักไม่เบียดเบียนตถาคตให้ลำบาก สุภัททะจักตรัสรู้ทั่วถึงธรรมในปัญหาทั้งปวง ที่ตถาคตได้พยากรณ์แล้ว"

ลำดับนั้น พระอานนท์จึงบอกปริพพาชกว่า "สุภัททะ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระกรุณาประทานโอกาสให้แก่ท่านแล้ว ท่านจงเข้าไปเฝ้าเถิด"

สุภัททปริพพาชก มีความเบิกบานใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว ได้ทูลถามถึงครูทั้ง ๖ ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ มีปูรณกัสสป เป็นต้น ว่าเป็นผู้วิเศษ ได้ตรัสรู้ยิ่งด้วยปัญญา ดังคำปฏิญญาหรือไม่

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อย่าเลย สุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟัง แล้วทำไว้ในใจให้สำเร็จประโยชน์เถิด แล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสอริยมรรค ๘ ประการ ว่าเป็นมรรคาประเสริฐมีอยู่ในธรรมวินัยใดแล้ว สมณะ คือท่านผู้สงบระงับดับกิเลสได้จริง ย่อมมีธรรมวินัยนั้น อนึ่ง อริยมรรคทั้ง ๘ นั้น ก็มีอยู่เฉพาะในธรรมวินัยนี้เท่านั้น แม้สมณะดังกล่าวแล้ว ก็มีอยู่แต่ในธรรมวินัยนี้แห่งเดียว สุภัททะ หากภิกษุทั้งหลาย จะพึงปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ในธรรมนี้แล้วไซร้ โลกนี้ก็จักไม่พึงว่างเปล่าจากพระอรหันต์"

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแสดงธรรมนี้ สุภัททปริพพาชกมีความเชื่อ เลื่อมใส ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา พร้อมกับขอปฏิญญาตนเป็นอุบาสก และทูลขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสให้พระอานนท์รับธุระจัดให้สุภัททะอุบาสกบรรพชาอุปสมบทตามความปรารถนา เมื่อพระสุภัททะได้อุปสมบทแล้ว หลีกออกไป บำเพ็ญสมณะธรรม ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลในราตรีวันนั้น ได้เป็นพระอรหันต์ปัจฉิมสาวกของพระผู้มีพระภาค ทันพระชนม์ชีพของพระบรมศาสดา



โปรดให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ



พระอานนท์เถระ ได้ทูลถามพระบรมศาสดาว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระฉันนะถือตัวว่า เป็นข้าเก่า ติดตามพระองค์คราวเสด็จสู่มหาภิเนกษกรม เป็นผู้ว่ายาก ไม่รับโอวาทใคร ๆ แม้จะกรุณาเตือน เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว จักเป็นผู้ว่ายากยิ่งขึ้น ด้วยหาผู้ยำเกรงมิได้ ข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติแก่ท่านอย่างไร ในกาลเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว"
"อานนท์ เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนะเถิด"
"พรหมทัณฑ์ เป็นไฉนเล่า พระเจ้าข้า"
"อานนท์ การลงพรหมทัณฑ์ นั้น คือ ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงโอวาท ไม่พึงสั่งสอนเลย ไม่พึงเจรจาคำใด ๆ ด้วยทั้งสิ้น เว้นแต่คำอันเป็นกิจธุระโดยเฉพาะ อานนท์ เมื่อฉันนะถูกสงฆ์พรหมทัณฑ์แล้ว จักสำนึกในความผิด และสำเหนียกในธรรมวินัย เป็นผู้ว่าง่าย ยอมรับโอวาท ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล"



ประทานโอวาท



ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อานนท์ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว หากจะพึงมีภิกษุบางรูปดำริว่า พระศาสดาของเราปรินิพพานแล้ว บัดนี้ ศาสดาของเราไม่มี อานนท์ ท่านทั้งหลายไม่ควรดำริอย่างนั้น ไม่ควรเห็นอย่างนั้น แท้จริง วินัยที่เราได้บัญญัติแก่ท่านทั้งหลายก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลายก็ดี เมื่อเราล่วงไป ธรรมและวินัยนั้น ๆ แล จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย



ปัจฉิมโอวาท



"ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"



ตอน..ที่พระพุทธองค์ปรินิพพาน





นิพพาน


เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสพระโอวาทประทานเป็นวาระสุดท้ายเพียงเท่านี้แล้ว ก็หยุด มิได้ตรัสอะไรอีกเลย ทรงทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ โดยอนุโลมเป็นลำดับดังนี้ คือ-
ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาณแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนะแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว
ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สมาบัติที่ ๙

สัญญาเวทยิตนิโรธนี้ มีอาการสงบที่สุด ถึงดับสัญญาและเวทนา ไม่รู้สึกทั้งกายทั้งใจทุกประการ แม้ลมหายใจเข้าออกก็หยุด สงบยิ่งกว่านอนหลับ ผู้ไม่คุ้นเคยกับสมาบัตินี้ อาจคิดเห็นไปว่าตายแล้ว ดังนั้นพระอานนท์เถระเจ้า ผู้นั่งเฝ้าดูพระอาการอยู่ตลอดทุกระยะ ได้เกิดวิตกจิต คิดว่า พระบรมศาสดาคงจะเสด็จนิพพานแล้ว จึงได้เรียนถามพระอนุรุทธเถระเจ้า ผู้เชี่ยวชาญในสมาบัตินี้ว่า "ข้าแต่ท่านอนุรุทธ พระบรมศาสดาเสด็จนิพพานแล้วหรือยัง"

"ยัง ท่านอานนท์ ขณะนี้พระบรมศาสดากำลังเสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ" พระอนุรุทธบอก

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ตามเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดแล้ว ก็เสด็จออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ ถอยออกจากสมาบัตินั้นโดยปฏิโลมเป็นลำดับจงถึงปฐมฌาน
ต่อนั้นก็ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน อีกวาระหนึ่ง
ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
เมื่อออกจากจตุตถฌานแล้ว ก็เสด็จปรินิพพาน ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขะปุรณมี เพ็ญเดือน ๖ มหามงคลสมัย ด้วยประการฉะนี้

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ก็บังเกิดมหัศจรรย์ แผ่นดินไหวกลองทิพย์ก็บันลือลั่น กึกก้องด้วยสัททสำเนียงเสียงสนั่นในนภากาศ เป็นมหาโกลาหล ในปัจฉิมกาล พร้อมกับขณะเวลาปรินิพพานของสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นนาถะของโลก






Create Date : 22 ตุลาคม 2554
Last Update : 22 ตุลาคม 2554 17:02:27 น. 0 comments
Counter : 1048 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Jจุ้ย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


facebookฝากข้อความได้ครับ
Google

ฟังวิทยุออนไลครับ
ฟังวิทยุออนไลน์ กดที่รูปครับ




หลับฝันดี
๑ หลับคืนนี้ฝันดีนะที่รัก...
หลับตาพักหลับตาฝันถึงวันใหม่...
หลับคืนนี้คนดีฝันถึงใคร...
รู้บ้างไหมฉันตั้งใจฝันถึงเธอ...


Friends' blogs
[Add Jจุ้ย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.