การรอคอยการถึงของความเจ็บปวดที่แสนสุข
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 6: วานซืน)

อ่าอีกตอน ความจริงเขียนเสร็จแล้วล่ะ และเป็นเรื่องเก่าของตัวเองที่เขียนเสร็จง่ะ ยังไงก็อยากเก็บไว้ที่นี่เหมือนกัน เข้ามาเม้นกันเยอะๆนะคะ



ฉบับที่ 6

วานซืน


ดึกดื่นค่อนคืนป่านนี้ มือเรียวผอมขาวและซีด ราวไม่ได้ถูกลามเลียจากแสงตะวันมาร่วมชาติกำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ต่อหน้านั้น

เธอค่อยๆลากเส้นเพื่อก่อรูปร่างให้ภาพวาด เธอเป็นแม่มด... ผู้รังเกียจแสงตะวันยามเช้า ขยะแขยงการอยู่ท่ามกลางฝูงชน หากเริงรื่นเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์เหลืองซีด
ตั้งแต่วันที่เธอหนีออกจากรั้วโรงเรียนที่เธอจำต้องเข้าไปทำหน้าที่บางอย่างที่นั่น

ผู้คนในหมู่บ้านต่างครหานินทา บ้างก็ว่าเธอไม่มีความรับผิดชอบ เอาแต่ใจตัวเอง เห็นแก่ตัว บ้างก็ว่าเธอป่วย และที่ร้ายแรงที่สุดคือ เธอเป็นบ้า...


ถึงอย่างนั้นเธอก็พอใจที่จะซุกตัวเองอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งในห้องของเธอ...


เสียงหมาหมู่ประโคมเห่าหอนกันราวกับว่ามันกำลังเตือนเหล่าผู้คนละแวกนั้นว่า เมื่อได้ยินเสียงพวกข้า โลกนี้ครึ่งซีกกำลังย่างก้าวเข้าสู่ความมืดมิด ความสงัดขับให้เสียงโหยหวนของเจ้าแห่งราตรีเย็นเยียบยิ่งขึ้น

ผู้คนในหมู่บ้านนี้ต่างพากันนินทาว่า เมื่อได้ยินเสียงนี้ มันเป็นสัญญาณที่จะเตือนว่าวิญญาณร้ายจะออกมาอาละวาด หลอกหลอนผู้คนไม่ให้ได้เป็นสุข

และเธอ...ก็ถูกเทรวมลงไปอยู่กับขุมนรกของพวกผีร้ายนั้นด้วยเช่นกัน


หญิงสาวร่างผอมบางวางดินสอจากมือเรียวซีดลงบนกระดาษ ก่อนจะหันไปหยิบกระดาษรายงานที่มุมโต๊ะหนังสืออีกตัวข้างๆ ฉวยปากกาหมึกแห้งสีดำจากที่เสียบปากกามาจรดลงบนกระดาษแผ่นนั้น


3 ธนู 05 คืนที่เหน็บหนาวยังไม่ผ่านพ้น

ถึงเธอ...

วันนี้ฉันปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ไปกับหนังรักเรื่องหนึ่ง ‘What Dream May Come’ ความสมบูรณ์แบบถูกสร้างขึ้นเมื่อเริ่มเรื่อง

เขาและเธอพบรักและแต่งงานกัน ครอบครัวมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งพ่อแม่และลูกๆ

แต่แล้วเหมือนโชคชะตาหรือใครก็ตามที่กำหนดเรื่องราวของพวกเขาขึ้นมา เริ่มเบื่อหน่ายและเลี่ยนกับความหอมหวานของความสุขในชีวิตของพวกเขา

มันราบเรียบเกินไป ไม่มีอะไรให้ตื่นให้หัวใจเต้นเอาเสียเลย ดังนั้นใครคนที่ว่าจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงเรื่องราวให้มีสีสันมากขึ้น

การใช้สีในการสร้างสถานที่ในฝันของคู่รักคู่นั้นเหมือนกับต้องการตอกย้ำถึงความหลากหลายในการใช้สี การใช้สีสดใสมากครั้งทำให้ลืมสีมิดทึบ

เช่นเดียวกับการใช้ชีวิต การใช้ชีวิตให้มีความสุขเกินไปทำให้หลงลืมไปว่าอีกด้านของความสุขนั้นคือความทุกข์ การระเริงสุขมากเกินไปทำให้เราใช้ชีวิตด้วยความประมาท ดังนั้นสิ่งเลวร้ายที่ไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้น

การตายของลูกพวกเขาถือเป็นการเตือนครั้งยิ่งใหญ่ ตามมาด้วยการจากไปของเขา และเธอในเวลาต่อมา ถือเป็นการลงโทษที่ใช้ชีวิตอย่างประมาท และมีความสุขเกินไป ถึงอย่างนั้นครอบครัวของเขาและเธอก็ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

นั้นเพราะความเสียสละ เสียสละความใส่ใจในเรื่องของตัวเอง เพื่อทำความเข้าใจและใส่ใจคนที่ตนรัก
และนั่นเป็นเพียงเรื่องราวในหนังเท่านั้น...


จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองใช้สีอะไรบ้างในการวาดภาพแต่ละครั้ง ฉันอาจจะใช้เพียงสีที่ตัวเองชอบเท่านั้นมันจึงส่งผลให้ฉันจำเจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเท่านั้นที่เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าพิสมัย


แอนนี่ใช้สีฟ้าเทอร์ควอยแต้มสีของดอกไม้ เพราะเธอหลงใหลเฉดนี้ เธอไม่เคยมองออกไปข้างนอกว่าความจริงนั้นมวลดอกไม้ไม่ได้มีเพียงสีฟ้าเท่านั้น หากหลากหลายสีที่แต่งแต้มมันสะท้อนเข้าตาเรา

ดังนั้นจุดจบของเธอคือการปลิดชีวิตของตัวเองเพราะผิดที่ไม่ยอมรับว่าดอกไม้ก็มีสีแดง เหลือง ส้ม ด้วยเช่นกัน
ความเห็นแก่ความหลงใหลของตัวเองทำให้เธอต้องมีจุดจบเช่นนั้น

ฉันอาจจะเป็นเช่นแอนนี่ เลือกใช้เฉพาะสีที่ตัวเองคลั่งไคล้ ฉันอาจจะไม่หยุดลมหายใจนี้ด้วยน้ำมือของตัวเอง เพราะฉันขลาดกว่าแอนนี่นัก

แต่จุดจบของเราคือ การมีชีวิตอยู่ด้วยความโดดเดี่ยว...


แต่ถึงจะต้องเดียวดาย อยู่เพียงลำพังมากเพียงใด ฉันก็จะยังคงใช้เฉพาะสีที่ฉันชอบ ทำเฉพาะสิ่งที่ฉันอยาก รู้จักเฉพาะคนที่ต้องการ และรักเฉพาะคนที่ฉันรัก


แล้วเธอเล่าใช้สีอะไรอยู่ในเวลานี้...


“กลิ่นสีน้ำกำลัง
อบอวลทั่ว
ทั้งห้อง...”
ฉัน...



เมื่อสิ้นสุดบรรทัดในกระดาษ ข้อความที่เธอต้องการสื่อนั้นได้ถ่ายทอดออกไปจากใจแล้ว วางปากกาขณะที่ถอนหายใจ

หลังจากนั้นมือเรียวซีดก็เอื้อมไปเปิดกล่องสีไม้ ข้างในนั้นบรรจุด้วยกระดาษรายงาน กระดาษสมุดบันทึก ที่พับเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าจีบซ้อนกันปึกหนึ่ง

เธอหย่อนกระดาษรายงานเมื่อครู่ที่เพิ่งพับให้เป็นเช่นเดียวกันลงในกล่องสีไม้นั้น หลังจากนั้นกล่องสีไม้จึงถูกปิดและสอดเข้าที่ไว้เช่นเดิม ข้างล่างโต๊ะเขียนหนังสือข้างหน้าต่างนั้น...


เสียงหวีดหวิวของแรงลมดังกลบเสียงโหยหวนของหมู่หมาเจ้าถิ่นและเสียงถ้อยคำนินทาเหล่านั้นซึ่งต่างกำลังหลับใหลอย่างสงบอยู่ในปากของชาวบ้าน

รอเวลาพ่นมันออกมาด้วยสนุกปากในเช้าของวันรุ่งขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืน แสงจากห้องเธอ ยัยแม่มดคนนี้เท่านั้นที่ยังสาดส่อง...


กระชับผ้าพันคอสีฟ้านิ่มนวลขณะที่นั่งตากน้ำค้างอยู่ที่ระเบียงหลังห้องเป็นเวลานาน หลังจากอาบน้ำแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานทั้งวันไม่ได้ทำให้ความง่วงมาเยี่ยมเยือนเมื่อถึงเวลาของมัน

ในขณะที่เจ้าธีรชาน้องชายตัวดีร่ำจะนอนตั้งแต่ตอนนั่งกินข้าวเย็นกัน เจ้าเด็กอนามัย...


หลับตาก้มลงสูดดมเอากลิ่นของผ้าพันคอนั้น...


ในมโนภาพผมเห็นตัวเองกำลังเดินเข้าไปในอุโมงค์อันมืดมิดซึ่งมุ่งหน้าไปยังทางออกอีกด้านที่สว่างไสว สะดุดก้อนหินล้มลงตรงนั้น

เหลียวหลังไปมองหนทางที่จากมา หากพบเจอเพียงความมืดมิด ราวกับว่าอุโมงค์แห่งนี้มีทางออกเพียงทางเดียว ยันตัวเองลุกขึ้น ก้าวเดินไปข้างหน้า อีกไม่ช้าร่างกายจะได้อาบแสง...


“เซ็ง...” น้ำเสียงห้าวดังมากับลม ผมลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพข้างหน้านั้นคือแม่น้ำสีนิล ระยับแสงแดดที่ตกกระทบราวกับ
ใครทำกากเพชรร่วงเปรอะผ้าพลิ้วสีดำ

รู้สึกตัวว่ากำลังนอนหงายอาบแสงแดดฤดูหนาวอยู่ที่ริมแม่น้ำซึ่งมีพื้นที่ลาดชันลงไปยังสายน้ำนั้น กับใครคนหนึ่ง เจ้าของเสียงห้าวที่ได้ยินเมื่อไหร่ราวกับว่าตัวเองกำลังฟังบทเพลงเศร้า ผมจำไม่ได้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้มันอยู่ที่ไหน


ผมเอียงหน้าไปยังร่างที่นอนอยู่ข้างกาย ร่างบางในชุดนักเรียนมัธยมปลายห่อหุ้มด้วยเสื้อพรมสีดำ เปิดซิปให้ตัวเสื้อนักเรียนข้างใน หนอนกองอยู่ข้างกาย

มีเศษหญ้าสีเขียวบนเรือนผมสีดำของเธอ เส้นผมของเธอละเลื่อมเมื่อสะท้อนแสงแดด คิ้วที่หนาได้รูปทั้งสองข้างกำลังยู่เข้าหากัน เธอกำลังหลับตา ขนตาสั้นจัง... ไม่เหมาะกับดวงตากลมโตภายใต้คิ้วนั้นเอาเสียเลย

จมูกเรียวเล็กมีสันกำลังยู่ยับอยู่เหนือริมฝีปากบางที่กำลังโค้งคว่ำด้วยความไม่พอใจ เธอไม่ใส่ต่างหู และนั่นมันทำให้ผมหลงใหล

“เป็นอะไร” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวที่นอนกอดอกอยู่ข้างๆบ่นอุบด้วยท่าทางไม่พอใจ

“ก็คะแนนเคมีร่วงน่ะสิ” เธอยังไม่ลืมตาขณะตอบ

“ได้ไง?” ผมได้ยินเสียงของตัวเองไถ่ถาม

“…” เธอยังคงหลับตาเงียบ สายลมหนาวไหวเรือนผมของเธอเพียงแผ่วเบา

“เอาเวลาไปอ่านหนังสือการ์ตูนหมดล่ะสิ” ผมเหน็บเธอเพราะรู้ว่าเธอคลั่งอ่านหนังสือการ์ตูนมากแค่ไหน

ทันใดนั้นเธอผลุดลุกขึ้นอย่างกระทัน ก่อนจะเอี้ยวตัวไปค้นอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างในกระเป๋านักเรียน ดึงมันออกมาและขว้างมันใส่หน้าผมรุนแรง หลังจากนั้นเธอจึงหุนหันลุกขึ้นเดินหนีไป


ทิ้ง...ผม...ไว้...ตรง...นั้น


ผมไม่ได้ตามเธอไป เพราะรู้ดีว่าเมื่อเธอไม่ต้องการผมก็คือไม่ต้องการ เช่นเดียวกันเมื่อเธอต้องการผมก็หมายความอย่างนั้น เธอคงจะไม่วิ่งหนีไปเช่นที่ทำ เราสองคนคบหากันแบบนี้


เมื่อตั้งสติได้ จึงพยุงตัวลุกขึ้นมาให้ร่างทำมุมตั้งฉากกับพื้นโลก ถึงไม่ตรงเท่าใดนักแต่ก็ไม่ได้ล้มลงอีกครั้ง รู้สึกถึงสัมผัสของเส้นพรมในมือ

เมื่อก้มลงมองสีฟ้าบางนวลทำให้คิ้วของผมยู่เข้าหากัน หยิบมันขึ้นมาในระดับสายตา ผ้าพันคอ... นี่คือสาเหตุหรือ...สาเหตุที่เธอ...เซ็ง


รีบวิ่งตามเธอไป สงสัยคราวนี้เธอคงไม่ได้วิ่งหนีไปเพราะไม่อยากเห็นหน้าผม แต่เพียงเพราะต้องการเห็นผม...ยิ้ม


มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะตามหาเธอ เพราะตั้งแต่รู้จักกับเธอ เธอจะไปอยู่สองที่ นั่นคือคือ ห้องสมุดและริมแม่น้ำ เจอเธอนั่งอยู่ที่ห้องสมุดของโรงเรียน

ที่ไม่เคยเป็นที่ปรารถนาของผมตั้งแต่ไหนแต่ไร จนกระทั่งวันที่เจอเธอ

เธอจองโต๊ะข้างนอกตัวอาคารซึ่งทางโรงเรียนทำเป็นห้องสมุดเปิด เพราะหลังคาปกคลุมไปด้วย เถาวัลย์ของดอกพวงครามสีฟ้าคราม

แผ่นหลังของเธอโค้งงอเล็กน้อย เธอไม่ใช่ผู้หญิงสมบูรณ์แบบที่จะมานั่งตัวตรงขณะที่กำลังทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ อีกอย่างเธอไม่สนว่าใครจะมองว่าเธอนั่งถูกวิธีหรือเปล่า


เมื่อเข้าไปถึงมุมเดิมที่เธอนั่งอยู่ทุกครั้ง ค่อยๆหย่อนก้นลงนั่งตรงข้ามกันกับเธอ คิดว่าน่าจะขออนุญาตเธอก่อนจะนั่งลง ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนเจ้าระเบียบหรือถือเรื่องมารยาท

แต่อย่างน้อยคำขออนุญาตของผมก็น่าจะส่งเสียงให้เธอรู้ว่ามีใครต้องการความสนใจจากเธอ แต่ผมพลาด เธอยังไม่ถอนสายตาออกจากหน้าหนังสือที่เธอกำลังอ่าน อยากรู้นักว่าเจ้าหนังสือตรงหน้าเธอมันน่าสนใจมากกว่าคนเป็นๆที่ตรงไหน

“อะแฮ่ม...” รู้สึกตัวเองปัญญาอ่อนยังไงไม่รู้

ถึงอย่างนั้นเธอยังคงไม่สนใจ ยังเฉยเมยราวกับผมไม่มีตัวตน

“นี่...ทำเองหรือ” ผมยังไม่ละความพยายาม ชูผ้าพันคอสีฟ้าบางตรงหน้าเธอ

แต่เธอก็ยังไม่สน สงสัยว่าตัวเองเป็นวิญญาณหรืออย่างไร แต่เมื่อมองไปที่โต๊ะอื่นผมก็ยังแอบสังเกตเห็นว่าเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนมัธยมต้นยังมองสบตาผมอยู่เลย นั่นแสดงว่าผมยังเป็นที่มองเห็นสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่เธอ...

รวบรวมความกล้าเอื้อมมือไปดึงหนังสือตรงหน้าของเธอลง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่มอง ผมเริ่มหงุดหงิด จึงเอื้อมมือไปประคองใบหน้าของเธอไว้ให้หันมามองเพียงผมเท่านั้น

“จะมองกระผมได้หรือยังครับคุณผู้หญิง” ผมจ้องเธอเขม็งขณะที่กล่าว เธอพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้ใบหน้าของตัวเองหลุดจากการประคองของมือแกร่ง แต่ไม่สำเร็จ จึงหลับตาลง

“ขอบคุณครับ...กระผมชอบมากเลย” ผมยิ้มอย่างอ่อนโยนจ้องเธอไม่วางตา

“อย่าทิ้งนะ ไม่งั้นฉันฆ่าทิ้ง” คำพูดของเธอทำให้ผมยิ้มไปทั้งดวงตา แม้ว่าฟังดูออกจะเป็นคำขู่ก็ตาม


เธอกลับไปอ่านหนังสือของเธอต่อ ในขณะที่ผมยอมแพ้ ถึงแม้ว่าผมอยากจะฉีกทึ้งและเผาหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่ในโลกเพื่อให้เธอหันมาสนใจผมบ้าง แต่ความสุขจากการได้นั่งมองดูเธออ่านหนังสือมันมีค่ามากกว่านั้น...


กลีบดอกพวงครามร่วงลงมาตรงกลางระหว่างเราทั้งสอง เจ้ากลีบสีฟ้าหม่นวางนิ่งอยู่บนโต๊ะราวกับกำลังทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งโลกของผมกับโลกของเธอออกจากกัน

ขณะที่เธอกำลังล่องลอยอยู่ในทะเลตัวหนังสือ ผมกลับดำผุดดำว่าย วนเวียนอยู่กับความรู้สึกบางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นความรู้สึกที่น่ารังเกียจ ความรู้สึกที่ตัวผมเองยังรู้สึกว่า รู้สึกขึ้นมาได้อย่างไร


ความรู้สึกใจหาย หายใจไม่สะดวก หวิวโหวงข้างในช่องท้อง หรือบางครั้ง จู่ๆขนก็ลุกซ่านทั้งร่าง หนาวเหน็บทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า

บางครั้งดวงตากลับร้อนผ่าวด้วยน้ำอุ่นใสจากที่ไหนสักแห่งข้างในร่างกาย อยากรู้นักว่า เวลานี้เธอรู้สึกเช่นไร เป็นอย่างผมบ้างหรือไม่ เกิดรู้สึกไม่มั่นคง โอนเอนลู่ลมเหมือนจะยืนไม่อยู่อย่างผมบ้างหรือเปล่า

หรือตอนนี้เธอจะไม่รับรู้หรือรู้สึกอะไร...เลย


ลมหายใจที่ถูกทอดถอนออกไปกำลังล่องลอยไปปะปนอยู่กับบรรยากาศเบื้องหน้า ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยราวเพิ่งไปวิ่งมาจากที่ไกลแสนไกล การรื้อฟื้นหาตะเข็บของความทรงจำในวันวานมันสูบเอาพลังเกือบทั้งร่างของคนเราไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ


ช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบตัวเองได้ไม่ให้กลับคิดถึงเรื่องราวในวันวาน แม้จะบังคับตัวเองมากแค่ไหน แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ มารู้ตัวอีกที่ตัวเองก็ถูกดูดลงไปในโคลนตมแห่งอดีตเสียแล้ว


ก่อนหน้าที่จะได้รับจดหมายซองสีแดงเหล่านั้น ผมเกือบจะยัดเจ้าความทรงจำในอดีตของตัวเองซุกไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของใจ หมกมันไว้ในพื้นที่ที่มืดมิดที่สุดของใจได้แล้ว แต่ขุ่นตะกอนเหล่านั้นกลับล่องลอยขึ้นมาแขวนลอยอยู่ทั่วหัวใจของเขาอีกครั้ง

ราวกับว่ามันจะไม่มีวันยอมกลับลงไปตกตะกอนอยู่ก้นบึ้งของบึงแห่งความหลังอีก ทุกเม็ดของสิ่งแขวนลอยนั้นกระตุ้นให้คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เหมือนกำลังนับย้อนหลังไปในวันเวลาเหล่านั้น




คิดถึงวันเวลาเหล่านั้น
คิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น
คิดถึงเรื่องที่ทำให้ต้องจากเธอมา
คิดถึงสิ่งที่ทำลงไป
คิดถึงเธอคนนั้น
คิดถึงใบหน้า
คิดถึงดวงตา
คิดถึงริมฝีปาก
คิดถึงรอยยิ้ม
คิดถึงเสียงหัวเราะ
คิดถึงน้ำตาจากการร้องไห้
คิดถึงแววตาที่แสดงถึงความเสียใจ
คิดถึงความหมดสิ้นความเชื่อในตัวผม
คิดถึงวันเวลาและสถานที่ที่นำพาผมและเธอให้มาพบกัน
คิดถึงเธอเหลือเกิน
คิดถึงแทบคลั่ง...



ความรู้สึกเก่าก่อนนั้นที่ว่าเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล้วกลับไม่ได้เสี้ยวของความทรมานในครั้งนี้ เหมือนการอดยาแล้วหวนกลับมาเสพมันอีกครั้ง ความต้องการกลับเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าล้านเท่า

ถึงจะกินอิ่มนอนหลับ มีงานที่รักทำ แต่ในใจยังทรมาน ทรมานเพราะเธอ...เธอคนนั้น

ตกใจเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นที่ดวงตา ไม่ได้ร้องไห้มานานแค่ไหนแล้วนะ ครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้คือวันที่เมาอย่างหมาวันนั้น แต่เวลานั้นผมเสียน้ำตาอย่างไม่มีสติ เพราะปวดหัวแทบระเบิด เพราะครั่นเนื้อครั่นตัว เพราะคลื่นเหียนอยากอาเจียน เพราะความจริงบางอย่างที่ได้รับรู้ผสมกับความทรงจำอันปวดร้าว ทำให้อึดอัดจนต้องปล่อยให้ตัวเองเสียน้ำตา

น้ำตาที่ไหลครั้งนั้นเป็นยานอนหลับที่มีฤทธิ์ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าเจ้าน้ำเจือแอลกอฮอล์ หลับใหลอยู่จวบจนเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นในวันหนึ่ง จากเพื่อนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอมา

วันนั้นเจ้าสันทรายเข้ามาในห้องเพื่อปลุกผมจากนิทราแสนขมเพื่อชวนไปถอน

พยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้น สาเหตุทุกสาเหตุ เหตุผลทุกเหตุผล ความเป็นจริงทุกข้อ เพื่อให้ตัวเองเข้าใจและยอมรับผลลัพธ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้

แต่ที่สุดแล้วไม่ว่าจะยกเรื่องราวแวดล้อม สาเหตุ เหตุผล หรือความเป็นจริงใด ก็ไม่สามารถเปิดกล่องความเข้าใจผมได้ ความคลุมเครือยังคงห่อหุ้มตัวผมอยู่และนับวันเยื่อหุ้มห่อนั้นจะยิ่งหนาตัวขึ้น

สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตที่เคยดำเนินมาจนถึงเวลานี้และกำลังจะดำเนินต่อไปของผมกันแน่ หรือไม่มีเลย ไม่มีข้อสรุปใดเลย...


กว่าจะรู้ตัว ร่างทั้งร่างก็สะอื้นจนตัวโยน กอดผ้าพันคอสีฟ้าบางนั้นไว้แน่น หากผ้าพันคอสามารถเปลี่ยนเป็นเจ้าของของมันได้ก็คงดี เผื่อร่างอันสั่นเทิ้มนี้จะได้มีที่ยึดเกาะกอดไว้บ้าง



ลมหนาวพัดวูบต้องดอกโมกที่ริมระเบียงร่วงหล่นลงสู่ไหล่บางเบา ราวกับมันต้องการตบไหล่เบาๆเพื่อปลอบใจ


ไม่เป็นไร
อย่าเศร้าไปเลย
ไม่เป็นไร
อย่าร้องไห้ไปเลย
ไม่เป็นไร....


-------------------------------------------------


Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2550 9:38:44 น. 0 comments
Counter : 304 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jengkiss4
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
13 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jengkiss4's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.