Bloggang.com : weblog for you and your gang
การรอคอยการถึงของความเจ็บปวดที่แสนสุข
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 2: สิ่งใดที่สำคัญ)
ตอนที่ 2 ต่อเลยแล้วกัน อ่านซ้ำแล้วมันยังรู้สึกแปลกๆอยู่เลย เป็นไงก็ลองอ่านแล้วคอมเม้นด้วยนะจ๊ะ
ความทรงจำสีจาง
ฉบับที่ 2 สิ่งใดที่สำคัญ
ผมเป็นคนย้อนศร....นี้คือนิยามของผมที่เพื่อนร่วมงานในโรงแรมต่างร้อง อ๋อ !!! เจ้าคนย้อนศรน่ะเหรอ ป่านนี่คงนั่งคุยอยู่กับพวกต้นไม้ใบหญ้า
ผมเป็นคนจริงจังกับสิ่งที่รักที่ชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้บางครั้งจะดูเหมือนว่าผมเป็นคนไม่มีหัวใจอย่างที่ใครๆบอกกล่าวว่า คนที่วันเกิดดันไปตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ด้วยแล้ว ยิ่งโดนคาดโทษเพิ่มอีกหลายกระทง
แต่นั่นเป็นเพราะสาเหตุหลายประการควบคู่กันไปด้วย อย่างที่ใครเขาว่า อย่าฟังความข้างเดียวนั่นแหละ
ผมไม่ชอบที่แม่ไม่ยอมอั้นไว้ก่อน ถึงวันที่ 15 แล้วค่อยคลอด หรือไม่ก็เบ่งผมออกมาตั้งแต่วันที่ 13 และนั่นก็เป็นเพียงข้อเสียข้อเดียวที่ผมสามารถหาเจอ
ดูเหมือนว่าทุกคนจะให้ความสำคัญกับวันแห่งความรักนี้อย่างเต็มที่ แล้วยิ่งได้รู้ว่าผมลืมตามาดูโลกในวันแห่งความรักต่างก็พากันอิจฉาตาร้อนกันทั้งนั้น
บางครั้งผมก็หงุดหงิดเกินกว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดว่า ถ้าวันเกิดมันแบ่งให้กันได้เหมือนแบ่งของกินหรือเสื้อผ้า แม้ว่าจะไม่มีใครเอ่ยปากขอ ผมก็จะเต็มอกเต็มใจยกให้เสียเดี๋ยวนั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
แต่ผมยังโชคดีที่ในโลกนี้มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่หลงลืม ไม่สิเธอไม่ได้หลงลืม หากไม่รับรู้การมีอยู่ของวันแห่งความรักอย่างที่คนอื่นเขาเห่อกันต่างหาก
เธอคนนั้น...เธอคนที่มีอิทธิพลต่อผมมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ห้องของผู้จัดการโรงแรมอยู่ข้างในเข้าไปอีก ทางเดินไปสู่ประตูนั้นออกจะอึมครึม สลัว เพราะมีผนังตึกทั้งสองข้างกีดกั้นแสงอาทิตย์จากภายนอกให้สาดแสงเข้ามา แม้แต่รูหรือช่องให้ลำแสงของดวงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามาก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ถึงแม้ว่าสีขาวจะถูกทาทาบลงไปบนเนื้อผนัง หากไม่ได้ช่วยให้มันสว่างขึ้นมากกว่าที่เป็น
เป็นเพราะความไม่ยั้งคิดแท้ๆที่ทำให้ตัวเองต้องมาเดินคอตกไปข้างหน้าอย่างหาหนทางไม่เจอ แต่เมื่อคิดย้อนหลัง ผมกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
ในเมื่อจะเปลี่ยนอยู่แล้วทำไมไม่เอามันไปพักฟื้นที่ไหนสักแห่งแล้วก็เอาต้นใหม่มาใส่ จากนั้นพอต้นนี้มันโทรม เราก็สามารถหมุนเวียนเอาต้นที่เรานำไปพักฟื้นมาตั้งได้ใหม่ ไม่เห็นจะต้องทิ้งไปแบบนี้เลย
ผมเห็นตัวเองยืนกรานคัดค้านกับการโละกระถางต้นไม้ที่ใช้ประดับตามโรงแรม มันเป็นวันที่ฟ้าแจ่มใสมากจนไม่คิดว่าอารมณ์ของตัวเองจะฉุนเฉียวตั้งแต่เช้าได้ถึงเพียงนี้
หรืออาจจะเป็นเพราะบทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อคืนก่อนกระมัง คำพูดเหล่านั้นมันยังคงวิ่งวนชนกำแพงกะโหลกอยู่เนืองๆ
คุณเป็นใครมาเถียงนโยบายการบริหารงานของผม นั่นแหละคนที่พนักงานทั้งโรงแรมเรียกเขาว่า เจ้านาย
ผมไม่ได้หาว่าแผนบริหารของเจ้านายชุ่ยหรอกนะครับ เพียงแต่คิดว่าเราไม่น่าสิ้นเปลืองกับเรื่องแค่นี้เลย ถึงแม้ว่าต้นไม่จะหาซื้อได้ไม่ยากเราก็ไม่ควรจะซื้อพร่ำเพรื่อทั้งๆที่ของเก่าเราก็ยังใช้ได้นะครับ
ผมยังไม่ละความพยายาม พนักงานคนอื่นๆเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นๆก็กรูกันเข้ามาเกาะกลุ่มชะโงกหน้าชะโงกหลังติดตามสถานการณ์อยู่ห่างๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่ถ้าเราทำแบบนั้นเราก็ใช้ของเก่า แล้วอีกอย่างมันก็จะไม่ดึงดูดลูกค้าเพราะไม่มีสิ่งใหม่มาดึงดูด
ผมคิดว่าลูกค้าเราเดินเข้ามาก็ไม่ได้มีจุดหมายจะชื่นชมกับต้นไม้ดอกไม้อยู่แล้วล่ะครับ พวกเขาต้องการที่พักหลับนอนเท่านั้น
อีกอย่างสำหรับแขกที่ต้องการค้างหลายคืนเราก็มีสวนพรรณไม้เตรียมไว้ให้อยู่แล้วทางด้านหลังของตึกโน่น เราไม่จำเป็นต้องรื้อกระถางทั้งหมดไปทิ้งนี่ครับ
อีกอย่างต้นไม้หรือดอกไม้มีความเก่าใหม่ด้วยอย่างนั้นหรือครับ ถ้าเป็นถุงเท้าก็ว่าไปอย่าง ขนาดถุงเท้าไม่มีชีวิตเมื่อเก่ายังสามารถนำไปเป็นผ้าขี้ริ้วได้
แล้วกับต้นไม้ที่มีชีวิต จะไม่มีประโยชน์อะไรหลงเหลืออยู่เลยหรือครับ ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไรลง
ยังไงก็เถอะ คุณไม่มีสิทธิ์จะมาแนะนำชี้ทางผม ชาติ แกรีบโละกระถางที่ล็อบบี้ออกให้หมดแล้วจะเอาไปทิ้งที่ไหนก็ได้ไป!
เจ้านายตะคอกพนักงานคนหนึ่งให้รีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว พนักงานชายร่างผอมกระโดดออกจากที่นั่นด้วยความตื่นตระหนก กลัวตำแหน่งจะหลุดจากหัว ตรงไปยังกองกระถางที่วางระเกะระกะไว้รอการกวาดล้าง
งั้นผมขอซื้อเจ้าต้นไม้พวกนั้นทั้งหมดเลย และผมขอลาออกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป! จำได้ว่าตัวเองตะคอกจบก็สาวเท้าวิ่งไปยังที่ที่พนักงานที่ชื่อชาติคนนั้นกำลังยกเจ้ากระถางต้นโมกต้นสุดท้ายขึ้นรถเตรียมเอาไปกำจัด
เพราะเหตุนี้อย่างไร ผมจึงต้องมาเดินอย่างซากศพหมดอาลัยตายอยากอยู่อย่างนี้
เคาะห้องสามทีตามที่เขียนไว้ในระเบียบร้อยข้อของโรงแรม ความจริงแล้วผมไม่เคยเหลียวมองมันเสียด้วยซ้ำ แต่ที่จำข้อนี้ได้เพราะมีกระดาษระเบียบร้อยข้อแปะอยู่หน้าห้องของท่านเจ้านายนั่นเอง
เข้ามาได้ เสียงส่อถึงพลังอำนาจของผู้นำจนทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะเอื้อมมือไปผลักบานประตูเย็นเฉียบเข้าไปข้างใน
ข้างในนั้นชายวัยกลางคนกำลังนั่งรออยู่ ร่างท้วมรับกับผมแซมเทา มองอย่างไรก็ไม่มีเค้าของคนเจ้าระเบียบ ออกจะเบนไปทางคุณลุงผู้ใจดีเสียมากกว่า แต่ใครจะรู้ ทฤษฎีการมองคนจากโหงเฮ้งใช้ไม่ได้กับชายผู้นี้
ผมกำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับเจ้านายที่ตัวเองบังอาจสามหาวใส่เมื่อวานนี้เอง เจ้านายกำลังเพ่งมองมาที่ผมอย่างเอาจริงเอาจังจนผมต้องก้มต่ำมองป้ายชื่อที่โต๊ะแทน
อิสระพงษ์ ไพศาลวานิชน์
นี้คือสิ่งที่ป้ายชื่อเขียนไว้
แฮงค์มารึไงเรา เขาถามมาจากเก้าอี้หมุนสำหรับนักธุรกิจ จ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง
ก็นิดหน่อยน่ะครับ ก็คนมันตกงานที่ครับ ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องดื่มนมให้ร่างกายแข็งแรงอีกต่อไป ผมกล่าวพลางกลอกตาไปมา
ชายวัยกลางคนยังนั่งนิ่งอย่างใจเย็น ราวกำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กระโจนออกมาซัดปากของลูกน้องตัวดี
นั่งลงก่อนสิ เจ้านายกล่าว ผมสังเกตเห็นเขากัดฟันอย่างรุนแรงขณะที่พูด ผมจึงตัดสินใจตอบไปว่า
คิดว่าไม่ต้องกระมังครับ เพราะยังไงผมก็แค่มารับใบลาออกอย่างเป็นทางการ อีกอย่างการเซ็นเช็คเงินเดือนเดือนสุดท้ายก็คงไม่หนักหนาอะไรสำหรับท่าน และคงใช้เวลาไม่นาน ผมออกจะดื้อดึง ยโส
งั้นก็ได้อยากยืนก็เชิญ เรามองตากัน ต่างฝ่ายต่างเอือมระอา
ผมว่าจะให้คุณทำหน้าที่พักฟื้นเจ้าต้นไม้พวกนั้นน่ะ
ว่าไงนะครับ ไม่ใช่ผมไม่ได้ยินคำพูดของเจ้านายที่กล่าวออกมาเมื่อสักครู่นี้ หากเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่หูของตัวเองได้ยินต่างหาก
อ้าวผมว่าผมพูดภาษาไทยแล้วนะ เจ้านายยังไม่หันมาสบตาผม แต่กำลังควานหาบางสิ่งใต้โต๊ะทำงานของเขา
แต่ว่า แต่ว่า คือ ...ผมไม่รู้ว่าจะต้องพูดว่าอะไรดี ผมตื่นเต้นมากกับสิ่งที่ได้ยิน รู้สึกเหมือนกำลังพูดเรื่องงี่เง่า
เอ้านี่... เขายื่นนามบัตรของใครคนหนึ่งมาให้ตรงหน้า ผมหยิบมันขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาเล็กน้อย
นี่มัน... ไม่อยากจะเชื่อ
ใช่แล้ว มันเป็นร้านต้นไม้ของเพื่อนสนิทของผมน่ะ เขาทำร้านอยู่ใกล้ตึกเรานี่เองลองไปติดต่อดูล่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะเพราะฉันโทร.ไปบอกก่อนแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตายิ้มแป้นราวกับผู้ชายเจ้าระเบียบเมื่อครู่ถูกคุณลุงใจดีเข้ามาสิงห์ร่างแทน
รู้สึกว่าอยากนั่งขึ้นมาหรือยังล่ะ
เจ้านายยิ้มมุมปาก ไม่รู้ว่ามีคนบอกเขาหรือเปล่าว่าวิธีการยิ้มแบบนี้มันทำให้เขาดูเท่ แต่สำหรับผม มันก็เท่นะ แต่ความเท่นั้นออกจะพิลึกหน่อยสำหรับชายคนนี้
เอ่อ...แล้วเรื่องเมื่อวานนี้ล่ะครับ เอ่อคือผมพ่นใส่ท่านขนาดนั้นทำไมไม่โกรธผม แต่กลับหางานให้ผมอีกล่ะครับ
ผมวางก้นลงบนเก้าอี้นุ่มตรงข้ามกับเจ้านายของตัวเองอย่างเลื่อนลอยคล้ายยังเรียกสติสตังกลับมาไม่ได้
ความจริงฉันก็โกรธนายอยู่เหมือนกันแหละ เขาเปลี่ยนสรรพนาม
แต่พอกลับบ้านก็เก็บไปคิดเสียมากมายน่ะ เขาเริ่มเล่าอย่างเนิบ
ฉันเรียนเกษตรพืชไร่มาเหมือนกันนะ แต่การเรียนด้วยความพอใจของตัวเองสำหรับฉันมันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ก็เลยจบลงด้วยการมาทำธุรกิจโรงแรมต่อจากพ่อน่ะ คงเพราะไม่มีความกล้าหาญมากพอ
เขาลุกจากเก้าอี้หันหลังให้ผม หันหน้าเผชิญกับกระจกใส เหม่อมองออกไปข้างนอกนั้นอย่างเลื่อนลอย
รู้สึกว่าเจ้านายของผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว หากกำลังล่องลอยกลับไปยังห้วงอดีต
ก่อนนั้นฉันรักต้นไม้ใบไม้เหมือนนายนี่แหละ ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะคุยกับพ่อว่าไม่อยากทำกิจการโรงแรม แต่อยากมีสวนอะไรก็ได้เป็นของตัวเอง
แต่ผลก็อย่างที่เห็นจนวันนี้นั่นแหละ พ่อไม่เข้าใจฉันหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงอยากจะให้ฉันสืบทอดกิจการโรงแรม แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้น่ะ
ปัญหามันอยู่ที่ช่องว่างระหว่างวัยกระมัง คิดว่าพ่อผ่านยุคสมัยที่สงครามยังเป็นเชื้อโรคที่ร้ายแรงกว่าโรคระบาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปนั้นเพื่อการมีชีวิตรอดจากการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ตัวเองของมนุษย์
ไม่มีการกระทำใดที่ตอบสนองความต้องการของตัวเองจริงๆเลย
ส่วนยุคสมัยของเรามันยุคแห่งการเกิดใหม่ ยุคแห่งศิลปะ บ้านเมืองสงบมากพอที่พวกเราจะใช้เวลายามตื่นขึ้นมาทุกเช้าเพื่อออกตามหาความฝันของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดของชีวิต
แต่เพื่อตอบสนองความรื่นรมย์ในชีวิต ตอบสนองเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเอง
สำหรับฉันแม้ว่าความต้องการในใจจะพยายามฉุดดึงฉันลงไปตอบสนองให้มันมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีก็คอยรบกวนจิตใจเสมอมา
หลังจากที่พ่อตาย ฉันก็เห็นความสำคัญของการสืบต่อกิจการของท่าน ข้อความที่ว่า เราจะมองเห็นความสำคัญของสิ่งๆหนึ่งก็ต่อเมื่อได้สูญเสียมันไปแล้ว มันก็ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบันนี้
แต่จะว่าไปแล้ว บางทีคนเราก็ไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนสำคัญหรือสิ่งไหนไม่สำคัญ
พูดจบเขาก็หันกลับมาหาผมซึ่งยังนั่งก้นรากงอกอยู่อย่างนั้น ฟังด้วยความตั้งใจ พนันได้ว่าถ้าห้องของเจ้านายมีแมลงวัน ป่านนี้มันคงบินเข้าสู่ระบบย่อยอาหารของผมแล้ว
แล้วทำไมท่านถึงให้ผมทำแบบนั้นล่ะครับ ผมนึกขึ้นมาได้ว่าต้องถามอะไรออกไปสักอย่างเพื่อสานต่อบทสนทนา
การชดเชยโอกาสไงล่ะ เขายิ้มด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ผมมองเห็นแววตาแสนเศร้าของเขาที่ส่งผ่านชั้นบรรยากาศมาอย่างตั้งใจ
ฉันเป็นคนอ่อนแอซึ่งต่างกันกับนายที่เข้มแข็ง ยืนกรานในความคิดของตัวเอง ฉันจึงอยากให้นายสืบทอดอุดมการณ์ของฉัน
เขาเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาที่ผมนั่งอยู่ ผมลุกขึ้นยืนเมื่อร่างของเจ้านายเข้ามาใกล้
ได้โปรดเถอะ ช่วยทำให้ความฝันของฉันเป็นความจริงขึ้นมาเสียที เจ้านายเอื้อมมือมาวางลงที่ไหล่ของผม บีบมันแน่น เราทั้งสองมองตากันสักครู่ก่อนที่เจ้านายจะเบนสายตาหนีผมไป
ไม่ต้องห่วงครับเจ้านาย ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด คนกลางวัยไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงแค่ยืนหันหลังให้ผมเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา
งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ ผมลังเลว่าจะพูดอะไรอีกดี พยายามทำน้ำเสียงให้สดใสมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขอบคุณมากนะครับเจ้านาย
ปิดประตูบานนั้นลงเงียบๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องของเจ้านาย
ระหว่างทางเดินนั้น สาบานได้ว่าผมได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากที่ไกลโพ้น...
คนเราเกิดมาเพื่อสิ่งใดกันนะ
มีสิ่งใดบ้างที่คนเราจะต้องฝ่าฟันมันให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ
ความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์วัยจะผุดขึ้นมาในสมองของใคร
คนนั้น...สักกี่ครั้งในรอบวัน
เขาคนนั้นจะเพ้อถึงวันที่ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
ทำเพื่อตัวเองอย่างจริงจังและสำเร็จขึ้นมาได้จริงๆกันใน
ช่วงเวลาใดบ้าง
พันล้านความต้องการของคนเราที่ต้องการนั่งทามแมทชีน
กลับไปยังโลกที่ตัวเองยังอยู่ในวันเยาว์
วัยที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรมากมาย
มีจุดหมายเพียงแค่ลูกโป่งและขนมหวานเท่านั้น
ไม่ต้องมาเสียเวลาทำในสิ่งที่ควรจะทำเพื่อคนอื่น
แต่ตัวผมเองก็เข้าใจดีที่กับสิ่งที่ชายวัยคนนั้น
ที่กำลังพยายามเอาชนะความคิดเห็นแก่ตัวของตัวเองให้ได้
หากความพยายามนั้นจะเป็นเพราะความรู้สึกรัก
หรือว่าความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีกันแน่ที่เป็นเหตุผลที่แท้จริง
ของความพยายามสานต่อความฝันของผู้อื่น
แลกกับการเสียสละความฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง...
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2550 9:28:10 น.
0 comments
Counter : 442 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
jengkiss4
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
Group Blog
โต๊ะเขียนหนังสือข้างหน้าต่าง
ชั้นหนังสือการ์ตูนข้างห้อง
เครื่องพิมพ์ดีดจิ๋วลิ่วกับนิยายน้ำเน่า
เฉดสี
เครื่องชั่งน้ำหนักปิศาจ
YY Source
โดจินชิ
อุ่นรักละมุน
สมุดบันทึกสีฟ้า
แต่งบ้านสวยด้วยผ้าม่าน
<<
กุมภาพันธ์ 2550
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
9 กุมภาพันธ์ 2550
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 2: สิ่งใดที่สำคัญ)
All Blogs
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 8: ดอกไม้บาน)
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 7: ช่วงเวลาแห่งความสุข)
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 6: วานซืน)
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 5: ต้นกล้า)
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 4: ความทรงจำสีฟ้า)
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 3: ข้อความ)
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 2: สิ่งใดที่สำคัญ)
ความทรงจำสีจาง (การมาเยือนของจดหมายสีแดง)
ฉันร่างเธอ 4 (มันเหมือนจะจบแล้วล่ะนะ)
ฉันร่างเธอ 3 (แล้วนะ)
ฉันร่างเธอ 2
ฉันร่างเธอ (เรื่องสั้นเน่าๆ)
Friends' blogs
ดีสุดขั้วชั่วสุดขีด
ปลายปัญญา
หนอนหนังสือตัวเป้ง
cyberx
CleOluS
coolancelot
Overtime
Gogman
Boyne Byron
สายลมอิสระ
แม่สลิ่ม
kisara
Jinsee
ถ่านหินจำศีล
ShioRamen
walkin
กาแฟดำไม่เผ็ด
Crazy Victoria
ลิด้า
hasu*lotus
MR.NIWUT SHOW
สถาปน๊อต
nature-delight
lurano
สมองถั่วเขียว
นางฟ้าของชาลี
tastypastry
breathtakingspeed
ranangmai
Chill up
vr_molecule
Kala-ก้นครัว
lalabel
exdecor
matabamania
amskye
lylinh
littelchaina
Webmaster - BlogGang
[Add jengkiss4's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.