การรอคอยการถึงของความเจ็บปวดที่แสนสุข

ฉันร่างเธอ 4 (มันเหมือนจะจบแล้วล่ะนะ)

เอาล่ะ มาถึงตอนจบเสียทีนะ คิดพล็อตเรื่องนี้หลังจากมีเรื่องทะเลาะตบตีกันกะเจ้านาย 555 เว่อร์ ตอนแรกมันเป็นอีกแบบ แต่พอเขียนไปมันก็เปลี่ยน อีกอย่างตอนนี้เจ้าน่ารักขึ้นเป็นกอง คงแอบรู้สึกถึงรังสีอำมหิต (เขียนงี้ป่าววะ)ของเรา หุหุ

อ่านกันเถอะนะ





4.
หลังจากที่เราแยกกันกลับบ้านเกิดใครบ้านเกิดมันแล้ว เราก็เล่นสลับร่างกันอยู่บ่อย ระหว่างนั้นความคิดหนึ่งได้ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน

มันเป็นความคิดที่ชั่วร้ายที่สุดก็ว่าได้ ยังไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้ แต่ความคิดนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวทั้งๆที่พยายามปัดมันออกไปหลายต่อหลายครั้ง


เมื่อได้เข้าไปอาศัยอยู่ในร่างของปาย ฉันต้องไปอยู่กับครอบครัวของเธอด้วยเช่นกัน ดังนั้นความคิดที่คอยหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นกลับยิ่งแจ่มชัดขึ้นมา เพราะครอบครัวของเธอช่างอบอุ่นนัก

พ่อของเธอเป็นคนสนุกสนานพูดจาขบขัน อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ส่วนแม่ของเธอนั้นไม่เคยขัดเธอไม่ว่าเธอจะทำอะไร มีแต่จะสนับสนุนท่าเดียว คงเป็นเพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว เพราะงั้นเธอถึงได้ในสิ่งที่เธอต้องการ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ฉันเองยังคิดว่า ได้เหรอ ฉัน (ในร่างของปาย) ทำอะไรอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ถ้าเป็นที่บ้านของฉันคงเป็นไปไม่ได้


และในคืนนั้น หลังจากที่นั่งใส่ยาแดงเพราะแผลจากการวิ่งชนเหลี่ยมเสาที่บ้านของปาย ฉันก็ได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง


ฉันรอให้เวลาที่เราจะเปลี่ยนร่างกันมาถึงไม่ได้ เพราะมันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังจะทำในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะคิดทำการใหญ่แบบนี้ มันเสี่ยงมากทีเดียว

“เอาเลยนะ” เสียงใสแจ๋วของปายดังมาจากปลายสายโทรศัพท์มือถือเครื่องสีฟ้า น้ำเสียงของเธอไม่ได้ระแวงอะไรเลย ออกจะตื่นเต้นมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

เราเริ่มขั้นตอนเหมือนเดิม ทำอย่างเดิม แต่รู้สึกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ฉันมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่อยากจะออกจากร่างเดิมของตัวเอง ฉันอยากออกจากร่างนี้ใจแทบขาด ฉันลืมตาในน้ำขณะที่กลั้นลมหายใจ

ความรู้สึกครั้งสุดท้ายคือ รอยยิ้มที่มุมปาก เมื่อเราสลับร่างกันแล้วฉันไม่ขยับตัวไปไหน เอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นแต่ในหัวกำลังคิดอย่างหนักว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร และฉันควรจะดำเนินเรื่องอย่างไรต่อไป


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับสัตว์เลื้อยคลานที่เพิ่งกินเหยื่ออิ่ม มองนาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่ม ฉันยังนั่งอยู่ที่เดิม อากาศข้างภายในห้องเย็นเฉียบ แต่อุณหภูมิในร่างกายของฉันกำลังถึงจุดเดือด

รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมที่แผ่นหลัง เสียงแม่ของปายเรียกให้ลงไปทานข้าวเย็น แต่เมื่อลูกสาวของเธอบอกไปว่าไม่หิว เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับจะเก็บอาหารไว้ให้ในตู้ด้วยซ้ำ

ช่างแสนดีอะไรอย่างนี้ ต่างกันกับแม่ของฉันที่ทุกคนจะต้องพร้อมหน้ากันที่โต๊ะทานข้าวไม่ว่าคนคนนั้นจะหิวหรือไม่ แต่เมื่อถึงเวลาแล้วทุกคนจะต้องกิน

เสียงโทรศัพท์มือถือของปายดังขึ้น เสียงของมันดังกึกก้องเมื่อความเงียบเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเวลานี้

“เอาล่ะถึงเวลาแล้วล่ะ” เสียงฉันนั่นเอง ได้ยินแล้วอยากฆ่าตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ช่างเป็นเสียงที่ปนความหดหู่ได้มากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันไม่ได้ใช้กล่องเสียงปายตอบไป เพราะเธอวางสายก่อนทุกครั้ง

วางโทรศัพท์มือถือของปายไว้ที่เดิมของมัน และนั่งรอ เหลือบไปมองนาฬิกาข้างเตียง เข็มสั้นชี้ตรงไปยังเลข 3

ฉันนั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหนราวกับกลัวว่าวิญญาณของตัวเองจะเลื่อนหลุดออกจากร่างของปาย ในห้องเงียบสงัดราวกับว่าสรรพสิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ล้มหายตายจาก หลงเหลือเพียงฉัน ฉันเท่านั้น...


ฉันเผลอหลับไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ รีบผลุดลุกขึ้นนั่ง เรียบเรียงความทรงจำของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง แต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จำได้รางๆว่าฉันนั่งรออยู่ตรงนั้นทั้งคืน

สักครู่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ฉันลุกจากเตียงอย่างยากลำบาก เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวถูกตะคริวกิน แต่ก็ยังพยายามพยุงร่างของตัวเองไปถึงหน้าประตู


“จ๋าตายแล้วลูก จ๋าฆ่าตัวตาย!” ฉันงงเล็กน้อยเพราะคนที่อยู่ตรงหน้านั้นฉันไม่คุ้น เธอเรียกฉันว่าลูกทั้งๆที่ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเธอเคยเป็นแม่ฉันมาก่อน

“ว่าไงนะคะ!” ฉันทำเสียงตกอกตกใจหลังจากทบทวนความทรงจำถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จ๋าตายแล้ว ตายแล้ว...ฉันตายแล้ว...

จากนั้นฉันก็รีบรุดไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัว แรกๆฉันหยิบเสื้อยืดสีแดง แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาจึงเลื่อนไปหยิบเสื้อสีดำมาใส่ มองตัวเองในกระจก

ไม่รู้ว่าเพราะรีบหรือเพราะเพิ่งตื่นนอนที่ฉันสังเกตเห็นรอยยิ้มอันน่ากลัวของตัวเองปรากฏอยู่บนใบหน้าของปาย เพื่อนรัก...

ขณะนี้เป็นเวลาที่ต้องเคลื่อนศพไปเผา ศพในโลงนั้นเป็นร่างไร้วิญญาณของตัวฉันเอง ผู้คนมากมายกำลังมาร่วมไว้อาลัยกับคนลวงโลกอย่างฉัน จะว่าไปฉันนี่ก็เก่งนะที่สามารถหลอกคนอื่นได้จนกระทั่งชีวิตไม่หลงเหลือวิญญาณ

ผู้คนเหล่านี้ก็ช่างโง่ได้โง่ดี ยังไม่รู้อีกหรือไงว่าตัวเองกำลังถูกหลอก ยังมีหน้ามาร้องไห้เสียใจอีก เลิกเสแสร้งได้แล้วฉันไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว
ฉันทำสำเร็จแล้ว

ฉันได้ทุกอย่างที่เธอมี ปาย ฉันได้ในสิ่งที่ทั้งชีวิตของฉันไม่สามารถมีได้ เห็นสิ่งที่ฉันกล้าทำไหมปาย ฉันไม่เพียงเก่งอย่างเดียวนะ แต่ฉันยังกล้ากว่าเธอเป็นร้อยเท่าพันเท่า ดูไว้และรับรู้ไว้เสีย...


“ระวังหนู!” ฉันหันไปทางเสียงที่ตะโกนตามหลังมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงของแข็งกระทบกับอะไรสักอย่าง มันดังอยู่ใกล้ๆหู แต่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน

จากนั้นโลกก็ดับมืดราวกับใครเผลอไปกดสวิทช์ไฟลง เสียงหวีดหวิวราวกับระเบิดลงเกิดขึ้นชั่วขณะแต่กลับรู้สึกเหมือนชั่วนิรันดร ฉันยกมือป้องหูไว้เพราะเสียงดังจนแสบแก้วหู


“นี่ เอามือออกได้แล้วย่ะ” เสียงสดใสเคยคุ้นดังขึ้นข้างๆ เมื่อหันไป ร่างของปายก็ปรากฏ

“เธอ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ก็เธอ...” ฉันไม่อยากจะเชื่อตาตัวเองที่เห็นร่างโปร่งๆของเพื่อนรักได้อย่างชัดเจน

ปายชี้ไปอีกทาง ฉันมองตามนิ้วของเธอไป เหตุการณ์วุ่นวายอลหม่านเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า

ภาพที่เห็นคือภาพที่คนจำนวนมากกำลังช่วยกันพยุงโลงศพขึ้นเพื่อช่วยสิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้น อะไร...หมาหรือแมว...

“ไม่รู้นะว่าเธอจะทำสำเร็จ แผนเธอแยบยลกว่าฉันอีกแน่ะจ๋า ฉันยกนิ้วให้เลย”

ฉันไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเพื่อนเท่าใดนัก เพราะกำลังพยายามเพ่งดูสิ่งที่อยู่ข้างใต้โลงใบนั้น ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็หามร่างร่างหนึ่งออกมา ร่างของปายนอนแน่นิ่ง เลือดอาบจากหน้าผากและใบหน้า

“ไม่จริง!” ฉันยกมือขึ้นป้องปากตัวเอง น้ำหูน้ำตาหลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้ แต่ฉันไม่ได้สูดกลับคืน กลับปล่อยให้มันไหลออกมาอย่างนั้น

“เธอหมายความว่าไงที่ว่าฉันทำสำเร็จ” ฉันหันมาซักไซ้ปาย

“ก็ไม่มีอะไร ฉันน่ะไม่ได้วิ่งชนผนังบ้านอย่างเราเคยทำมาหรอกนะ เธอก็เหมือนกันไม่ใช่รึไง” เธอยังอุตส่าห์มาแขวะฉันได้นะยัยนี่

“ความจริงแล้วฉันกรีดข้อมือตัวเองน่ะ เจ็บเป็นบ้า ทรมานกว่าจะตายได้ เฮ้อ” เธอทำหน้าราวกับกำลังบ่นเรื่องฝนฟ้าอากาศ

“ทำไม...” ฉันไม่สามารถถามคำถามง่ายๆสั้นๆแบบนั้นออกไปได้ เพราะร่างกายอ่อนแรงแม้แต่จะหายใจ แต่ฉันไม่ต้องหายใจแล้วนี่นะ

“ก็ชีวิตของเธอมันน่าสมเพช น่าจะตายๆไปซะจะได้หมดทุกข์หมดโศก” วิญญาณของเธอเลื่อนลอยห่างออกไป

“เธอน่าจะขอบใจฉันนะ อีกอย่างเราก็หายกันแล้วนี่” เธอทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนที่วิญญาณของเธอจะเลือนหายไปในอากาศ

“โถน่าสงสารที่ต้องมาตายในงานศพของเพื่อนรัก ทั้งสองคนนี่คงเป็นคู่แท้กันจริงๆนะ”


เสียงของใครคนหนึ่งในกลุ่มคนที่มุงดูร่างไร้วิญญาณของฉันดังเพียงแผ่วเบา

สักครู่สรรพเสียงรอบข้างก็คล้ายดังมาจากใต้ท้องน้ำแสนลึก




...............................................

จบแล้วจริงๆนะ เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียนเสร็จง่ะ 555 เขียนเสร็จภายใน 2 วัน ส่วนเรื่องอื่นที่มันไม่เสร็จเพราะว่าดองมันไว้ง่ะ

ยังไงก็นะ เอาเหอะ(ไม่รู้จะว่าไงต่อ) ได้เอามาลงนี่ก็ยังดีกว่ายัดมันไว้ใต้เตียงล่ะ

สู้ๆ




 

Create Date : 28 มกราคม 2550
1 comments
Last Update : 28 มกราคม 2550 10:56:27 น.
Counter : 766 Pageviews.

 

ฮ้า... จบซะและ

ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านนะครับ

แล้วก็...จะรออ่านเรื่องต่อไปอย่างตั้งใจ อิอิ

สู้ ๆ สู้ตาย

 

โดย: ดีสุดขั้วชั่วสุดขีด 28 มกราคม 2550 16:52:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


jengkiss4
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
28 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jengkiss4's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.