Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
27 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 

ใครอยากพูดภาษาอังกฤษก็เข้ามา

บทนำ

ตั้งใจว่าจะเขียนตั้งหลายทีแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักทีวันนี้หลังจากนั่งจับยามสามตาแล้ว พบว่าเป็นเวลาที่เหมาะสุดๆ

อ่านตั้งหลายกระทู้ถามกันจังเลยนะว่าเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนถึงจะดีเรียนอย่างไรถึงจะได้ผล

วันนี้เจ๊ในฐานนะของคนที่สอบตกภาษาอังกฤษอย่างมืออาชีพ ในอดีต แต่ตอนนี้ต้องมาใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน ก็จะมาบอกเล่าวิธีที่เอาตัวรอดมาจนทุกวันนี้ให้ฟังกัน

แต่บอกไว้ก่อนนะว่าเจ๊น่ะไม่ใช่คนที่เก่งกาจอะไรมากมายแค่มาเล่ากลเม็ดนิดหน่อยเท่านั้นเอง อย่าตั้งความหวังมากมาย กับเจ๊

อีกอย่างไม่เคยไปเรียนเมืองนอก ถึงแม้จะบินไปมาหลายประเทศก็ตามแต่ไปช่วงเวลาสั้นๆ ไปทำงานไม่ได้ไปอยู่นะเฟ้ย

พูดมาตั้งมากมายยังไม่ได้เริ่มเลยใช่ไหม

อดใจไว้เดี๋ยวมาต่อ

บทที่ 1 บทเรียนแรก

ให้ลองคิดเล่นๆนะว่าตั้งแต่เกิดมาเราเรียนภาษาไทยกันอย่างไร มีคนมาสอนไหมว่า ประธานกริยากรรม เป็นอย่างไร

คงไม่มี แม่คนไหน สอนว่า ลูกจ๋า คำว่า แม่นี่เป็นประธานนะลูก กิน นี่เป็นกริยานะจ๊

ใช่ไหม ?

แล้วเราเรียนกันอย่างไร

เราเริ่มเรียนกันตรงที่ พวกบรรดาพ่อแม่ คนเลี้ยงต่างๆ พูดกับเรา เรามีหน้าที่ฟังเพราะยังพูดโต้ตอบไม่ได้

แล้วเราค่อยๆพูดตาม

นี่งัย ตรงนี้ที่เขาเคยบอกกันว่าทำไมเด็กหน้าฝรั่งแต่พูดอีสานคล่องจัง
เพราะว่าพี่เลี้ยงเป็นอีสานน่ะสิ เขาพูดกับเด็กมากกว่าที่พ่อแม่เขาพูดกับลูก

ตรงนี้มีทฤษฎีทางภาษาศาสตร์เขาบอกว่า
คนเราจะเรียนรู้สำเนียงภาษาตั้งแต่แรกเกิด ถึงอายุ 3ขวบแต่หลังจากนั้นถึง 5 ขวบเป็นการเรียนรู้ทางด้านไวยากรณ์

ฉะนั้นคนแม่คนพ่อมือใหม่ทั้งหลายอยากให้ลูกเป็นภาษาอะไรก็ให้เขาฟังภาษานั้นๆซะ

เรื่องสอนเด็กเล็กนี่เอาไว้จับยามสามตาคราวหน้าจะมาเล่าให้ฟัง

คราวนี้เอาเด็กโข่งก่อน

จบบทแรกนั่นคือการฟัง ขอเน้นว่าฟังนะยะ ฟังอย่างเดียว ยังไม่ต้องคิดถึงกฎกติกามารยาทในการใช้ ประธาน กริยา กรรม ใดๆ ทั้งสิ้น

แล้วจะเอาอะไรมาฟัง ?

ไม่ยากเลย ใครชอบเพลงก็หาเทปมาสักม้วน ของแนะว่าเริ่มจาก เทปของ Carpenters ก่อน ไม่ได้มา โฆษณาใดๆทั้งสิ้น

ฟังม้วนเดียวก่อน ฟังจนมันยืดไปเลยก็ได้
ฟังบ่อยๆๆ

ส่วนคนที่ชอบดูหนังนะ ก็ ดูสักเรื่อง แต่ไม่แนะนำหนังสงคราม เพราะพวกนี้จะมีศัพท์แสลงเยอะ มือใหม่อย่าเพิ่งซ่าส์ ควรดูหนังง่ายๆ เช่นหนังการ์ตูน ดูมันหลายๆๆรอบ ไม่จำกัดจำนวนรอบ

หรือจะทั้งดูหนังฟังเพลงก็ได้ไม่ว่ากัน
เริ่มตรงนี้ก่อน ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนให้สมองของเรายอมรับภาษาใหม่ๆก่อน

บทที่ 2 ฟังแล้วอย่าอยู่เฉย

พอฟังจนเทปเริ่มยืน หนังเริ่มเปื่อยยุ่ยได้ที่ ก็เริ่มเลย เริ่มพูดตามเหมือนที่ เวลาพ่อกับแม่ลุ้นให้เรียกว่าพ่อกับแม่งัย วิธีนี่เขาก็ใช้สอนพวกนกแก้ว นกขุนทองให้พูดได้ โดยให้พูดตาม

คนที่ฟังเพลงก็ร้องตาม ร้องไปเถอะไม่ต้องสนใจเรื่องคีย์ ไม่ต้องอายเพราะไม่ได้ร้องประกวดกับใครที่ไหน

ขอย้ำว่าอย่าเพิ่งสนใจ ไวยกรณ์ใดๆ ร้องอย่างเดียว

ส่วนพวกที่ดูหนังก็ดูไปแล้วลองพูดตาม แอ็คแบบนั้นเลย ทำเหมือนเราเป็นนักแสดงเอง

อย่างที่บอก ฟังแล้วพูดตาม จำไว้ ช่วงเวลาตรงนี้แลหะสำคัญมาก เพราะอะไรเหรอ ก้เพราะว่า เราจะได้เรียนรู้ถึงสำเนียงของเขา

เราพูดตามเขาเรื่อยๆ กฎกติกามารยาทต่างๆ เกี่ยวกับไวย์กรก็จะเข้าสู้สมองเราโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ต้องเสียเวลาท่องให้เหนื่อยมากมาย

บทที่ 3
ตอนนี้ฟังกับพูดตามแล้ว ที่จริงแค่นี้ก็สามารถพูดได้แล้ว เหมือนที่พวกโรงเรียนสอนขับรถยังที่บอกว่า 10 ชั่วโมงก็ขับรถได้ แต่ไม่ได้บอกว่าขับได้แบบไหน ขับแล้วไปชนคนตายเลยหรือป่าว

เพื่อเพิ่มความมั่นใจและทักษะในการฟัง

นั่นคือเรียนการออกเสียงแบบที่ถูกต้องเหมือนที่เราเข้าโรงเรียน คุณครูจะสอนการออกเสียง ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก พร้อมทั้งสระ

เช่นเดียวกัน ภาษาอังกฤษก็มี เหมือนกัน เจ้า24 ตัวนี่ เขา แบ่งเป็นเสียงสระ กับพยัญชนะ

ตรงนี้อยากให้ลองไปซื้อหนังสือที่ราม เป็นของรามคำแหงเลย ราคาไม่แพง ประมาณ 30-40 บาท

คนที่ไม่ใช่นักศึกษาก็ซื้อได้ ชื่อรหัส EN 203 การออกเสียงภาษาอังกฤษ


บทที่ 4

หนังสือเล่มที่บอกนี่ เขามีเทปประกอบด้วย แต่ต้องเป็นเด็กรามเท่านั้น ก็ไม่ยากให้หาเด็กรามสักคน คิดว่าคงไม่ยากนะ เด็กรามมีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ให้เขาไปที่ห้องสมุดกลางชั้นลอย เอาเทปเปล่าประมาณ 3-4 ม้วน ความยาว 60 นาที

หน้ารามมีขายตรึม

ถ้าสุดความสามารถ ไม่อยากคบกับเด็กราก็ใช้วิธี หาเพื่อนชาวต่างชาติให้อ่านออกเสียงให้ฟังทีละตัว

แต่บอกก่อนนะว่า ควรหาชาวอเมริกัน เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นแนวทางการออกเสียงของอเมริกัน

ภาคแรก เรื่องเสียสระกับพยัญชนะ ซึ่งจะจะมีคำให้ฝึกออกด้วย

ภาคที่สองรู้สึกว่าจะเป็นประโยค

คือเวลาเราออกเสียงเป็นคำที่มีพยางค์เดียว ก็ออกแบบหนึ่ง แต่พอมามี สองพยางค์ จะมีการเน้นหนักที่ต่างกัน เรียกว่า Stress

ภาษาอังกฤษจะให้ความสำคัญกับการเน้นหนัก ( Stress) มาก ถ้าออกเสียงผิดก็จะเป็นคนละความหมายไปเลย

พอเอาแต่ละคำมารวมกัน เสียงสระที่เคยออกเมื่อครั้งที่เป็นเสียงพยางค์เดียวก็จะเปลี่ยนไป

และเมื่อเอามารวมเป็นประโยค การออกเสียงก็ต่างไปอีกนิดหนึ่ง เพราะเริ่มมี intronation ของเสียง นั่นคือมีระดับเสียงในประโยค คล้ายๆร้องเพลง

จำที่บอกได้ไหมว่าใครที่ดูหนังให้เลียนแบบแอ็คติ่งด้วย

ประโยคแบ่งออกเป็น ประโยคคำถาม บอกเล่า พวกนี้แหละเสียงต่างกัน

เช่นคำถาม ถ้ามีขึ้นต้นด้วย Who what where when why How อออกเสียงเหมือนประโยคบอกเล่า

แต่ถ้าเอาประโยคบอกเล่ามาทำเป็นประโยคคำถาม ก็ง่ายบอกแค่ทำเสียงสูง ในตอนท้ายของประโยคก็พอ

ต่อมาประโยค tag question พวกนี้ต้องขึ้นเสียงสูงตอนจบ

แล้วประโยคที่เอา กริยาช่วยพวก verb to be , to do , to have พวกนี้มาขึ้นประโยค ตอนจบก็ะต้องขึ้นเสียงสูงด้วย

เห็นไหมว่า ทำไมต้องเริ่มจากฟังเยอะๆก่อน

บทที่ 5

การเรียนภาษาอังกฤษที่ดี เวลาออกเสียงต้องใส่จริตนิดหนึ่งไม่ต้องสนใจใครมาว่าเราดัดจริต

อย่าลืมว่าเรากำลังหัดพูดภาษาคนอื่นไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่เรา ต้องเลียนแบบเขา

ภาษาไทยเราน่ะ ออกเสียงเรียบๆ

ถ้าอยากจะพูดได้ดี อย่าได้เอาธรรมชาติภาษาไทยไปรวมกับธรรมชาติภาษาอังกฤษ

เรากินข้าวฝรั่งมันกินขนมปัง

แต่ไม่ต้องถึงขั้นเปลี่ยนจากกินข้างมากินขนมปังหลอกนะมันไม่ได้ช่วยให้พูดภาษาได้ดีขึ้น มีแต่จะอ้วนขึ้น นะจ๊ะ ขอบอก

อย่างที่บอก จริต คือการใส่ Intonation นั่นเอง

ตอนนี้พอเราเริ่มรู้เรื่องการออกเสียงแล้ว เราก็เริ่มลงมืออ่านได้แล้วล่ะ


บทที่ 6

การอ่าน เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วมานั่งเปิดดิก ตลอดเวลา

อยากเริ่มอ่านจากนิทานเด็กๆก่อน เอาเรื่องที่เรารู้เรื่องแล้วก็ได้

ตรงนี้จะต่างจากบทที่ 1-2 ที่ไม่ต้องรู้ความหมายก่อน

คือถ้าเรารู้เรื่องทำให้เราอยากอ่านมันต่อไม่รู้สึกท้อที่ต้องเปิดดิก ตลอดเวลา

การอ่านนี่จะทำให้เราได้เรียนรู้ถึงGrammar โดยไม่ยากเลย เพราะถ้าเราอ่านเยอะ เราจะได้เจอสำนวนเยอะขึ้น

เราไม่จำเป็นต้องมาท่องว่า หลังคำนี้ต้องตามด้วยอะไร เพราะเราเห็นบ่อยๆนั่นเอง

พอเราเริ่มอ่านจากการ์ตูนเด็กๆ นิทาน ก็ค่อยเริ่มความยากขึ้นมาเรื่อยๆ

แล้วจะมาแนะวิธีอ่านในบทต่อไป

บทที่ 7

การอ่านนั้นไม่ใช่เรื่องยากหากรู้ เทคนิคเล็กน้อยจะทำให้การอ่านเข้าใจได้ง่าย
ที่จริงเราควรรู้เรื่องการเขียนก่อน เพราะถ้าเรารู้ว่าเขาเขียนอย่างไร จะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นในการอ่าน

ก็ขอแนะนำหนังสือรามอีกนั่นแหละ ก็ไมรู้ว่าจะแนะนำหนังสืออื่นทำไม ก็เป็นเด็กรามนี่หว่า
พูดแบบน้อยใจนิดๆ มีแต่คนมาว่าเด็กรามภาษาอังกฤษห่วย

ยังไม่ได้บอกเลยใช่ไหมว่า หนังสืออะไร
EN 202 เป็นวิธีการเขียน

ในนั้นจะบอกว่า การเขียนควรเริ่มหัดเขียน 1ย่อหน้า

ในแต่ละประโยค มีสัญลักษณ์อะไรในการขยายความหมาย ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น

บทที่ 8

ต่อจากบทที่แล้วที่ให้เรียนรู้วิธีการเขียน ไม่ใช่อะไรหรอก เพียงแต่อยากให้รู้โครงสร้างว่าเขาเขียนกันอย่างไร เวลาเราอ่านจะได้เข้าใจได้ง่ายบางทีไม่ต้องอ่านทั้งหน้าก็ได้

ที่จริงวิธีนี้จะช่วยให้ทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้ดี โดยเฉพาะ ตอนที่อ่านเอาเรื่อง เขามักจะถามว่าศัพท์ตัวนี้หมายถึงอะไร ประโยคนี้หมายถึงอะไร

หรือคำ นี้แทนอะไร ซึ่งจะมีสัญลักษณ์ต่างๆบอกไว้

เช่นเราต้องการอ่านข่าว เราควรจะรู้ว่า อ่านแค่ ย่อหน้าแรกก็พอ เพราะ ข่าวเวลาเขียนจะต่างจากงานเขียนอื่นๆที่สรุปตอนท้าย แต่ข่าวจะสรุปตั้งแต่ต้น เลยว่า Who what where when why how.

เพราะนั่นคือหลักการเขียนข่าว

พูดถึงข่าวมักจะบอกให้อ่านทางหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ อยากจะบอกว่า น่าจะเริ่มจาก student weekly หรือ Nation Junior ก่อน เพราะศัพท์ไม่ยาก

อย่างที่บอกอย่าเพิ่งรีบร้อนเรียนภาษาต้องค่อยเป็นค่อยไป

การอ่านนี่ควรอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ป้ายร้าน หรือ วิธีใช้ข้างขวด ฝึกให้คล่อง
อ่านให้มากแล้วทั้งศัพท์ และ Grammar จะหลั่งไหลเจ้าสู้คลั่งสมองเองแหละ

จบวิธีการอ่านเท่านี้ก่อนนะ

บทที่ 9

จำได้ไหมที่บอกว่าให้ ฟัง พูด อ่านแล้วจึงเขียน

ที่นี้การเขียนนี่ก็มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งข้าพเจ้าจนปัญญา จริงๆเพราะกำลังเรียนรู้อยู่เหมือนกัน

ฉะนั้น บทนี้จึงจบแบบสั้นๆ อย่างนี้เลยละกัน
ใครอยากพูดภาษาอังกฤษก็เข้ามา บทที่10

อยากจะบอกและตอกย้ำว่า ควรเริ่มที่การฟัง แล้วพูดตาม

แต่จะให้ดี ควรเรียนการออกเสียงเป็น ตัวๆ ก่อน เช่น A B C พวกนี้ออกเสียงอย่างไร

ที่สำคัญ อย่าเอาหนังสือมาอ่านต้องมีเสียงของเจ้าของภาษานั้นๆด้วย

เวลาที่หาเจ้าของภาษามา ต้องดูด้วยว่าหนังสือที่เรามีอยู่นี่ เป็นสำเนียงอะไร อเมริกัน หรือว่าอังกฤษ เพราะจะออกเสียงต่างกันในบางตัว

และที่สำคัญอีกอย่างคือต้องหาคนที่พูดได้มาตรฐาน ไม่ใช่เอาคนภาคใต้มาสอนพูดกลาง สำเนียงมันจะแปร่งๆ

แล้วที่มีโรงเรียนบางแห่งบอกว่า ให้เด็กจินตนาการเสียงเอาเองบ้าง เจ๊ว่ามันบ้ามากๆๆ การเรียนภาษาคือการเลียนแบบ ไม่ใช่เรียนศิลปะ จะได้มาใช้จิตนาการ

เพราะอย่างนี้งัย พวกตลกที่ชอบเลียนแบบเขาเลยเรียนรู้ภาษาได้ง่าย

อ้อที่สำคัญสุดๆๆก็คืออย่าได้คิดเรียนภาษาคนเดียว ควรหนีบเพื่อนไปด้วยสักคนเอาไว้ ฝึกกันเอง

เช่นคุยโทรศัพท์ ด้วยกัน

ไม่ต้องห่วงเรื่องGrammar มากมายนักเวลาพูด เริ่มจากที่สื่อให้เข้าใจก่อน เช่นศัพท์บางคำมันยากนักก็ใช้วิธีเอาศัพท์ที่ง่ายๆมาอธิบาย เหมือนใบ้คำแบบมาตามนัดงัยล่ะ
ส่วนเรื่องที่กลัวกันอีกอย่างคือ Tense อย่าเพิ่งกังวล พูด ผิดๆถูกๆ ก็พูดไป แต่คอยหัดฟังเวลาที่เขาตอบกลับมา พูดบ่อยก็จะเริ่มรู้ว่าเขาใช้กันอย่างไร

เขาไม่ได้เรียกว่าหน้าด้าน แต่เขาบอกว่าอย่าเขินหรืออายเวลาหัดภาษา

พอแล้วดีกว่า 10 บทก็พอ มากกว่านี้ เดี๋ยวครูเคท หาว่ามาแย่งลูกศิษย์




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2548
10 comments
Last Update : 28 ธันวาคม 2548 1:55:44 น.
Counter : 1551 Pageviews.

 


 

โดย: wbj 29 ธันวาคม 2548 9:22:44 น.  

 

โห.. ชอบแบบนี้จังค่ะ
เราก็เป็นคนหนึ่งที่พูดไม่ค่อยได้
หูก็ไม่ค่อยกระดิก ต้องคอยให้ฝรั่งข้างๆพูดบ่อยๆ ว่ามันพูดอะไรของมัน
แต่เราก็ตอบภาษาไทยนะ ก็เลยไม่ได้ฝึกเท่าไหร่
กลัวพูดผิด.. อายชาวบ้านเค้าน่ะ

 

โดย: iToon IP: 61.90.146.66 30 ธันวาคม 2548 21:21:50 น.  

 

like u, im a regular visitor of khun wisarut's posts. no bloody thing to do tonight. kinda bored.
made a right decision to visit ur blog.
good advice for beginners.
im now also learning a new langauge (can't go by speaking english all the time. where i live people speak some english but dont wanna show too much degree of ignorance by refusing to learn the langauge the majority speak.) and will try to follow ur advice

 

โดย: pasyuterrynak IP: 84.57.178.106 8 มกราคม 2549 2:18:39 น.  

 

ขอบคุณมากครับ
จักลองนำไปใช้

 

โดย: Wall(kennetto) IP: 202.91.23.1 11 มกราคม 2549 9:32:47 น.  

 

เห็นด้วยทุกประการค่ะ ทำงี้มาแต่เด็ก พอเข้ารร.ครูสอนให้จำหลักไวยากรณ์ ไม่เคยจำได้ แต่ก็ไม่เคยผิด เพราะพูดไปตามความเคยชิน สบายสมองไปเลย อิอิ

ยิ่งด้วยกับที่บอกว่า จะพูดภาษาอังกฤษต้องกระแดะ
ครูที่สอนออกเสียง กรอกข้อความนี้เข้าหัวแต่เด็กเลยค่ะ
สำเนียงชัดแจ๋ว ครูที่สอนอยู่นึกว่ามาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว ความจริงปีเดียวเอง ฮี่ๆ

 

โดย: ไข่หวาน (ทะเลหวาน ) 21 มกราคม 2549 0:55:10 น.  

 

ข้าน้อยขอคารวะท่านพี่เอ็นจัง!!

ปล. ทำงานกับฝรั่งมานานเหมือนกัน ป่านนี้ก็ยังไม่รู้ไวยากรณ์มันสักที พูดเข้าใจก็เอาละฟะ

 

โดย: ธามาดา IP: 210.246.67.45 22 มกราคม 2549 14:49:52 น.  

 

จะพยายามทำตามข้อแนะนำนะคะ เพราะวิธีการน่าสนใจมาก ถ้าฝึกตามบ่อยๆ น่าจะเก่งเหมือนคุณเอ็น เจ้าของบล็อค อิอิ

 

โดย: เอ๋ (aee_sas ) 11 มีนาคม 2549 17:03:33 น.  

 

อยากได้เบอร์พี่จังเลยอยากถามเรื่องภาษา

 

โดย: จอย IP: 124.120.209.144 20 ตุลาคม 2550 23:14:59 น.  

 

อยากได้เบอร์พี่จังเลยอยากถามเรื่องภาษา

 

โดย: จอย IP: 124.120.209.144 20 ตุลาคม 2550 23:15:39 น.  

 

อยากได้เบอร์ของพี่ เพือได้ถามเรืองของภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น มีปัณหาอะไรไม่ต้องยุ้งย

 

โดย: hazwanee samoh IP: 58.64.74.194 5 เมษายน 2551 19:52:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


เอ็นจัง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add เอ็นจัง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.