ยินดึต้อนรับ สู่ ขีวิต ความคิด และตัวตน ของคนผมขาว

ผมขาว
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





คนผมขาว ชื่อจริง ดวงตา ถาวรรัตน์ เป็นคนไม่สำคัญ คนหนึ่ง ผมขาวแล้ว แต่ไม่ยอมย้อมให้ดำเหมือนอีกหลายคนเพื่อนๆ เลยแซวว่า ยายผมขาว แต่ก็ชอบ

ด้วยวัยเข้ากลางคนมาได้ 49 ปีเศษ แล้ว ผ่านร้อนผ่าน
หนาวมาพอสมควร เฉียดตายก็หลายครั้ง

เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ครั้งหนึ่ง
ป่วย ครรภ์เป้นพิษ ชนิดรุนแรง เมื่อ ตั้งครรภ์ ลูกทั้ง สองคน อีกครั้ง สองครั้ง

มีลูกพิการด้านสายตา 1 คน คือ น้องโรส ไช้ชื่อที่นี่ว่า คนตาพิการ

จึงอยากจะบอก เล่า อะไรต่อมิอะไร ที่ได้ประสบมา ทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว และการทำงาน มุมมองของชีวิต ให้เพื่อนพ้อง น้องพี่ได้ฟัง ก่อนจะแยกย้ายกันไป


e mail คุยกับ ผมขาว












free counter
Send Flowers

Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
29 พฤศจิกายน 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ผมขาว's blog to your web]
Links
 

 
ช่วงชีวิตวัยเยาว์ ถีงปัจจุบัน

วันแรกเข้าโรงเรียน
เดือนหก (เดือนพฤษภาคม) ปี พ.ศ. 2506 พ่อพาไปฝากเรียนก่อนเกณฑ์ กับครูใหญ่ที่โรงเรียนใกล้บ้าน ครูใหญ่ไม่อยากรับเพราะเห็นว่า ตัวเล็กและอายุยังไม่ถึง 7 ขวบ พ่ออ้อนวอนครูใหญ่ อ้อนวอนว่าลูกอยากเรียน ลูกอ่านหนังสือได้แล้ว ครูใหญ่ จึงยอมให้เรียน แต่ให้ไปนั่งเรียนในชั้น ก. (หมายถึง อนุบาล)

เรียนชั้น ก.อยู่หลายวันครูเห็นว่า อ่านหนังสือคล่องจริงๆ ก็ให้ขึ้นไปเรียนอยู่ชั้น ป .1 สมัยนั้นการเขียนจะยังเขียนบนกระดานชนวนอยู่ ต่อมาจึงเปลี่ยนมาใช้ สมุดดินสอ ด้วยความชอบเป็นพิเศษที่ ชอบอ่านหนังสือที่แม่สอนตอนเช้าทุกๆวัน พอสอบปลายปี ก็ได้ที่ 2 เป็นความดีใจสูง สุด ภูมิใจตัวเองมา>ก

พอขึ้นชั้น ป. 2 สอบปลายปีได้ที่ 3 พอจบ ป.3 ก็ได้ที่ 2 อีก พี่ชายคนโตเมื่อเห็น แววทางสติปัญญาของน้อง ก็มองเห็นอนาคตของน้องว่า ถ้ายังเรียนอยู่ในชนบทต่อไป น้องก็คงเรียนจบเพียงชั้น ป.4 เหมือนคนอื่นๆ

สมัยนั้น พี่ชายเป็นครูโรงเรียนราษฎร์ อยู่ที่จังหวัดยะลา พี่ชายจึงมารับน้องไปเรียนต่อชั้น ป.4 ที่โรงเรียนในจังหวัด ยะลา

ชีวิตที่ ยะลา
ไปอยู่กับพี่ชายเมื่ออายุได้ 9 ปี อยู่ชั้น ป.4 ได้กลับบ้านมาเยี่ยมบ้านที่ชนบท ปีละ ครั้ง พี่ฝากเพื่อนที่รู้จักกันกลับบ้านบ้าง ให้นั่งรถไฟ ไป กลับบ้านเองบ้าง

โดยลงรถไฟ ที่อำเภอชะอวด แล้วนั่งเรือยนต์ จากอำเภอชะอวด ไปถึงหมู่บ้านที่ชื่อว่า บ้านทวยเทพ ใช้เวลานั่งเรือ ประมาณ 4 ชั่วโมง

บ้านเมืองสมัยนั้น ไม่มีโจรผู้ร้าย หรือผู้ก่อการร้าย ไปใหนมาใหนไม่น่ากลัว และเราเองเมื่อตอนก่อนวัยเรียน ก็เคยนั่งเรือยนต์จากบ้านไปซื้อผลไม้ จากอำเภอ ปากพนัง มาขายที่บ้าน

นั่งเรือไปกลับร่วม 4 - 5 ชั่วโมง แต่ค่าโดยสาร ไม่ต้องเสียเพราะเขาเห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆ การเรียนรู้ที่จะทำมาหากิน ช่วยแม่ตั้งแต่แด็กๆนี่แหละ ที่ทำให้เมื่อโตขึ้น จึงรู้ค่าของเงินว่า
กว่าจะได้มา แสนลำบาก

เมื่อมีตลาดนัดหมู่บ้านในวันพฤหัส แม่ก็ต้มข้าวโพดให้ไปขาย ช่วยแม่ขายขนม จีนบ้าง ขายถั่วต้มบ้าง นี่แหละจึงทำให้คิดเลขเป็น เพราะต้องทอนเงินให้กับคนซื้อจึง ต้องคิด คิด และ คิด สมองต้องใช้งานอยู่เรื่อย
ถ้าคิดผิด ทอนเงินผิด ก็ขาดทุน

ชั้นประถมปีที่ 4 ที่จังหวัด ยะลา
ผจญความยุ่งยากใจหลายอย่าง เช่น
ห่างไกลจากแม่ คิดถึงแม่ เคยเป็นลูกสาวคนเดียว ลูกสุดท้องที่ไม่เคยจากอ้อมอกแม่
ลูกใจหาย แม่ก็ใจหาย

แต่ก็ได้พี่ชายที่รักน้อง คอยดูแล ช่วยเหลือ
อยู่ห้องพักเล็กๆในโรงเรียน นอนด้วยกัน กินด้วยกัน พี่ชายเงินเดือนนิดเดียว ปลาย เดือนก็ไม่พอใช้จ่าย เราก็อยู่กันอย่างประหยัดๆ
ซักผ้าเอง สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง

หนักใจเรื่องการพูด ไม่ค่อยพูดเพราะพูดภาษากลางไม่ค่อยเป็น เนื่องจากเมื่อตอนที่อยู่ชนบท พูดกันแต่ภาษาถิ่น คือภาษาใต้ (แหลงใต้) ตลอดมา

หนักใจเรื่องการเรียน เพราะเขาเรียนภาษาอังกฤษกัน เราไม่เคยเรียนเลย เลยไม่รู้เรื่อง พอตอนสอบปลายปีจึงได้ที่ 9 ก็ยังดีนะ ก็เรียนเรื่อยมา จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ 7 ในสมัยนั้น อายุได้12 ปี แล้ว

ชีวิตที่ จังหวัดยะลาในสมัยนั้น ชอบไปเที่ยวที่สวนสาธารณะของเทศบาลในวันหยุดเป็นประจำ

ไปคนเดียว นั่งรถโดยสารไป จ่ายเงินบ้าง ไม่จ่ายเงินบ้าง บางครั้งกระ เป๋ารถก็ไม่เก็บเงิน เพราะบางคันเขารู้จัก เห็นไปเที่ยวอยู่บ่อยๆ

ชอบดูหนังอินเดียเป็นชีวิตจิตใจ ดูที่ โรงภาพยนตร์ ลูน่า โรงภาพยนตร์คิงส์ เกือบทุก เสาร์-อาทิตย์ เรากินอาหารแบบผูกข้าวปิ่นโต แต่ไปกินที่ร้านอาหารอิสลาม เพราะมีลูกหลานเจ้าของบ้านเป็นเพื่อน คือ หลี และ หลัน อาหารก็เลือกกินแต่เนื้อทอด ไม่กินผัก

เมื่อเรียนชั้น มัธยม 1 -2- 3
พี่ชายย้ายมาอยู่บ้านเช่าห้องแถวใกล้กับโรงยาง ห้องเช่าชั้นครึ่ง มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มีครัวเป็นของตัวอง ห้องเช่าสมัยนั้น เดือนละ 200 บาท

ถ้ามีเงินก็นั่งรถยนต์โดยสารไปโรงเรียน แต่ถ้าวันไหนไม่มีเงิน ก็เดินเอา ใช้เวลาเดินประมาณ ครึ่งชั่วโมง

ตอนนั้นไม่มีเงินซื้อข้าวเที่ยงหรอก ก็อดข้าวเที่ยงทุกวัน เลยต้องเอาหนังสือขึ้น มาอ่าน ชีวิตเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ แต่ก็ได้เป็นนักกีฬาวิ่งเร็วของโรงเรียน นะ เป็นความ ภาคภูมิใจมากในตอนนั้น เพราะก็เป็นเด็กที่เติบโตมาจากบ้านนอกไงล่ะ

เมื่อตอนเป็นเด็กเล็กๆ แม่พาเดินไปเยี่ยมญาติ ซึ่งอยู่กันคนละหมู่บ้านอยู่บ่อยๆ เดินกันเป็นครึ่งวันทีเดียว เดินไม่ไหว แม่ก็อุ้ม พอแม่เหนื่อย แม่ก็ให้เดินเอง กล้ามเนื้อขาก็เลยแข็งแรง

เมื่อเป็นนักเรียน ก็เรียนได้ดี
เมื่อเป็นนักกีฬา ก็วิ่งได้เก่ง

พอเปลี่ยนโรงเรียนจากมัธยมต้น เป็นมัธยมปลาย ม.ศ. 4 – 5 จึงถูกคัดเลือกให้เรียนต่อ เป็นนักเรียนดีเด่น ไม่ต้องสอบเข้า โดยเข้าเรียนที่ โรงเรียนคณะราษฎร์บำรุง

เมื่อเรียน มัธยมศึกษาที่ 4 – 5
เป็นลูกศิษย์ ของ อาจารย์ ไพจิตร นุ้ยจันทร์ เป็นนักเรียนดีเด่นของสายชั้น
สอบได้ที่ 1
ได้รับการประกาศหน้าเสาธงด้วย ดีใจมาก แต่ก็ได้รับการประกาศที่หน้าเสา ธงอีกเรื่องหนึ่ง คือ
ไม่มีเงินเสียค่าเทอม

ตอนนั้น โรงเรียนไม่มีทุนเรียนดี แต่ยากจนให้ สุดท้ายก็ได้เงินไปเสียค่าเทอมนั่นแหละ แต่ก็ช้าหน่อย เพราะภาระค่าใช้จ่ายทั้งหลาย อยู่ที่พี่ชายหมด
ทั้งค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่ารองเท้า กระเป๋า หนังสือ อีกจิปาถะ

เรื่องเรียนพิเศษนั้น ในชีวิตไม่เคยได้เรียน อิจฉาเขานะที่เพื่อนๆขี่จักรยานไปเรียนพิเศษกับอาจารย์ที่เก่งๆ แต่เราไม่มีโอกาส ก็ต้องขวนขวายด้วยตัวเอง กระหายที่จะเรียน ได้ตั้งเป้าให้กับตัวเองว่า จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
และแล้วเมื่อจบ ม.ศ. 5 วันนั้นก็มาถึงจริงๆ
ประกาศผลการสอบเข้า เลือก อันดับ 1 คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ( มหาวิทยาลัยเพื่อชนชั้นของเรา ผู้ยากไร้เช่นเรา ลูกชาวนาชายขอบ เช่นเรา )
สอบเข้าได้เป็นอันดับที่ 30 ยังจำได้อย่างแม่นยำ ดีใจมากๆด้วย

พี่ชายสุดที่รัก ได้เดินทางไปส่งน้อง พาไปฝากกับญาติ อยู่ที่กรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี เรียนที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

เรียนที่ ธรรมศาสตร์ก็ได้อะไรต่อมิอะไรมามากมายในช่วงระยะเวลา 3 ปีครึ่งนั้น

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ที่ประทับใจ

การรับน้องใหม่
พี่ๆชาวใต้ในธรรมศาสตร์ ชมรม โดม – ทักษิณ เป็นเสมือนบ้านของเรา เพราะ เราเข้าไปได้เพียงหนึ่งเดียว จะรู้สึก เหงา เหงา เหงา ไม่มีเพื่อนร่วมโรงเรียนเดิมเลย

ชีวิตในกรุงเทพฯ ต้องปรับตัวอย่างหนัก รถราก็เยอะ ตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมด ผู้คนก็เต็มไปหมด

ต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เพราะถ้าสายก็ขึ้นรถเมล์ไม่ทัน รถเต็ม แต่ด้วยสายสัมพันธ์ การต้อนรับเพื่อนใหม่ของรุ่นพี่ที่ค่ายลูกเสือสาริกา จังหวัดนครนายก ทำให้เรา ได้พี่ๆ ที่ดีๆมากมาย
เราจึงอยู่กรุงเทพฯ อย่างเติมเต็ม มีความสุขจากการเรียน การใช้ชีวิตยามว่าง กับเพื่อนๆ ที่
ชมรม โดม – ทักษิณ

เมื่อเรียน ชั้นปีที่ 1 ในสมัยนั้น การเรียนอิสรเสรีมาก รวมทั้งการแต่งกาย เครื่อง แบบบ้าง ไม่เครื่องแบบบ้าง ชีวิตต้องดูแลตัวเองอย่างอิสระตลอดเวลา
แต่ความรับผิด ชอบเรื่องการเรียนก็อยู่ในระดับดี ตลอดมา เพราะ
เงินจากน้ำพัก น้ำแรงจากความยากลำบากนั้น หาไม่ได้ง่ายๆ

พี่ชาย 2 คน ช่วยกันส่ง ให้เป็นรายเดือน และเป็นค่าหน่วยกิต เป็นครั้งคราว รายรับสมัยนั้นได้เดือนละ 500 บาท ช่วยเสียค่าน้ำ ค่าไฟญาติ 100 บาท ที่เหลือ 400 บาท ต่อเดือน เป็นค่ารถ และค่ากิน ซึ่งเงินจำนวนเพียงน้อยนิดนั้น มันก็ไม่ค่อยพอ

ดังนั้นช่วง เวลาหลังเลิกเรียน ก็จะไปรับจ้างทำงานห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ได้ค่าจ่าง ชั่วโมงละ 1.50 บาท ก็ได้กำไรชีวิต เพราะ ทำงานห้องสมุด
ก็ได้มีโอกาสอ่านหนังสือมากมายที่มีคุณค่าทางความคิด

เข้าร่วมกิจกรรมค่ายชนบท
เมื่อตอนที่เรียนอยู่ ในชั้น ปีที่ 1 พอช่วงปิดเทอม ซัมเมอร์ นักศึกษาสมัยนั้น จะมีทางเลือก 2 ทาง คือ

ไปทำกิจกรรม ทำร่วมกับเพื่อนๆในชมรม ซึ่งมีอยู่หลายชมรมมาก แล้วแต่ว่าเราชอบกิจกรรมอะไร ก็ไปสมัครเป็นสมาชิกของชมรมนั้น เช่น
ชมรมอาสาพัฒนาชนบท
ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ
ชมรม โดม-ทักษิณ
ชมรมชาวเหนือ ฯลฯ
ชมรมเหล่านี้ พอถึงช่วงซัมเมอร์ ก็จะมีกิจกรรมให้สมาชิกได้ทำกัน ส่วนมากก็ออกไปข้างนอกมหาวิทยาลัย ไปสัมผัสชิวิตนอกห้องเรียน และ ถ้าไม่ไปทำกิจกรรม อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ

ลงทะเบียนเรียนต่อ ช่วงซัมเมอร์จะเป็นการแก้ วิชาที่ยังไม่ผ่านเสียเป็นส่วนมาก

ในตอนนั้น ชมรม-โดม ทักษิณ มีกิจกรรมออกค่ายชนบท ณ บ้านค่ายไทย จังหวัดพัทลุง เพื่อนๆในชมรมได้จัดงานหาทุน โดยจัดให้มีการต่อยมวยที่สนามมวยราชดำเนิน ได้เงินมาหลักหมื่นเหมือนกัน เมื่อถึงตอนปิดเทอม จึงได้นำเงินไปออกทำงานค่าย ที่จัง หวัดพัทลุง โดยไปช่วยกันสร้างโรงเรียนให้แก่เด็กชนบทที่ยากจน

เราจะรู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม ก็ที่นี้แหละ มีการใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้าน ( ข้อนี้ เราจะได้เปรียบมาก เพราะแทบไม่ต้องปรับตัวเลย ) ชาวบ้านชมว่า นักศึกษาคนนี้ ทำตัวเหมือนชาวบ้านเปี้ยบเลย
ก็จะไม่เหมือนได้อย่างไรล่ะคะ ก็ขอยืมผ้าถุงลายไทยเก่าๆของ แม่ไปใช้ นุ่งผ้าถุงตลอด ใส่เสื้อผ้าฝ้าย แขนกระ บอก รูดซิบที่คอ เสื้อผ้าก็สีหม่นๆ สลับกลุ่มกันทำงาน

เป็นคนหุงข้าว ทำกับข้าวบ้างละ ไปขนดิน ขนทรายบ้าง ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันไปทำงานเรื่อยๆ หลายหน้าที่ แต่ก่อนนอนทุกคืน ก็ต้องมีการสรุปงานที่ทำ จนกระ ทั่งอาคารเรียนเสร็จ ที่สำคัญมากก็คือ

มีชาวบ้านมาร่วม ช่วยกันทำงานตลอดจนเสร็จ จะว่าไป พวกเราเองก็เป็นเพียงลูกมือที่ดี เท่านั้น
หลังจากเสร็จกิจกรรมแล้ว ก็มาเรียนต่อ

ชีวิตในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 2
ลงทะเบียนวันแรก โอ้โฮ แก่งแย่งกันชุลมุน วุ่นวาย เราถอยหลังออกมาดู เขาแย่งกัน ลงทะเบียนอย่างสงบ เยือกเย็น เพราะได้ผ่านกิจกรรมการใช้แรงงาน จาก งานค่าย

ที่นั่น เราได้บทเรียนของ ความสงบ เยือกเย็น จากการใช้ชีวิตรวมกลุ่ม ช่วยกันทำงานเพื่อชาวบ้านชนบท ได้พลังรักจากเพื่อนๆ ซึ่งมีให้เห็นกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยเอาเปรียบกันว่า

เธอเป็นชาย ฉันเป็นหญิง ทุกคนมีแต่คำว่า เพื่อน และ การให้เกียรติกัน การร่วมกันปรึกษา ทั้งเรื่องส่วนตัว และ งานสร้างอาคารเรียน

การเรียนในมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ในสมัยนั้น ไม่เหมือนในปัจจุบัน ในสมัยนั้น ทุกคนที่สอบเข้ามาจะยังไม่แยกคณะ การสอบเข้าจะมีการสอบเพียง 3 อย่าง คือ สายวิทย์ สายศิลป และสายทั่วไป คือ มธ. 1, มธ.2 และ มธ.3

เมื่อสอบผ่านเข้ามาได้แล้วในปีที่ 1 ทุกคนจะเรียน วิชาที่เรียกกันว่า วิชา พื้นฐาน ซึ่งมีหลายวิชา เช่น ปรัชญา พื้นฐานสังคม การปกครอง ภาษา พื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์

เป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาทีสอบเข้ามาได้ ได้ตัดสินใจว่า ตนเอง ถนัดในสาขาวิชาคณะใด มากที่สุด ก่อนที่จะมีการเลือกคณะเรียนจริงๆ และเปิดโอกาสให้นักศึกษาใหม่ ได้พบกับรุ่นพี่ๆ ได้สอบถามเรื่องการเรียนในแต่ละคณะ รวมทั้งโอกาสในการประกอบอาชีพ เมื่อเรียนจบออกไป แล้วจึงค่อยเลือกคณะในปีการศึกษาที่ 2

ซึ่ง ฉันก็ได้เลือกเรียน ในคณะ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ทำไมจึงเลือกเรียนที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ก็เพราะอยากที่จะจบออกมา รับใช้ ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส บุคคลชายขอบของสังคมที่มีอยู่เต็มไปหมดในสังคม ซึ่งเราได้ประสบมากับตนเองโดยตรงมาอย่างชำนาญ
จนชำนาญคะ

6 ตุลาคม 2519
ปีนี้ อายุได้ 19 ปี บ้านเมืองประชาธิปไตยเบ่งบานมาก จนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง มีการปราบปรามนักศึกษา ประชาชนอย่างโหดร้าย ทารุณ นองเลือด
ก็รอดชีวิตมาได้อย่างน่าอเนจอนาถ ถูกกระทืบด้วยรองเท้าทหารเสียหลายที โชคดีที่หมดแรง เลยถูกเขี่ยไปกองอยู่กับคนไข้หนัก เพราะเมื่อคลานหลบระเบิดเข้าไปอยู่ใต้ตึก คณะบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีใครไม่รู้ ถูกยิงเลือดไหลไม่หยุดลงบนหลังของเรา อุ่นๆ เปียกโชกไปหมด

เพื่อนคนนั้นจะอยู่ หรือตายไปแล้วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีเพื่อนที่ดีๆ ตายไปตั้งหลายคน และอีกหลายคนก็ เข้าป่าไป

หลังเหตุการณ์บ้านเมืองสงบลง เราก็เรียนต่อ ด้วยบรรยากาศ เหงาๆ เศร้ามากจากการสูญเสีย เพื่อนๆ ที่ดีๆ
ตึก อาคารเรียน ถูกทำลายไปหลายหลัง เรียนไปด้วยหัวใจที่ ร้าวราน จน... จบการศึกษาปริญญาตรี ด้วยคำขวัญ

ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะ ธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน

3ปีครึ่ง ของการค้นหาความหมาย ของการศึกษา และการนำมาใช้ทำงาน มีอาจารย์ในดวงใจ 1 คน คือ พี่ตั๊ก รักมาก ถึงแม้ว่า หลังจากจบแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกเลย ด้วยคำสอนที่กินใจ

ที่ให้ความรัก, ความเอาใจใส่แก่เธอ ก็เพื่อที่จะสอนให้เธอรู้จัก รักผู้อื่น ต่อ ต่อ ไป เพื่อช่วยกันสร้างสังคมที่ดีงาม

ความรัก และ การแต่งงาน
ชีวิตความรัก ก็มีทั้งสมหวัง และ ผิดหวัง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ของปุถุชน ไม่มีใครสมหวังตลอดไป และก็ไม่มีใครผิดหวังตลอดไป เช่นกัน
แต่ถ้าจัดการเรื่องความรักไม่ดี ก็จะเกิดปัญหากับตัวเอง ครอบครัว และสังคมต่อไป

ความผิดหวัง เป็นรากฐานที่ดีของ ความสมหวัง
ใครที่อกหักก็ไม่ต้องเสียใจมากให้ถือว่าเป็นโชคดี
เพราะจะมีภูมิต้านทานทางใจ เป็นอย่างดีสำหรับตัวเอง
สลัดทิ้งความทุกข์ ให้ความสุขสดชื่นเข้ามาแทนที่
ดูแลร่างกาย และจิตใจ ให้ดี
สนใจตัวเอง รักตัวเราเอง

สร้างฐานะด้วยตัวของเราเองให้มั่นคง
พึ่งตนเองได้ เยียวยาหัวใจของเราให้ดี
ความรักนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องของวิธีคิด
และความรู้สึกที่อ่อนโยน
ที่มีให้กัน

มีแต่ทัศนความรักที่ถูกต้องเท่านั้น จึงจะพาชีวิตคู่ให้ไปอย่างราบรื่น และตลอดรอดฝั่ง
แล้วมันเป็นอย่างไร? ที่เรียกว่า ทัศนความรักที่ถูกต้อง

การแต่งงาน
เราตัดสินใจแต่งงานเมื่ออายุ 29 ปี 11 เดือน ขณะนั้นสามีอายุได้ 33 ปี เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย
แต่ไม่เคยเป็นแฟนกัน
เรามีพื้นฐานของความเป็นเพื่อนกันมานาน มีภูมิลำเนาอยู่ใกล้กัน แต่คนละฝั่งคลอง พ่อแม่ทั้งสองรู้จักกัน ด้วยการศึกษาที่ใกล้เคียงกัน วิธีคิดที่คล้ายกัน อายุที่ใกล้ เคียงกัน พ่อ-แม่ รู้จักกัน จึงเป็นการง่ายที่เราทั้งสองคน จะตัดสินใจแต่งงานกัน ท่ามกลางความสุขของเราทั้งสองคน และความยินดีของ พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง เพื่อนฝูงจากต่างจังหวัด

ความสุขที่ได้พบเพื่อนหลายๆคนที่ไม่ได้คาดฝันว่าจะได้พบ ได้เจอ หลังจากที่ห่างหายกันไปเมื่อจบการศึกษา มันเป็นความทรงจำที่ดีเหลือเกิน

วันนั้น ในวันแต่งงานที่จังหวัดนครนายก เราโชคดีเหลือเกิน เราไม่มีความรู้สึกเหนื่อยเลย ทั้งงานที่จัดให้ โดย พ่อ แม่ พี่ๆที่ภูมิลำเนาเดิม และงานที่เพื่อนๆจัดให้ ที่ต่าง จังหวัดที่ทำงาน

เพื่อนๆอันเป็นที่รักทุกคน ยังอยู่ในใจของเราตลอดมา บางคนในที่นี้ ที่อยากเอ่ยนามถึง คือ

พี่แดง ตุ๋ม พี่ เพื่อนที่แสนดี ที่คอยเป็นที่ปรึกษาทุกเรื่อง และทุกครั้ง ที่มีปัญหา ยุ่งยากใจ และเพื่อนที่อยู่ในหัวใจ ตลอดกาล

นะติ๋มนะ ช่างเป็นเพื่อนเพื่อนแท้ ที่มีความรู้สึกที่ดีให้กันตลอดกาล
ทรงโปรด ด้วย

ชีวิตคู่
การใช้ชีวิตคู่ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ ซึ่งกันและกัน ฉันต้องการอะไร เธอต้องการอะไร แทบไม่ต้องบอกกล่าวกัน เพราะเรายอมรับกันตั้งแต่แรกแล้วว่า เธอมีข้อบกพร่องอะไร
บอกให้ทราบ เรายอมรับข้อบกพร่อง ซึ่งกันและกันได้ เป็นอย่างดี

แต่ชีวิต ของเราเองก็ต้องเจ็บปวดอีกครั้ง เมื่อตั้งครรภ์

เราป่วยเป็น โรคครรภ์เป็นพิษ ชนิดรุนแรงเสียด้วย
เป็นอาการที่ไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหมอเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง

ร่างกายจะสะสมน้ำไว้ในเซลล์ ตลอดเวลา จะมีอาการบวม เนื่องจากเซลล์ในร่างกายมิได้คายน้ำออกมา ร่างกายจึงเหมือนกับบวมน้ำ เอามือกดลงไปตรงไหน ก็จะบุ๋มลงไปตรงนั้น จ ะ มีอาการความดันโลหิตสูง สูงมากๆ ถ้าร่างกายทนต่อภาวะนี้ไม่ไหว เส้นเลือดในสมองก็จะแตก

ถูกส่งตัวมาผ่าตัด คลอดที่โรงพยาบาลราชวิถี ผ่าท้องก่อนกำหนดเมื่ออายุครรภ์ ได้ 7 เดือน เนื่องจากร่างกายของเรา ไม่สามารถที่จะทนต่อความดันสูงได้อีกต่อไปแล้ว หมอบอกว่า ถ้าหากเลยเวลาไปอีกนิดเดียว เราจะมีอาการ เส้นเลือดในสมองแตก อย่างดีที่สุด ก็คือ
นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตลอดกาล

ลูกตาพิการ
ลูกน้อยๆของเรา ตัวเล็กมาก มีน้ำหนักเพียง 900 กรัมเท่านั้น แม่เองก็อยู่ในสภาพ ที่ย่ำแย่ ได้แต่ส่งกระแสจิตไปยังลูกน้อย ให้มีชีวิตรอด ปลอดภัย จะอย่างไรก็ตาม แม่ก็รักลูก แม่ต้องการลูก ลูกสู้ ลูกสู้ได้ ลูกมีชีวิตรอดอยู่ได้ และด้วยการช่วยกันดูแลเป็นอย่างดี ของคุณหมอที่โรงพยาบาลเด็ก กรุงเทพฯ ลูกจึงมีชีวิตรอดมาได้
แต่ลูกพิการ ตาบอด

ตาด้านขวาบอดสนิท เส้นประสาทถูก ออกซิเจนทำลายจนหมด แต่ด้านซ้าย มีเส้นประสาทเหลืออยู่นิดเดียว ที่ด้านล่างของลูกตาเท่านั้น สามารถมองเห็นเพียง 6 – 8 นิ้ว โดยประมาณ
สามี เป็นสุดยอดของกำลังใจ
แต่ในภาวะของคนที่เหมือนใกล้ตาย เราก็ได้รับสิ่งที่ดีๆมากมาย จากเพื่อนฝูง ใกล้ชิด หมุนเวียนกันมาเยี่ยมไม่ขาดสาย อบอุ่นเหลือเกิน กำลังใจทั้งหลายได้ช่วยเยียว ยาให้เราทั้งสองคน เข้มแข็ง

ลูกพิการเพียงตาเท่านั้น แต่เขามีสมอง และสองมือ ด้วยความรักของเราทั้งสองคนนี้แหละ ที่จะช่วยเหลือลูก เลี้ยงลูกให้มีความสุข มีความมั่นใจที่จะยังชีวิต ต่อสู้ต่อไปในสังคม


วางแผนการเลี้ยงลูก

เมื่อทราบว่าเรามีลูกตาพิการนั้นเราไม่มีความรู้เรื่องการช่วยเหลือบุคคล ตาพิการการมากนัก สามีนั้น หลับตาก็เห็นคนตาบอด เดินขอทานอยู่ตามถนนเท่านั้น เคยคิดแต่ว่าเป็นเรื่องไกลตัว
ไม่ใช่เรา
จึงไม่ได้หาความรู้ ไม่ทราบว่าเขาจะมีวิถีการดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะอยู่ให้ได้ใน สังคมนี้

แต่เมื่อเรามีลูกพิการ มันก็กลายเป็นเรื่อง ใกล้ตัว ก็เริ่มที่จะหาความรู้ อ่านหนังสือ ไปพบผู้คนที่พิการ ขอความรู้ถึงวิธีการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง และ มาได้ข้อสรุปว่า
คุณพ่อ คุณแม่ คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะอยู่กับลูกพิการ เพราะเรามีสัมผัสรักให้ ลูกอย่างต่อเนื่อง

ได้ศึกษาถึงวิธีการเลี้ยงลูกตาบอดจากโรงเรียนคนตาบอดกรุงเทพฯ แล้วเราก็ไม่เคยคิดที่จะจ้างใครมาเลี้ยงดูลูกตาบอดเหมือนกัน
คุณพ่อออกจากงานประจำซึ่งเป็นงานธุรกิจโรงแรม โรงแรมเชอราตัน กรุงเทพฯ
คุณแม่ทำงานเป็นข้าราชการ เป็นนักสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาล มาไซ้ชีวิตอย่างพอเพียง

คุณพ่อทำธุรกิจส่วนตัว 2-3 ปี ร่วมกับพี่ชาย ปลูกบ้านได้ 1 หลังที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พออยู่กันได้สบายๆปลูกต้นไม้เล็ก ไม้ใหญ่ ไม้หอม ให้ความร่มรื่นแก่บ้านได้เป็นอย่างดี
คุณพ่อพาลูกไปฝึกทักษะ ขอคำแนะนำจากศูนย์แรกเริ่มสำหรับเด็กตาบอด ของ ดร.เบญจา ชลธานนท์ ในสมัยนั้น แล้วมีคุณครูติดตาม มาเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด 2 – 3 ครั้ง

ลูกก็น่ารักขึ้นเรื่อยๆ ช่างพูด สดชื่น ความจำดี มีความรู้สึกสัมผัสไว เป็นเด็กที่มีความสุข ในอ้อมกอดของเราทั้งสองคน

ส่งลูก เตรียมความพร้อม

อีก 6 ปีต่อมา เราก็ให้กำเนิดบุตร คนที่ 2 ครั้งนี้ ร่างกายก็มีภาวะของ ครรภ์เป็นพิษเหมือนครั้งแรก แต่น้ำหนักของคนที่ 2 นี้ หนักกว่าคนแรก ( 1300 กรัม ) และมีอายุครรภ์ได้ถึง 8 เดือน จึงทำให้เด็กปลอดภัยจากการพิการทางสายตา
ซึ่งเราก็เครียดไม่น้อยเลยเช่นกัน

แต่หายเครียด เพราะมีเพื่อนๆ พี่ๆที่ผูกพันคอยช่วยเหลือหลายคน คอยดูแลเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าจะเอ่ยขอบคุณอย่างไรดี กับ หยวด พี่ตื้อ พี่บล พี่ขวัญ น้องแป๋ว เพ็ญ พร และอีกหลายคนที่ไม่ได้กล่าวถึง โดยเฉพาะ คุณหมออารีรัตน์ ที่ปิดคลีนิค เพื่อมาทำคลอด ช่วยชีวิตเรา ช่วยให้ลูกอยู่รอด ปลอดภัย เป็นความรู้สึกโล่ง อันยิ่งใหญ่ ที่ได้รอดชีวิตมาได้อีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาชีวิตในช่วงนี้ เป็นระยะเวลาที่ลูกคนเล็ก อายุ ได้ 1 ปี และคนโตมีอายุได้ 7 ปีแล้ว ต้องเข้าเรียนในสถานเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กตาบอด คือต้องฝึกหัดการอ่าน และทักษะการเขียน อักษรเบรลล์ และฝึก การช่วยเหลือตนเอง เมื่อเข้าไปเรียนร่วมกับเด็กปกติ ในโรงเรียนปกติ ที่เรียกว่า เรียนร่วม

สถานที่เตรียมความพร้อมนั้น อยู่ไกลอีกจังหวัดหนึ่ง คืออยู่ที่ อ. หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ห่างไปอีกประมาณ 200 กิโลเมตร จึงเป็นภาระของสามี ที่จะต้องพาลูกคนโตไปเช่าบ้านอยู่ที่ อ.หาดใหญ่ สงขลา คอยเลี้ยงดู รับ ส่ง ที่โน่น

สามีต้อง ขับรถไปตั้งแต่เช้ามืด ( ประมาณ ตี 3 ) ของวันจันทร์ ไปเช่าบ้านเอง เลี้ยงลูกเองทุกอย่าง คุณแม่ ก็เลี้ยงลูกคนเล็กอยู่ที่บ้าน อยู่กับ พ่อเฒ่า อีก 1 คน เพราะ แม่เฒ่าเสียชีวิตไปได้ 5 ปีแล้ว หลังจากช่วยเลี้ยงดู ลูกคนโตอยู่ได้ 10 เดือน แม่จึงจากเราไปเมื่ออายุได้ 73 ปี

ชีวิตของเรา ตอนแยกกันอยู่กับสามีนั้น เหมือนอยู่ในมรสุมของการต่อสู้ชีวิต มีภาวะเครียดจากการทำงาน ต้องเลี้ยงลูกน้อยคนเล็ก แต่เพียงลำพัง ไม่มีผู้ช่วยเหลือ

กลางวันทำงาน กลางคืน ลูกกินนมแม่ (ลูกไม่ยอมกินนมผง) อดนอน วันแล้ว วันเล่า ความเครียดมันเต็มไปหมด น้ำตาไหล ครั้งแล้ว ครั้งเล่า มีลูกแนบอยู่กับอกแทบตลอดเวลาที่บ้าน ตื่นเช้าเดินทาง โดยรถโดยสาร 2 แถว ถึงที่ทำงาน เดินอีก 10 – 15 นาที ส่งลูกเลี้ยงที่ เนอรสเซอรี่ ของโรงพยาบาล
ตอนเย็นเดินไปรับลูกกลับบ้าน

แต่ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อย ที่เป็นแม่เดี่ยวเลี้ยงลูกนี้ ชีวิตเราก็โชคดีอีกที่มีพี่สุดที่รักอีกคนหนึ่ง คือ
พี่ บล ( อุบล ) ที่ได้ช่วยเหลือ รับ แม่ ลูกกลับบ้าน ในตอนเย็น ทุกวัน

พี่บล เป็นคนที่มีจิตใจดีมาก มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นบุคคลดีเด่น ตัวอย่างในหัวใจของเราเสมอมา

ประสพอุบัติเหตุ รถชนกัน

ปลายเดือน ธันวาคม 2542 สามียังคงเดินทางไป กลับระหว่างจังหวัดทุกอาทิตย์ เราจะมีความสุข อยู่กันพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก กันได้ เพียง 2 วันเท่านั้น
คือวันเสาร์ และ วันอาทิตย์

ลูกคนเล็ก เหงา รอพ่อ
ขณะที่ลูกคนโต อยากหาแม่
พี่น้อง มีความสุขเมื่อได้พบ กัน
แต่จะเหงา ทุกวันจันทร์
เมื่อพ่อ พาพี่ขับรถออกจากบ้านไป....

เป็นอย่างนี้อยู่ 2 ปี ก็เกิดอุบัติเหตุ
รถชนกัน 3 คัน ระหว่างที่สามีเดินทางกลับมาบ้าน รถของเรา เป็นรถคันกลาง สูญเสียแต่ทรัพย์สิน คือรถ แต่ชีวิตของสามี และลูก ก็คลาดแคล้วมาได้

ทั้งพ่อ ทั้งลูกปลอดภัย รถพังยับเยิน เป็นรถเก๋ง ยี่ห้อ นิสสัน รุ่น เซดริค หลายคน เห็นสภาพรถแล้ว ก็ให้สงสัยว่ารอดชีวิต ไม่บุบสลายมาได้อย่างไรกัน

แต่ก็ช่างมันเถอะ ช่างใช้เวลาซ่อมประมาณ 5 เดือนก็เสร็จเรียบร้อย ที่เสร็จ หมายถึง ต้องซื้อท่อนหลังของรถรุ่นเดียวกัน มาตัดต่อเอา ของเดิมใช้ไม่ได้ ยับเยินเกินกว่าจะซ่อมแซมใหว

ทุกข์ครั้งนี้ ก็คลี่คลายเพราะเพื่อนอีกนั่นแหละ
พี่ชาติ ที่เคารพ
คุณน้อย ภรรยาพี่ชาติที่แสนดี
ก็ได้ช่วยเหลือ ดูแล อำนวยความสะดวก ที่ทำให้ ภาระที่หนัก กลายเป็นภาระที่เบา ขึ้นมาก

มีเพื่อนฝูง อายุ 40ขึ้น โสดสนิททัวร์ ได้บังเอิญเดินทางมาเยี่ยมที่บ้าน หลังจากที่รถชนกันได้ 1 คืน
นอนคุยกัน ลูกๆประทับใจ เจ๊ เจ๊ ทุกคน หาก เจ๊ เจ๊ ได้รับรู้ตรงนี้ ครอบครัวเรายังระลึกถึงอยู่เสมอ นะจ๊ะ
ความทุกข์หายวับไปกับตา เมื่อเพื่อนๆมาสร้าง มาให้กำลังใจกันมากมาย

มาถึงตรงนี้ ก็ได้รับบทเรียนของความรู้สึกของการสูญเสีย จากอุบัติเหตุรถ
คนอื่นๆก็คงเหมือนเรานี่แหละ
แต่เราอาจจะโชคดีกว่า ตรงที่
ชีวิตไม่ได้สูญหายไปอย่างกะทันหัน เหมือนอีกหลายคน
ครั้งนี้ รอด ใช่ว่าครั้งต่อไป จะรอดอีกเช่นกัน

ย้าย ที่ทำงาน มาอยู่ครอบครัวเดียวอีกครั้งหนึ่ง
ช่วงชีวิตคนหนึ่งๆ มีเรื่องผกผันมากมาย
หลังจากทำงานอยู่ที่นครศรีธรรมราชอยู่เวลาหนึ่ง ด้วยความที่ สามีต้องเดินทางไปกลับทุกอาทิตย์ ทำให้คิดว่า น่าจะเป็นการดีกว่า ถ้าหากว่าเราจะได้ย้ายไปทำงานที่ จังหวัดสงขลาเสียเลย จะได้ไม่ต้องเดินทางมากมายอย่างนี้

จึงได้นำเรื่องไปปรึกษากับหัวหน้างาน
หัวหน้างานท่านเห็นด้วย จึงได้ทำเรื่องย้าย มาเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ประจำโรงพยาบาลสงขลา จังหวัดสงขลา

ชีวิตดีขึ้นมาก ได้อยู่พร้อมหน้า พร้อมตา พ่อ แม่ ลูก กันทุกวันอีกครั้งหนึ่ง ไปไหนมาไหนด้วยกัน นอนด้วยกัน ช่วยกันเลี้ยงลูก เช้าแม่ไปทำงาน คุณพ่อพาลูก 2 คนไปโรงเรียน ตอนเย็น แม่กลับจากทำงาน คุณพ่อพาลูกไปรอรับแม่ที่ปากซอยเข้าบ้านเช่า มีความสุขมาก

ย้ายที่อยู่อีกครั้งหนึ่ง จากอำเภอหาดใหญ่ มาที่ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เพราะลูกคนโต ต้องมาเข้าเรียนที่ โรงเรียนสาธิตของสถาบันราชภัฏสงขลา
ครั้งนี้ย้ายมาพักที่ บ้านพักของข้าราชการ โรงพยาบาลสงขลา หลังจากที่ต้องเช่าบ้านอยู่นานประมาณ 1 ปี เราประหยัดค่าเช่าบ้านไปได้ เดือนละร่วม 3000 บาท ทีเดียว

ลูกทั้งสองคน ได้เรียนหนังสืออย่างมีความสุข ได้พบหน้า พ่อ แม่ ทุกวัน ต่อมาพ่อเฒ่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ ก็รับเอาพ่อเฒ่ามาอยู่ด้วย สมาชิกในครอบครัวเราก็เลยมีด้วย กัน 5 คน พ่อเฒ่าชอบหยอกล้อกับหลานๆ เราช่วยกันดูแลพ่อเฒ่าให้มีความสุขตามอัตภาพ

เราพากันกลับภูมิลำเนาที่จังหวัด นครศรีธรรมราช เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศของความจำเจ กลับไปเยี่ยมบ้านที่พ่อเฒ่า เคยอยู่กับแม่เฒ่ามา สมัยยังมีชีวิต

อย่าลีม ! ความสุขของผู้สูงอายุด้วยนะ
ท่านคงอยู่กับเราไม่นาน ดูแลท่านทั้งกาย และใจ ช่วยกันจับ ช่วยกันนวด ให้สัม ผัสที่อบอุ่น



Create Date : 29 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2549 15:09:12 น. 8 comments
Counter : 1087 Pageviews.

 
ขอชมด้วยความจริงใจว่ายอดเยี่ยมแห่งความอดทนจริงๆคะ


โดย: ประทีป IP: 203.188.5.187 วันที่: 2 ธันวาคม 2549 เวลา:12:23:29 น.  

 
พี่ตาและพี่ขวดสุดยอดของคุณพ่อและคุณแม่ครับ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ


โดย: เล็ก/พงษ์ศักดิ์ ใหม่ซ้อน IP: 125.24.217.187 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2550 เวลา:7:56:37 น.  

 
เข้ามาอ่านด้วยความตื้นตันใจ ขอเป็นกำลังใจด้วยคน


โดย: ชัย บินหลา (โดมทักษิณ) IP: 58.136.98.35 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:19:05 น.  

 


โดย: ;; IP: 58.8.186.247 วันที่: 14 ธันวาคม 2550 เวลา:1:03:58 น.  

 
พี่ครับ


พี่เล่าได้เห็นภาพและอารมณ์จริงๆๆ


บรรยากาศในสมัยนั้นกับสมัยนี้


ธรรมศาสตร์ช่างเปลี่ยนไปจริงๆๆๆๆๆ







เด๋วนี้นักศึกษาจะตกอยู่ในยุคของสายลมและแสงแดด




ติดและมั่วหลงอยู่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่




ไม่เหมือนกับธรรมศาสตร์ในยุคนั้น





จนมาถึงทุกวันนี้ ผมเรียนอยู่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ชั้นปี2



ผมยังไม่เคยคิดเลยว่าจบมาแล้วจะทำอะไร





แต่พอมาอ่านเรื่องราวของพี่แล้ว





ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะทำอะไรต่างๆๆอีกมากมาย






ชีวิตของพี่กับผมคล้ายๆๆๆกันมากๆๆๆๆ




ผมเกิดและเติบโตที่ปักษ์ใต้(พัทลุง)







เรียนคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์








ทำกิจกรรมในมหาลัยมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการนักศึกษาคณะ
งิ้วคณะสังคสงเคราะห์ศาสตร์ ธรรมศาสตร์


ชุมนุมโดมทักษิณ
ค่ายอาสาต่างๆที่ไปมาเกือบสิบค่ายแล้ว



อุปสรรคและปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมากมาย




แต่ตอนนี้พี่ทำให้ผมได้รู้แล้วว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว


ยังมีคนที่เคยเกิดปัญหาเช่นนี้เหมือนเรา





สิ่งสำคัญเราจะต้องผ่านจุดนั้นไปให้

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคืนที่โหดร้าย


แต่พรุ่งนี้ก็ย่อมสว่างและมีเส้นทางให้เราต้องเดินต่อไป....












เป็นกำลังใจให้พี่เสมอนะครับ











อุ


โดย: น้องสังเคราะห์ มธ รุ่น53(เลือดเดียวกัน) IP: 125.27.14.2 วันที่: 18 ธันวาคม 2550 เวลา:2:08:31 น.  

 
สวัสดีครับ ผมเป็นน้องชมรมพี่เข้ามาโดยบังเอิญ อยากทำความรู้จักพี่ไว้ครับ
ตอนนี้ผมทำงานชมรมอยู่ เรียนนิติ ปี3 งานชมรมหลังๆกร่อยไปหน่อยรุ่นพี่มีน้อยเนื่องจากไม่มีการทำ ทำเนียบรุ่นไว้ จึงยากแก่การติดต่อ ถ้าเป็นไปได้อยากฝากพี่ช่วยประชาสัมพันธ์ถึงพี่ที่พี่รู้จัก โดยอาจเข้าไปทิ้งชื่อหรือเบอร์ติดต่อไว้ได้ที่บอร์ดที่ให้ไว้ ขอขอบคุณพี่ล่วงหน้าครับ

สำหรับสิ่งที่พี่เขียนผมอ่านแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้พี่ครับ

ด้วยรักและเคารพ
น้องโต โดมทักษิณ


โดย: น้องโต สมาชิกชมรมโดมทักษิณ รุ่น48 to_lawtham@hotmail.com http://dometaksin.thaifreeforum.com IP: 203.131.217.16 วันที่: 21 มกราคม 2551 เวลา:10:26:57 น.  

 
หวัดดี คุณดวงตา
ผมClickค้นหาชื่อ ไพจิตร นุ้ยจันทร์ ซึ่งเป็นคนควนหนุนด้วยกันและเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ไม่สนิทกันมากนัก คิดถึงเขาเลยลองค้นดู( ตั้งแต่ปี 05ไม่เคยเจอกันอีกเลยเพราะผมไม่ได้กลับมาทำงานทางใต้) ก็มาเจอเรื่องราวชีวิตของคุณ ขอเป็นกำลังใจให้คุณด้วยครับ ภรรยาผมก็สังคมสงเคราะห์ มธ.รุ่นก่อนคุณหลายปี ปัจจุบันผมก็เป็นคนว่างงานไปแล้ว ลูกๆเขามีภาระไปทำงานที่อื่น และก็เป็นตาแก่หัวขาวเช่นเดียวกับคุณ
คงมีสักวันหนึ่งที่คุณพบความสุขนะครับ


โดย: ชู ควนหนุน IP: 125.26.229.30 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:10:11 น.  

 
ดีใจมากเลยค่ะที่ได้เข้ามาอ่านบล็อกนี้...

น้ำตาไหลเลย...

นู๋ก็กำลังจะไปเป็นรุ่นน้องของพี่ๆที่คณะสังคมสงเคราะห์ มธ. เทอมหน้านี่แหละค่ะ

ยังไงนู๋ก็ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้กับพี่ๆทั้งสองคนด้วยนะคะ

+++ เหลืองของเราคือธรรมประจำจิต แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้ +++


โดย: นันท์ IP: 124.157.172.131 วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:19:05:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.