ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
ปฐมเทศนา-พระศาสดาทรงสอนอะไร

     พรุ่งนี้วันพระ วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระผู้มีพระภาคทรงเคลื่อนธรรมจักรโดยแสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ ทำให้พระโกณฑัญญะมีญาณทัศนะ มีดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบันพร้อมกับเทวดาและพรหมอีก ๑๘ โกฏิ
     แถมด้วยสตรีคนหนึ่งชื่อ นางกาฬี ที่สำเร็จเป็นพระโสดาบันเหมือนกัน และอาจจะสำเร็จเป็นพระโสดาบันก่อนพระโกณฑัญญะด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่มีใครพูดถึงกัน
     แต่ที่สำคัญกว่าสำหรับชาวพุทธ คือ รู้ไหมว่าวันนั้นพระพุทธองค์ทรงสอนอะไร





[ ภาพเขียนฝีมือ อ.คำนวณ ชานันโท ]




พระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระองค์เองเคยหลงทาง และบัดนี้พระปัญจวัคคีย์ก็ยังหลงทางอยู่
หลงสุขในการครองเรือน ติดสุขในทางกาม คือ ติดรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส อันอ่อนนุ่ม อ่อนหวาน สบายกาย สบายใจ
เมื่อออกบวชแล้วก็หลงทางไปปฏิบัติทรมาณด้วยการบำเพ็ญทุกรกิริยาอันเปล่าประโยชน์
พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งแล้วว่าทั้งทางสุขและทางทุกข์นั้นไม่ใช่หนทางสู่การพ้นทุกข์
พระพุทธองค์จึงทรงเริ่มต้นธรรมจักรด้วยการตรัสชี้ถึงหนทางที่ถูกที่ตรงก่อนเป็นลำดับแรก

ว่าต้องดำเนินด้วยทางสายกลาง


ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ที่สุดสองอย่างนี้บรรพชิตไม่ควรเสพ
คือ กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให้พัวพันด้วยความสุขทางกาม
เป็นทางที่หย่อนเกินไป ทำให้ติดสุข เกิดราคะและโมหะ เป็นวิถีของปุถุชน ไม่เหมาะแก่พระอริยะ
และ อัตตกิลมถานุโยค การทรมานกายให้เป็นทุกข์ลำบากเปล่า
หาประโยชน์ไม่ได้ ชื่อว่าเป็นทางที่ตึงเกินไป ทำให้ฟุ้งซ่าน เกิดโทสะและโมหะ
ไม่เหมาะแก่พระอริยะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทางที่พอเหมาะพอดีแก่พระอริยะ
คือ มัชฌิมาปฏิปทา
เป็นทางสายกลาง เพื่อความสงบ ทำจักษุญาณให้เกิด เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน



จากนั้นทรงขยายความว่าทางสายกลางนั้นเป็นวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อความเป็นพระอริยะ
เรียกว่า มรรค ๘
มรรค ๘ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้นเป็นอริยมรรค ไม่ใช่โลกียมรรค
ทรงแสดงหนทางการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
ไม่ได้ทรงสอนหนทางปฏิบัติเพื่อใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน



ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปฏิปทาสายกลางที่ทำจักษุญาณให้เกิด เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น
เป็นไฉน
ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑
เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑



เห็นชอบเป็นอย่างไร ?
ความเชื่อว่าการให้ทานมีผล
เชื่อวิบากของกรรมดีและกรรมชั่ว
เชื่อว่าโลกหน้ามี ตายแล้วไม่สูญ
เคารพบิดามารดาและสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
นี้แลเป็นความเชื่อที่เป็นกุศล เป็นความเห็นชอบหรือสัมมาทิฐิ

ดำริชอบเป็นอย่างไร ?
ความดำริเพื่อออกจากกาม ตัดความพยาบาท ตัดความเบียดเบียน
นี้แลคือดำริชอบหรือสัมมาสังกัปปะ

เจรจาชอบเป็นอย่างไร ?
ความสำรวมในการพูด
เว้นจากการพูดเท็จ พูดยุให้แตกกัน พูดหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
นี้แลคือเจรจาชอบหรือสัมมาวาจา

การงานชอบเป็นอย่างไร ?
การเว้นจากการฆ่าสัตว์
เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้
เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
นี้แลเรียกว่าการงานชอบหรือสัมมากัมมันตะ

เลี้ยงชีวิตชอบเป็นอย่างไร ?
การละการเลี้ยงชีพด้วยความคดโกง ล่อลวง ตลบตะแลง
การยอมมอบตนในทางผิด เอาลาภต่อลาภ
สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยสัมมาชีพ
นี้แลเรียกว่าเลี้ยงชีวิตชอบหรือสัมมาอาชีวะ

พยายามชอบเป็นอย่างไร ?
การปรารภความเพียร พยายามประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้
เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
เพื่อละอกุศลธรรมลามกที่เกิดขึ้นแล้ว
เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
และเพื่อยังกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งอยู่ ไพบูลย์ขึ้น
นี้แลคือพยายามชอบหรือสัมมาวายามะ

ระลึกชอบเป็นอย่างไร ?
การมีปกติระลึกพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ เห็นจิตในจิตอยู่ เห็นธรรมในธรรมอยู่
มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ
ตัดความพอใจและไม่พอใจในโลกเสียได้
นี้แลคือระลึกชอบหรือสัมมาสติ

ตั้งจิตชอบเป็นอย่างไร ?
การตั้งจิตให้มีสมาธิ เพราะสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเข้าถึงฌานทั้งสี่
คือฌานที่หนึ่งอันมีวิตก วิจาร ปีติ และสุข อันเกิดแต่วิเวกอยู่
เข้าถึงฌานที่สองอันผ่องใส มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ วิตกวิจารระงับไป
เข้าถึงฌานที่สามอันมีสุขอยู่ด้วยนามกาย มีปีติสิ้นไป มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
และเข้าถึงฌานที่สี่อันละสุขและทุกข์เสียได้ มีสติอันบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
นี้แลคือตั้งจิตชอบหรือสัมมาสมาธิ



มรรค ๘ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น ล้วนมุ่งสู่ฌานและสมาธิ
เมื่อเกิดสมาธิแล้วย่อมมีปัญญาพิจารณา อริยสัจ ๔



ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปฏิปทาสายกลางนี้แหละที่ทำให้ได้ตรัสรู้ อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

ทุกข์
คือ ความทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์
ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์
อยากได้สิ่งใดแล้วไม่สมปรารถนาก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่ออุปาทานขันธ์ ๕ นี่แหละเป็นทุกข์

สมุทัย
คือ เหตุให้เกิดทุกข์
กามตัณหาความกำหนัด
ภวตัณหาความอยากได้อยากมี
วิภวตัณหาความไม่อยากได้ไม่อยากมี
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

นิโรธ
คือ ความดับทุกข์
เมื่อตัณหาดับความทุกข์ก็ดับ

มรรค
คือ หนทางดับทุกข์
การสละ ละ วาง ปล่อยไปไม่พัวพัน เป็นหนทางให้ดับทุกข์ได้ไม่มีเหลือ


พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อไปว่า กระบวนการปฏิบัติเพื่อให้ได้ญาณทัศนะนั้น
ต้องพิจารณาอริสัจแต่ละอย่างด้วยรอบ ๓ หรือปริวัฏฏ ๓ คือ
เริ่มจากรู้ธรรมตามความเป็นจริง (สัจจญาณ)
เมื่อรู้ความเป็นจริงแล้วต้องรู้หน้าที่ว่าต้องทำอย่างไร (กิจจญาณ)
และเมื่อทำแล้วก็รู้ว่าทำแล้ว
(กตญาณ)
การปฏิบัติด้วยรอบ ๓ ในอริยสัจทั้ง ๔ รวมเรียกว่าปฏิบัติโดยรอบ ๓ อาการ ๑๒



ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ญาณทัศนะเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า
ทุกข์ เหล่านี้ มีอยู่จริง
ทุกข์ เหล่านี้ ควรกำหนดรู้
ทุกข์ เหล่านี้ กำหนดรู้แล้ว

ญาณทัศนะเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า
สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ เหล่านี้ มีอยู่จริง
สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ เหล่านี้ ควรละเสีย
สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ เหล่านี้ ละได้แล้ว

ญาณทัศนะเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า
นิโรธความดับทุกข์ เหล่านี้ มีอยู่จริง
นิโรธความดับทุกข์ เหล่านี้ ควรทำให้แจ้ง
นิโรธความดับทุกข์ เหล่านี้ ทำให้แจ้งแล้ว

ญาณทัศนะเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า
มรรคหนทางดับทุกข์ เหล่านี้ มีอยู่จริง
มรรคหนทางดับทุกข์ เหล่านี้ ควรทำให้เจริญ
มรรคหนทางดับทุกข์ เหล่านี้ ทำให้เจริญแล้ว

จบปฐมเทศนาดังกล่าวแล้ว โกณฑัญญะพราหมณ์จึงเกิดดวงปัญญาสว่างไสว
รู้เท่าทันสภาวธรรมว่ามีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และมีความดับไปเป็นธรรมดา
เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบันพร้อมกับพรหมอีก ๑๘ โกฏิ

พระผู้มีพระภาคเห็นว่าโกณฑัญญะพราหมณ์มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ทรงเปล่งอุทานว่า



อัญญาสิโกณฑัญญะ โกณฑัญญะรู้ทั่วแล้วหนอฯ


นี่คือคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันปฐมเทศนา


     การแสดงปฐมเทศนานี้ใช้เวลายาวนานมาก ที่ปรากฏในพระสูตรก็คงย่นย่อมาเยอะแล้ว เหตุที่บอกว่านานเพราะมีเรื่องราวปรากฏในตอนอื่นว่าทรงแสดงถึงมืดค่ำ มียักษ์ตนหนึ่งฟังธรรมอยู่แล้วออกไปตามหาเพื่อน เมื่อพาเพื่อนมาฟังธรรมอีกครั้งพระพุทธองค์ก็ยังแสดงธรรมไม่จบ เรื่องราวเกี่ยวข้องกับนางกาฬีที่ผมสงสัยว่านางจะบรรลุธรรมก่อนพระโกณฑัญญะ มีโอกาสจะเล่าให้ฟังในโอกาสหน้าครับ








Create Date : 25 กรกฎาคม 2553
Last Update : 25 กรกฎาคม 2553 9:11:02 น. 6 comments
Counter : 1984 Pageviews.

 
นึกว่าจะเล่าเลย



โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:17:00:38 น.  

 
แวะมาเยี่ยมเยียนกันค่ะ สบายดีนะคะ


โดย: วิสกี้โซดา วันที่: 25 กรกฎาคม 2553 เวลา:23:22:11 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกเย็นใจขึ้นเยอะเลยครับ

หากบล๊อก นายหัวเด่น ถูกใจ หรือโดนใจ ก็อย่าลืมไปโหวตให้กำลังใจกันนะคร๊าาาบ


โดย: นายหัวเด่น วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:38:59 น.  

 
สาธุ

อนุโมทนา ค่ะ คุณอังคาร

จะรออ่านตอนหน้านะคะ
ถ้าเล่าแล้วแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: พ่อระนาด วันที่: 27 กรกฎาคม 2553 เวลา:1:41:29 น.  

 
สาธุครับ


โดย: คนขับช้า วันที่: 28 กรกฎาคม 2553 เวลา:18:34:59 น.  

 


แวะมาเยี่ยมค่ะ
สบายดีนะคะ


โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 30 กรกฎาคม 2553 เวลา:3:07:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.