The Strain: ปฐมบทไตรภาคสงครามแวมไพร์จากผู้สร้าง Pans Labyrinth
The Strain by Guillermo Del Toro and Chuck Hogan (2009)
นี่ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่ชื่อผู้แต่งขึ้นหน้าปกหราตัวใหญ่บิ๊กเบิ้มกว่าไตเติ้ลเรื่อง ดิชั้นตาซ้ายกระตุกยิบๆว่าคนที่นั่งหน้าจอพิมพ์เรื่องออกมาน่าจะเป็นคุณคนเขียนอีกคนมากกว่าเพราะคุณ Guillermo Del Toro ผู้กำกับ Pans Labyrinth ที่กำลังฮ็อทอยู่อย่างนี้คงไม่มีเวลามานั่งเขียนหนังสือให้จบเรื่อง (เลือดสาดจันทร์สยองเป็นพรายกระซิบมาว่าตอนนี้กำลังทำโปรเจ็ค the Hobbitอยู่ อป.ว่าจะไปออดิชั่น หน้าตาไม่รู้ แต่ส่วนสูงชั้นได้)
รูปคุณปลาโทโร่
ขอสารภาพว่านี่เป็น Fetish ของอิชั้นเค่อะ ไม่ได้ชอบเอาแส้ฟาดใคร แต่ชอบอ่านหนังสือแนวโลกแตกเป็นที่สุด หุๆ เลยถือโอกาสปล่อยของ (เดี๋ยวจะทยอยมาเรื่อยๆ ที่ปล่อยไปแล้วก็มี The Road)
เรียกน้ำย่อยด้วยการเอาคำวิจารณ์ (ไม่รู้แต่ละท่านฮั้วกันรึเปล่า)มาแปะ
The first in a trilogy that soars with spellbinding intrigue. Truly an unforgettable tale you cant put down once you read the first page. I cant wait until the next one Clive Cussler
Blood and apocalypse mix in a terrifying story that feels like it was ripped from todays headlines. Vividly wrought and relentlessly paced James Rollins
The Strain is Bram Stoker meets Stephen King meets Michael Crichton. It just doesnt get much better than this Nelson DeMille ... หง่ะ จัดมาเป็นค็อกเทลสยองขวัญเลยเหรอคะ
แต่แค่อ่านบทเริ่มเรื่องก็ได้กลิ่นอายบรรยากาศแบบ Pans Labyrinth โชยมาแต่ไกล อารมณ์สยองขวัญแบบ surreal ย้อนอดีต
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยายของ Abraham Setrakian เล่าเรื่อง มียักษ์อยู่ตนหนึ่ง
หนูน้อยอับบราฮัมนั่งฟังตาโตพร้อมกับกินซุปผักที่อยู่ตรงหน้า เขาเป็นเด็กชายผอมซูบและหญิงชราก็พยายามจะทำให้เขาเจริญอาหารด้วยการเล่านิทาน
ยักษ์ตนนี้เป็นลูกชายของคหบดีชาวโปแลนด์ เขาชื่อว่ายูเซฟ ซาร์ดู ท่านซาร์ดูมีร่างกายสูงใหญ่กว่าทุกคน สูงกว่าหลังคากระท่อมในหมู่บ้าน เขาต้องค้อมตัวลงเมื่อจะเดินผ่านประตู... แต่ความสูงของซาร์ดูก็เป็นคำสาป เขาเป็นโรคนี้มาตั้งแต่เกิด กล้ามเนื้อของเขาไม่สามารถรับน้ำหนักของกระดูกบนร่างสูงใหญ่นั้นได้ ซาร์ดูต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน ไม้เท้าของเขาสูงกว่าเจ้าเสียอีก...เป็นไม้เท้าที่มีหัวจับด้ามเงินรูปหัวหมาป่าซึ่งเป็นตราประจำตระกูล
พ่อของซาร์ดูเชี่อว่าการได้กินเนื้อหมาป่าจะทำให้ซาร์ดูแข็งแรงขึ้นและหายจากโรค วันหนึ่งเมื่อเขาอายุสิบห้าปีพ่อและบรรดาญาติของเขาก็พาซาร์ดูออกไปล่าหมาป่า... แต่เมื่อคณะของเขาอยู่ในป่าลึก พ่อของท่านซาร์ดูก็พลัดหลงไปคนเดียวในตอนค่ำ ทุกคนรอเขาทั้งคืนแต่ก็เขาก็ไม่กลับมา วันรุ่งขึ้นคณะนายพรานจึงออกตามหา...ในคืนต่อมานั้นเอง ญาติอีกคนของซาร์ดูก็หายตัวไป
ในที่สุดคนสุดท้ายในคณะที่เหลืออยู่ก็คือยูเซฟ ซาร์ดู เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเขาก็เริ่มออกเดินทางตามหาครอบครัว และในกลางป่านั้นซาร์ดูก็พบซากศพของพ่อ ลุง และญาติอยู่หน้าปากถ้ำมืดที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน... ทุกศพถูกทุบกะโหลกแต่ยังไม่มีร่องรอยถูกสัตว์ป่ากัดกิน ซาร์ดูฟังศพครอบครัวของเขาและในตอนกลางคืนเขาก็ตัดสินใจเข้าไปในถ้ำ...
หนูน้อยอับบราฮัมอ้าปากค้าง แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นครับยาย
ไม่มีใครรู้ เขาหายตัวไป ผู้คนในหมู่บ้านออกตามหาแต่ก็ไม่มีใครพบท่านซาร์ดู... แต่อีกสิบเอ็ดสัปดาห์หลังจากนั้น รถม้าคันใหญ่ที่ปิดม่านทึบก็แล่นเข้ามาในหมู่บ้าน ซาร์ดูกลับมาแล้ว และขังตัวเองอยู่ในปราสาท ไม่มีใครเห็นเขาออกมาอีกเลย
...มีข่าวลือว่าเขาหายจากโรคร้ายแล้ว และยังได้พลังลึกลับกลับมาอีกด้วย... ซาร์ดูไล่คนรับใช้ออกเกือบหมด ปราสาทของเขาทรุดโทรมลงเรื่อยๆ... แต่ในตอนกลางคืนชาวบ้าน โดยเฉพาะเด็กๆจะเล่าถึงเสียงประหลาดดัง ตุบ..ตุบ..ตุบ.. ของไม้เท้าผ่านหน้าต่างบ้าน และแล้วเด็กๆในหมู่บ้านก็เริ่มหายตัวไปทีละคน ทีละคน...
หญิงชราเห็นว่าเด็กชายกินซุปหมดถ้วยแล้ว
กินข้าวเยอะๆจะได้แข็งแรงนะ...ไม่งั้นซาร์ดูจะมาเอาตัวเจ้าไป
ไม่นานหลังจากนั้นครอบครัวของอับบราฮัมก็ต้องหนีออกจากหมู่บ้านให้พ้นจากกองทัพนาซี
เรื่องย่อจากปกหลัง
เครื่องบินโบอิ้ง 777 ลงจอดที่สนามบินเจเอฟเคและกำลังตรงไปยังที่จอดแต่แล้วเครื่องบินทั้งลำก็หยุดนิ่งอยู่กลางรันเวย์ หน้าต่างทุกบานปิดอยู่และไฟก็ดับทั้งเครื่อง ไม่มีสัญญาณการติดต่อใดๆออกมาสู่หอบังคับการภายนอก
Dr.Eph Goodweather หัวหน้าทีมต่อต้านก่อการร้ายทางชีวภาพได้ถูกเรียกตัวมายังสนามบินและสิ่งที่เขาพบบนเครื่องลำนั้นก็น่ากลัวเกินคำบรรยาย
ในร้านรับจำนำเล็กๆในสแปนิชฮาร์เล็ม นิวยอร์ก อดีตศาสตราจารย์และผู้รอดชีวิตจากค่ายนาซี Abraham Setrakian รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น...เขารู้ว่าเวลานั้นได้มาถึงแล้ว และสงครามกำลังจะเริ่ม
ขอแนะนำเรื่องนี้สำหรับคอหนังสือแอ็คชั่นไซไฟค่ะ ตอนแรกๆอ่านไปอาจจะรู้สึกช้าบ้างด้วยการปูพื้นเรื่อง (ก็มีตั้งสามภาคเนอะ) แต่ช่วงหลังๆนี่บู๊ล้างผลาญ ตอนสยองก็แทบจะอ่านข้ามหน้าไปซะเหมือนกดฟอร์เวิร์ดแผ่นหนัง
ที่ชอบมากๆคือการที่ผู้เขียนเอาแนวแวมไพร์มาทำใหม่ ปู้ยี่ปู้ยำเอ็ดเวิร์ดคัลเลนซะจนออกมาเป็นแบบนี้...ไม่สปอยล์ค่ะ ใครอยากรู้ว่ามอนสเตอร์ในเรื่องนี้เป็นยังไงต้องอ่านเอง ติดต่อหยิบยืมจากอป.ได้ ผ่านไม้หนึ่งมาแล้วจากมิ้กกี้น้องชายที่พึ่งคืนมาด้วยสภาพตาโหลอดนอน
จะว่าไปแล้วคุณ Nelson Demille (ไม่เคยอ่านหนังสือเค้าอ่ะ แต่เคยดูหนัง The generals daughter) บรรยายได้ใจมากเพราะเรื่องนี้เหมือนเอาสามนักเขียนที่ว่ามารวมกันจริงๆ แอบกระซิบว่าจะหนักไปทางคนหลังสุดหน่อย แต่ถ้าจะให้มีข้อติก็อาจจะเป็นตรงที่มีตัวละครเยอะแยะยุ่บยั่บไปหน่อยอาจจะมีการงงบ้างและเนื้อเรื่องไม่ปะติดปะต่อกัน ส่วนคนที่ชอบฮาร์ดคอร์ไซไฟแบบต้องมีวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนทุกพล็อตก็...แหะๆ ข้ามเรื่องนี้ไปเถอะค่ะ
ต้องรออีกหนึ่งปีจะได้อ่านเล่มต่อ อป.ก็นับวันรอไป
ปล. หลายวันมาแล้วโทรคุยกับมิ้กกี้ตอนเครียดๆ ก่อนวางสายมิ้กกี้บอกว่า กินข้าวเยอะๆนะ เดี๋ยวซาร์ดูมาหา <3 เป็นพี่น้องที่รักกันแบบจิตจริงๆ
อปอช.แคสติ้ง (ฮู้ยย ไม่ต้องแคสต์ก็ได้ คิดว่าเดี๋ยวก็คงทำหนังหรือมินิซีรี่ยส์ออกมาแหงมๆ)
Dr. Eph Goodweather Gerald Butler สปาร์ตัน vs. แวมไพร์
Abraham Setrakian - Ian McKellen อ่านไปก็นึกหน้าคนนี้ขึ้นมาตลอด
Create Date : 09 กันยายน 2552 |
Last Update : 9 กันยายน 2552 15:32:27 น. |
|
23 comments
|
Counter : 3871 Pageviews. |
|
|
แก้วก็ชอบอ่านแนวนี้ล่ะค่ะ อป
จริงๆเป็นคนจิตหลุดง่ายมากเลยนะ แต่นั่นแหละคือความสะใจของเราฮะฮ่า
เล่มนี้น่าอ่านอีกล่ะ โฮย หาเวลาเดินซื้อหนังสือจะไม่มีแหล่ว
รอกลับไทยก่อนนะ จะกว้านให้หมดแผง
(ว่าไปนั่นเว่อตลอด)
ว่าแล้วก็น่าเอา Pan มาดูอีกรอบ ฮุฮุ