"If you only read the books that everyone else is reading, you can only think what everyone else is thinking." - Haruki Murakami

Inherit the Stars: James P. Hogan - จากดาวสู่ดาว

Giants Series




Inherit the Stars – ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1977
The Gentle Giants of Ganymede – ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1978
Giants’ Star - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1981
Entoverse - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1991
Mission to Minerva - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2005






ชื่อ: Inherit the Stars
ผู้แต่ง: James P. Hogan
Series: Giants – Book 1
Genre: Science Fiction
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1977)




Dr. Victor Hunt เป็นนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ผู้คิดค้นและประดิษฐ์ ‘Trimagniscope’ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำงานโดยการยิง neutrino beams 3 ลำไปที่วัตถุใดๆก็ตามที่เราต้องการดู ‘ไส้ใน’ โดยไม่ต้องแกะ/ผ่า/เปิดมันออก โดย Dr. Hunt ได้ค้นพบว่า neutrino beam มีคุณสมบัติที่เมื่อเดินทางผ่านวัตถุที่เป็นของแข็งจะทำปฏิกิริยาอย่างหนึ่งในบริเวณ atomic nuclei และดังนั้นโดยการใช้ raster scanning (คล้ายๆกับเวลาเราถ่ายทอดสัญญาณภาพทางโทรทัศน์) ด้วย neutrino beams 3 ลำ เขาสามารถดึงข้อมูลสิ่งที่อยู่ภายในของอะไรก็ตามออกมาสร้างเป็นภาพสี hologram 3 มิติ ที่เหมือนจริงสุดๆได้

และตอนนี้ Dr. Hunt ก็กำลังอยู่บนเครื่องบินเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากเกาะอังกฤษบ้านของเขาไปยังสหรัฐอเมริกา (Suborbital Skyliner: ใช้เวลาเดินทางจากลอนดอนไปยังซาน ฟรานซิสโกแค่ 1.50 ชม.) เขาถูกเรียกตัวอย่างเร่งด่วนให้ไปยัง IDCC (International Data and Control Corporation) สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Portland, Oregan โดยที่เขาหรือแม้แต่คนที่แจ้งข่าวนี้กับเขาก็ไม่ทราบว่านี่มันเรื่องอะไรกัน, ทำไม IDCC ต้องการใช้ Trimagniscope ของเขา และที่สำคัญทำไมต้องเจาะจงว่าเป็นเขาที่เดินทางไปด้วยตัวเอง ทั้งๆที่ทีมงานคนอื่นๆของเขาก็มีความสามารถพอที่จะใช้เครื่องมือนี้ได้

นี่คือเหตุผลว่าทำไม:

UNSA (UN Space Arm) ซึ่งในขณะนั้นได้ตั้ง Survey base บนดวงจันทร์และกำลังทำการขุดค้นตามจุดต่างๆ ได้ค้นพบสิ่งที่เหลือเชื่อมากๆอย่างหนึ่งในถ้ำแห่งหนึ่ง: ศพของชายคนหนึ่ง เสียชีวิตในชุดอวกาศสีแดงซึ่งไม่ใช่ชุดของ UNSA  พวกเขาไม่รู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร (จึงได้ตั้งชื่อให้ว่าชาร์ลี), ไม่รู้ว่าเขาตายได้ยังไง และไม่รู้ว่าเขามาจากไหน, ID Card ของเขาเป็นภาษาที่ไม่มีใครเคยเห็น และจากการตรวจสอบ Carbon dating พวกเขาก็ได้ค้นพบความจริงที่น่าตื่นตะลึง: ชาร์ลีเสียชีวิตเมื่อกว่า 50,000 ปีที่แล้ว!

ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เมื่อ 50,000 ปีที่แล้ว มนุษย์ยังไม่สามารถเดินทางไปดวงจันทร์ได้เลย เมื่อ 50,000 ปีที่แล้วยังไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน (Homo Sapiens) อยู่บนพื้นผิวโลกด้วยซ้ำ! Smiley



เล่าได้แค่นี้ค่ะ เรื่องนี้สนุกมากๆๆๆๆค่ะ และ hard science มากๆๆๆๆด้วยค่ะ ถูกจริต จขบ. ยิ่งกว่าอะไร แม้ทฤษฎีที่ใช้ในเรื่องหลายๆประเด็นในปัจจุบันจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด/เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคิดว่ามองๆข้ามมันไปเพราะหนังสือก็ตีพิมพ์ตั้งแต่ก่อนเราเกิด (เกือบ 40 ปีที่แล้ว) และสนใจกระบวนการทางความคิดที่ใช้ในการสืบค้นหาความจริงเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปสุดท้ายที่น่าเหลือเชื่อ เพียงแค่นั้นก็นับว่ามันส์มากๆแล้วค่ะ เหมือนเขียนประวัติศาสตร์ระบบสุริยะของเราขึ้นมาใหม่ยังไงยังงั้น หนังสือเล่มนี้จะบิดเบือนความเชื่อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มนุษย์ทุกอย่างที่คุณเคยเชื่อค่ะ 555+ Smiley

เราขอสมัครเป็นแฟนพันธุ์แท้คุณ James P. Hogan เลยค่ะ ฮีเป็นนักเขียนนิยายไซไฟที่ไม่ดังเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ คือไม่ใช่คนที่พอเอ่ยชื่อไปแฟนๆชาวไซไฟจะรู้จักหรือเคยอ่านงานของฮีกันทุกคนแน่ๆล่ะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ของเฮียที่ จขบ. มีโอกาสได้อ่าน (เรื่องแรกคือ Voyage from Yesteryear) และเราชอบมากๆเลยทั้ง 2 เรื่องค่ะ สำหรับเรื่องนี้เราให้ 4/5 คะแนน ที่ไม่ให้ 5 เนื่องจากเราว่าการเดินเรื่อง linear ไปหน่อย ตรงๆทื่อๆไม่ซับซ้อน (หรือเราชินกับเรื่องที่ชอบทำให้ตัวเองซับซ้อนมากเกินไป? แบบยิ่งสลับ sequence มั่วไปหมดยิ่งชอบ งงดี?) แต่โดยรวมแล้ว เนื้อหา ความน่าตื่นเต้น ภาษา วิทยาศาสตร์ และ plot twist แต่ละอันนี่เยี่ยมมากค่ะ จัดให้เป็นนิยายในดวงใจของเราเรื่องหนึ่งเลย Smiley

เราชอบประโยคสุดท้ายในเรื่องมากๆค่ะ

"And so, gentlemen, we inherit the stars. Let us go out, then, and claim our inheritance. We belong to a tradition in which the concept of defeat has no meaning. Today the stars and tomorrow the galaxies. No force exists in the Universe that can stop us."

ต้องอ่านจนจบเรื่องนะคะถึงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ มันช่าง inspiring มากๆ

ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เรื่องนี้มีฉบับ Manga ด้วยนะคะ เรายังไม่ได้ลองอ่านแต่เท่าที่อ่านคอมเมนต์เหมือนมีคนบอกว่ามีบางจุดที่ใส่วิทยาศาสตร์ส่วนที่นอกเหนือจากหนังสือลงไป ใครขี้เกียจอ่านฉบับนิยาย (แต่เราแนะนำจริงๆนะคะ นิยายเล่มสั้นๆอ่านไม่ยาก) ก็ลองอ่านฉบับ Manga ไปก่อนก็ได้ค่ะ มีแต่ภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นนะคะ และยังไม่จบค่ะ (ไม่แน่ใจว่ายังเขียนไม่จบหรือยังแปลไม่จบกันแน่นะคะ) ตามลิงค์ไปเลยค่ะ

Inherit the Stars (Manga) by Yakinobu Hoshino /James P. Hogan

ตัวอย่างงาน art ของฉบับ Manga ค่ะ






Giants Series นี่ตอนนี้ไม่มีตีพิมพ์เป็นเล่มย่อยๆแล้ว มีแต่ฉบับรวม มีแบบรวมเล่ม 1-2 โดยใช้ชื่อว่า The Two Moons และเล่ม 3-4 ใช้ชื่อว่า The Two Worlds (ส่วนเล่ม 5 มาทีหลัง 10 กว่าปี เลยยังแยกอยู่ค่ะ)



กับฉบับรวมเล่ม 1-3 (Original Trilogy) ใช้ชื่อว่า The Minervan Experiment




ขอส่งท้ายด้วยเกร็ดเล็กๆน้อยๆตลกๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ ตา James P. Hogan คนเขียนแกได้ไอเดียการเขียนเรื่องนี้มาจากภาพยนตร์ 2001: A Space Odyssey ที่เขียนโดยปรมาจารย์ไซไฟ Arthur C. Clarke ค่ะ ถ้าใครเคยดูจะรู้ว่าตอนจบมันอาร์ตและงงแค่ไหน (เราขออนุญาตลิงค์ไปยังรีวิวของหนังเรื่องนี้ที่ชาวบล็อกท่านหนึ่งได้เขียนไว้นะคะ เผื่อใครสนใจไปหาดู หนังดีค่ะ คอไซไฟ/หรือแม้แต่คอหนังโดยรวมไม่ควรพลาด เราไม่มีปัญญารีวิวหนังจริงๆค่ะ แต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นหนังสือกำลังคิดไว้ว่าจะเอามารีวิวนะคะ เพราะกำลังจะตั้งสติอ่านเล่มต่อในซีรีส์ Space Odyssey ค่ะ) เฮียโฮแกนแกก็คิดไม่ต่างกันค่ะ แกก็เลยเอาไปบ่นกับเพื่อนๆที่ทำงานว่าหนังจบไม่ได้เรื่องเลย ทำไมไม่จบแบบนี้ๆๆ เพื่อนๆที่ทำงานของแกก็เลยพนันกันว่าเฮียแกไม่มีทางเขียนและตีพิมพ์นิยายไซไฟได้หรอก Smiley

ด้วยความต้องการลบคำสบประมาทของเพื่อน เฮียแกก็เลยเขียนเรื่อง Inherit the Stars ขึ้นมาค่ะ! Smiley และก็ได้ตีพิมพ์เสียด้วย! Smiley (Inherit the Stars กับ 2001: A Space Odyssey มีจุดเริ่มเรื่องคล้ายๆกันตรงที่มีการค้นพบอะไรบางอย่างบนดวงจันทร์ ใครที่เคยดูหนังหรืออ่านหนังสือจำกันได้ใช่ไหมคะ?) หลังจากที่แกดังแล้วแกได้มีโอกาสพบกับท่าน Arthur C. Clarke และได้ถือโอกาสถามถึงความหมายของตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง 2001: A Space Odyssey

ทั้งนี้ ท่าน Clarke ได้ตอบกลับมาว่า“While the ending of Hogan’s Inherit the Stars made more sense, the ending of 2001 made more money.”

จบค่ะ




 

Create Date : 06 มีนาคม 2559    
Last Update : 6 มีนาคม 2559 16:22:55 น.
Counter : 2391 Pageviews.  

Gateway: Frederick Pohl - Heechee Saga เล่ม 1

Heechee Saga




Gateway – ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1977
Beyond the Blue Event Horizon – ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1980
Heechee Rendezvous - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1984
The Annals of the Heechee - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1987
The Boy Who Would Live Forever: A Novel of Gateway - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2004






ชื่อ: Gateway
ผู้แต่ง: Frederick Pohl
Series: Heechee Saga – Book 1
Genre: Science Fiction
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1977)




นาย Robinette Broadhead ถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่จึงมีเงินซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเดินทางไปยัง ‘Gateway’ ดาวเคราะห์น้อยอันเป็นที่ตั้งสถานีอวกาศของชาว Heechee  ชาว Heechee เป็นเอเลี่ยน รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ พวกเขาหายตัวไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอยนานมาแล้วก่อนที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา แต่ชาว Heechee ได้ทิ้งทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของพวกเขาเอาไว้เป็นสถานีอวกาศที่มียานนับพันๆลำ ยานอวกาศที่มนุษย์ไม่รู้วิธีการบังคับมันอย่างแท้จริง

วิธีเดียวที่มนุษย์จะใช้ยานของพวก Heechee ได้คือการใส่ค่า Coordinates 5 ค่า ซึ่งวิศวกรเองก็ยังไม่รู้ว่าแต่ละค่ามีความหมายว่าอะไร โดยยานลำนั้นๆอาจจะยอมหรือไม่ยอมเดินทางไปยังตำแหน่งที่ถูกระบุก็ได้ การเดินทางของยาน Heechee นั้นเร็วกว่าแสง (Faster Than Light หรือ FTL) ซึ่งก็ไม่มีใครรู้อีกนั่นแหละว่ามันทำได้ยังไง นอกจากที่ว่ามันทำให้มวลของยาน “เป็นโมฆะ” ไม่ด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง ซึ่งทำให้สามารถเร่งเครื่อง(ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง) ขึ้นไปจนถึงความเร็วแสง and beyond

ดังนั้นจุดหมายปลายทางจึงเป็นที่ไหนก็ได้จักรวาล

แต่อย่าลืมว่าแม้แต่วิศวกรชาวมนุษย์ที่เก่งที่สุดก็ยังไม่เข้าใจว่าชุด Coordinates ที่ชาว Heechee ใช้มีระบบอย่างไร การกำหนดจุดหมายปลายทางจึงเป็นการเลือกเอาจากชุดคำสั่งที่มีอยู่ในไดรฟ์ของยานลำนั้นๆหรือจากยานลำอื่น และในเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจระบบ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าชุด coordinates นั้นๆจะพาพวกเขาไปโผล่ที่ไหน การเดินทางบนยาน Heechee จึงเป็นการเดาสุ่ม

จุดหมายปลายทางของยานลำหนึ่งอาจจะไปไกลถึงกาแลกซี่อันโดรเมดา ในขณะที่ยานอีกลำอาจจะหยุดอยู่แค่ที่ดวงจันทร์ของโลกก็เป็นได้ ยาน Heechee จำนวนไม่น้อยที่เดินทางออกไปแล้วไม่ได้กลับมา หลายลำกลับมาโดยไม่มีผู้รอดชีวิต บางลำที่กลับมา แม้จะมีผู้รอดชีวิต แต่ก็เพียงคนเดียวแถมยังพิการหรือเสียสติไปแล้วอีกต่างหาก

เพราะจักรวาลของเราช่างกว้างใหญ่ไพศาล คุณไม่มีทางรู้หรอกว่ากำลังจะเดินทางไปเจอกับอะไร และมันก็เต็มไปด้วยอันตรายที่เราไม่รู้จักและเกินกว่าที่เราจะสามารถรับมือได้

แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น นาย Broadhead พระเอกของเราเอาเงินรางวัลล็อตเตอรี่เกือบทั้งหมดไปซื้อตั๋วมาที่นี่ทำไมกัน?

ก็เพราะมียานจำนวนไม่น้อยอีกเหมือนกันที่เดินทางออกไปแล้วเจอทรัพย์สมบัติล้ำค่าอื่นๆที่ชาว Heechee ทิ้งเอาไว้อยู่ทั่วจักรวาล และพวกเขาก็กลับมารวย เละ

อ้อ และก็เพื่อสปิริตแห่งการผจญภัยยังไงล่ะ!




Gateway ชนะ Hugo Award และ Locus Award สาขา Best Novel ประจำปี 1978 และ Nebula Award ประจำปี 1977 พูดง่ายๆก็คือกวาดมันทุกรางวัล เราว่า premise ของเรื่องดีมากๆเลยค่ะ แต่ตัวละครเอกนี่แหละที่ทำให้เสียบรรยากาศ เท่าที่อ่านรีวิวของคนอื่นๆ (ใน Goodreads) ทุกคนก็เกลียดพระเอกไม่ต่างกัน และหนังสือก็เล่นกับแง่มุมทางจิตวิทยาของเหล่า Gold Diggers ค่อนข้างมาก (ครึ่งเรื่องเป็นฉากพระเอกคุยกับจิตแพทย์ เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน) ก็เข้าใจจุดประสงค์อะนะ แต่ถ้าเน้นเรื่องการผจญภัยมากกว่านี้อีกหน่อย มันจะสนุกมากๆเลยอะ Smiley

ไม่รู้เหมือนกันว่าเล่มต่อจากนี้หนังสือจะโฟกัสไปที่มุมไหน ไว้เรามีโอกาสได้อ่านแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะ




 

Create Date : 06 มีนาคม 2559    
Last Update : 6 มีนาคม 2559 13:47:55 น.
Counter : 1088 Pageviews.  

House of Suns: Alastair Reynolds - หากแม้นเรามีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์



ชื่อ: House of Suns
ผู้แต่ง: Alastair Reynolds
Genre: Science Fiction, Space Opera
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2008)




The Lines (Commonality) เป็นสายพันธุ์มนุษย์โคลนนิ่งที่เดินทางท่องกาแลกซี่ทางช้างเผือกมาเป็นระยะเวลากว่า 6 ล้านปี  Campion และ Purslane เป็นสมาชิกของ Gentian Line หรือ House of Flowers ซึ่งเป็นร่างโคลนของหญิงสาวนามว่า Abigail Gentian ตั้งแต่สมัยยุค The Golden Hour (6 ล้านกว่าปีก่อน) ซึ่งเป็นยุคที่มนุษยชาติตั้งถิ่นฐานไปทั่วระบบสุริยะแต่ยังไม่เดินทางข้าม Interstellar Space  พวกเขามีพี่น้องร่วมโคลนนิ่ง 1 พันคน นี่นับแต่ Gentian Line เท่านั้น ยังมี Line อื่นๆอีกมากที่เป็นมนุษย์โคลนนิ่งจากต้นแบบมนุษย์คนอื่น พวกเขาเป็นมนุษย์สายพันธุ์เดียวที่ใช้วิทยาการ ‘Deep Time’  มีชีวิตอยู่โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา พวกเขามีเครื่องมือในการชะลอเวลาร่างกายตนเอง เช่น Statis ที่เมื่อเข้าไปในเครื่องสามารถกำหนดให้เวลาในเครื่องเดินช้าลงในอัตราส่วนสูงสุดถึง 1/1,000,000 เทียบกับเวลาภายนอกเครื่อง ทำให้เวลาเพียง 1 วินาทีในเครื่องเท่ากับผ่านไปประมาณ 11.5 วัน, 1 ชั่วโมงผ่านไป 113 ปี  นั่นทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวนับล้านๆปี เฝ้ามองอารยธรรมมนุษย์อื่นๆที่จนถึงตอนนี้ขยายการตั้งถิ่นฐานไปทั่วกาแลกซี่ทางช้างเผือกและวิวัฒนาการเป็นสปีชีส์แปลกใหม่นับล้านๆสายพันธุ์ เกิดขึ้น คงอยู่ และดับไป

Gentian Line วัดเวลาเป็น Circuit โดย 1 Circuit เท่ากับ 200,000 ปี ทุกๆ 1 Circuit สมาชิกของ Line จะเดินทางมาพบกันที่ใดที่หนึ่งในกาแลกซี่ในการ Reunion ที่เรียกว่า The Thousand Nights เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเก็บบันทึกการเดินทางของทุกคนเข้าไปใน Trove (ขุมสมบัติ) ของ Line  ตามกฎแล้วสมาชิกของ Line ทุกคนมียานประจำตัวและต้องเดินทางคนเดียว แต่ Campion และ Purslane แอบคบเป็นคู่รักกันอย่างลับๆซึ่งเป็นพฤติกรรมต้องห้ามตามกฎของ Line  ทั้งสองเดินทางท่องกาแลกซี่ไปด้วยกัน และเมื่อถึงกำหนดการ Reunion พวกเขาก็เดินทางไปถึงสายพร้อมกันเนื่องจากติดพันการเจรจาธุรกิจกับอารยธรรมบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง

แต่เมื่อไปถึง พวกเขากลับพบว่าพี่น้องของพวกเขาแทบไม่มีใครเหลือ

มีคนปองร้าย Gentian Line และต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเขาให้สิ้นซาก จากการคาดคั้นเชลยที่จับมาได้ พวกเขาอ้างว่า Campion เป็นต้นเหตุของการกวาดล้างในครั้งนี้ ซึ่ง Campion เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไปทำอะไรไว้ Smiley การค้นหาความจริงในครั้งนี้จะนำพวกเขาไปสู่การค้นพบความลับของกาแลกซี่ มันเกี่ยวกับ The Priors ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่ครองกาแลกซี่ทางช้างเผือกและสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ก่อนมนุษย์จะเกิด เกี่ยวกับหุ่นยนต์ที่มีความรู้สึกนึกคิด มันเกี่ยวกับกาแลกซี่ Andromeda และมันก็เกี่ยวกับ House of Suns

ว่าแต่ House of Suns คืออะไรกันนะ? ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อนเลยล่ะ?! Smiley



House of Suns เป็นนิยายของ Alastair Reynolds เล่มแรกที่ จขบ. อ่านและคงไม่ใช่เล่มสุดท้ายแน่ๆ การเดินเรื่องตอนแรกแอบน่าเบื่อไปนิดแต่ก็พอเข้าใจว่าเป็นเพราะต้องปูพรมให้เนื้อเรื่องช่วงหลังดำเนินต่อไปได้อย่างถึงอรรถรส โดยเฉพาะครึ่งหลังสนุกมากๆ โดยรวมแล้วก็ถึงกับขั้นวางไม่ลงทีเดียวค่ะ  Sciences ก็เจ๋งดีโดยเฉพาะการชะลอเวลาและวิธีทรมานเชลย (อันนี้ต้องอ่านเอง มันโหดถึงใจมาก) เราว่าสิ่งที่คนเขียนต้องการนำเสนอหลักๆคือการเล่นพลิกแพลงกับเวลา ทั้งตัวละครเข้าออก Statis ปรับเวลากันเป็นว่าเล่น ไหนยานจะเดินทางได้เกือบเท่าความเร็วแสงทำให้เวลาบนยานช้ากว่าบนดาวเคราะห์ถึง 20 เท่า แล้วไหนจะรูหนอนอีก แค่ครึ่งเล่มหลังอย่างเดียวช่วงเหตุการณ์ก็กินเวลาไปเกือบแสนปีแล้วมั้งคะนั่น! Smiley

เรื่องนี้จะเป็นเล่มสุดท้ายที่เราเขียนรีวิวในปีนี้ เลยจะขอ Happy New Year 2016 ทุกคนล่วงหน้า ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่มีแต่นิยายไซไฟสนุกๆออกมา Smiley ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยเงินทอง และเพลิดเพลินกับการอ่านนะคะ

แล้วเจอกันปีหน้าค่า Smiley




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2558    
Last Update : 21 มกราคม 2559 18:53:21 น.
Counter : 869 Pageviews.  

The Man in the High Castle: Philip K. Dick - จริงหรือหลอกทำไมไม่บอกกัน?



ชื่อ: The Man in the High Castle
ผู้แต่ง: Philip K. Dick
Genre: Alternate History
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1962)




สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายอักษะ (Axis Powers) เยอรมันนีกับญี่ปุ่นแบ่งเค้กกันบนสหรัฐอเมริกา เยอรมันนีได้ปกครองดินแดนฝั่งตะวันออกของอเมริกา ใช้ชื่อว่า United States of America ตามเดิม ส่วนญี่ปุ่นปกครองฝั่งตะวันตก ใช้ชื่อว่า Pacific States of America (P.S.A.) และระหว่างทั้ง 2 ประเทศ มี buffer states ที่มีชื่อว่า Rocky Mountain States (R.M.S.)

เรื่องราวเกิดขึ้นใน P.S.A. และ R.M.S. ค่ะ

ขอแจงตัวละครที่มีมากมายเหลือเกินก่อน

• Mr. Baynes นักอุตสาหกรรมชาวสวีเดน เดินทางมาจากยุโรปเพื่อพบกับ Nobusuke Tagomi
• Nobusuke Tagomi ผู้มีอำนาจสูงสุดใน Japanese Trade Mission ที่ San Francisco เป็นลูกค้าของ American Artistic Handcrafts
• Robert Childan เจ้าของร้าน American Artistic Handcrafts ขายของเก่าของอเมริกาสมัยยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ว่าจะเป็น pulp magazine, นาฬิกามิคกี้ เม้าส์ ไปจนถึงปืน colt ลูกค้าของเขาคือเศรษฐีชาวญี่ปุ่น
• Frank Frink เป็นชาวยิวหลบหนี ทำงานเป็นลูกจ้างในโรงงานแห่งหนึ่งที่ผลิต ‘วัตถุโบราณ’ ขายให้กับร้านค้าอย่างร้านของ Robert Childan
• Juliana Frink อดีตภรรยาของ Frank Frink สาวสวยครูสอนยูโด มีชายมาติดพันอยู่ไม่ห่าง
• Joe Cinnadella หนุ่มคนขับรถบรรทุกที่พบกับ Juliana ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและกลับไปที่ห้องกับเธอ
• และที่สำคัญที่สุด Hawthorne Abendsen ผู้เขียนหนังสือ ‘The Grasshopper Lies Heavy’

นอกจากนี้ก็มีตัวละครที่เป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ถูกกล่าวถึงอยู่ประปราย เช่น Doctor Goebbels, Reinhard Heydrich, Hermann Göring เพราะฉะนั้นถ้ารู้ประวัติศาสตร์นาซีสักหน่อย ก็จะอ่านสนุกขึ้นค่ะ

ในเรื่องจะมีประมาณ 4 storyline ที่ตัวละครแต่ละกลุ่มร่วมกันเดินเรื่องไปในการผจญภัยแสนพิลึกพิลั่นใน ‘สหรัฐอเมริกา’ ที่เปลี่ยนไปแห่งนี้ หนังสือ 2 เล่มที่ตัวละครส่วนใหญ่ค่อนข้างยึดถือและปรากฏแทบจะตลอดเวลาในเรื่อง คือ I Ching (อี้จิง – ถ้าไม่รู้ว่าอี้จิงคืออะไร ก็ตาม ลิงค์นี้ ค่ะ) และ The Grasshopper Lies Heavy  อี้จิงหรือ Book of Changes เป็นหนังสือที่มีอยู่ในโลกของเรา แต่ The Grasshopper Lies Heavy นี่สิที่ไม่มี

The Grasshopper Lies Heavy คืออะไร?

มันคือนิยาย Alternate History ที่ Hawthorne Abendsen แต่งขึ้น เป็นเรื่องราวของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายพันธมิตร Smiley

แต่อย่าคิดว่าเรื่องจะง่ายอย่างงั้นค่ะ เรื่องราวในหนังสือ The Grasshopper Lies Heavy ฝ่ายพันธมิตรชนะสงครามก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่เหมือนกับโลกของเราหรอกนะคะ Smiley

การเดินทางของตัวละครทุกตัว คือการเดินทางเพื่อค้นหาว่าอะไรจริงแท้ อะไรจอมปลอม โลกนี้ หรือโลกนั้น หรือโลกไหนกันแน่ที่จริง ใครกันบ้างที่สวมหน้ากาก แล้ววัตถุโบราณนั่นละ คุณค่าที่แท้จริงของมันอยู่ที่ไหน ถ้าคุณเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของมัน จะไปมีประโยชน์อะไร?

อ่อ แล้วนิยายเรื่องนี้ (The Man in the High Castle) เป็นนิยายสายลับนะคะ Smiley



เนื้อเรื่องตอนต้นๆค่อนข้างอืด ต้องผ่านค่อนเล่มไปแล้วถึงจะเข้าใจการกระทำของตัวละครที่ผ่านมามากขึ้น และก็ออกจะเป็น literary fiction ด้วย คืออ่านเอามันส์อย่างเดียวไม่ได้ (เพราะมันก็ไม่ได้มันส์ขนาดนั้น) มีช่วงที่ตัวละครขบคิด (และบังคับให้เราคิดตาม) และมีอะไรให้ตีความเยอะอยู่เหมือนกัน 

อย่างไรก็ตาม ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ จริงๆแล้วคือจะโปรโมทซีรีส์ค่ะ 555+ Smiley



เพิ่งรู้ว่า Amazon มี production ด้วยก็ตอนนี้แหละ

The Man in the High Castle ฉบับซีรีส์กำลังมาค่ะ ตอน 1 (Pilot) ฉายไปแล้วเมื่อประมาณต้นปี ตอนที่ 2 ฉายเดือนที่แล้ว (ต.ค.) ส่วนตอนที่เหลือก็ตามรูปค่ะ วันที่ 20 พ.ย. 58 Smiley





Trailer ค่ะ




จขบ. ดูตอน Pilot ไปแล้ว ถือว่าดูดีทีเดียวค่ะ เรตติ้งใน imdb ก็ค่อนข้างดี แม้จะมีการปรับเปลี่ยน plot line ให้การดำเนินเรื่องน่าตื่นเต้นเพื่อให้คนดูเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ที่เราสงสัยคือ เปิดมาตอนแรกซีรีส์ก็เฉลย identity ที่แท้จริงของตัวละครไปแล้วถึง 2 ตัว แล้วธีมเรื่องจะเปลี่ยนไปขนาดไหน จุดนี้น่าสนใจ เราก็อยากรู้เหมือนกันว่า Amazon จะเดินเรื่องต่อไปยังไง คือมันจะแป้กไหมนั่นเอง Smiley

ปกเวอร์ชั่นอื่นๆค่ะ สวยๆทั้งนั้นเลย คัดออกไม่ลง แปะมันหมดเลยก็แล้วกัน




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2558 18:11:50 น.
Counter : 4478 Pageviews.  

The Dark Forest: Liu Cixin - หรือสุดท้ายเราจะตายด้วยกัน?

Remembrance of Earth’s Past




The Three-Body Problem – ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2008 (ฉบับภาษาอังกฤษ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2014) [Review]
The Dark Forest – ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2008 (ฉบับภาษาอังกฤษ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015)
Death’s End – ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2010 (ฉบับภาษาอังกฤษ กำหนดวางจำหน่าย ค.ศ. 2016)






ชื่อ: The Dark Forest
ผู้แต่ง: Liu Cixin
Series: Remembrance of Earth’s Past – Book 2
Genre: Science Fiction
Original language: Chinese
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2008)




*ข้อความต่อไปนี้มีเนื้อหาสปอยล์เล่ม 1 อย่างรุนแรงนะคะ*



อีกประมาณ 400 ปีข้างหน้า Trisolaran Fleet จะเดินทางมาถึงและยึดโลก (ระยะทางระหว่างระบบดาว Trisolaris และโลกคือ 4 ปีแสง – ทำไม Trisolaran ถึงจะต้องมายึดโลก? อันนี้แนะนำให้อ่าน The Three-Body Problem (เล่ม 1) เอาเองค่ะ เรื่องมันยาว Smiley) โลกจึงตกอยู่ในกลียุค ด้วยสภาพการณ์ที่การพัฒนา fundamental science ถูกทำให้หยุดชะงักโดย ‘Sophon’ (สิ่งมีชีวิตปัญญาประดิษฐ์มิติที่ 11 ที่ Trisolaran ส่งมายังโลกเพื่อยับยั้งการพัฒนาทางเทคโนโลยีของโลกไม่ให้เกิด ‘Technology Explosion’ ซึ่งจะทำให้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของโลกถูกพัฒนาเกินกว่าที่ Trisolaran จะต่อกรได้ โดยเฉพาะการพัฒนาด้านฟิสิกส์อนุภาค ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญของเทคโนโลยีทางการทหาร)

เนื่องจาก Sophon เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่...แบบว่า...มีตาทิพย์ (Sophon ถูกสร้างมาจากโปรตอน 1 โปรตอน (ไฮโดรเจน) อยู่ในมิติที่ 11 และมีความเร็วเกือบเท่าแสง ทำให้มันแทบจะเห็นเหตุการณ์เกือบทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก – ด้วยความเร็วแสงเราสามารถเดินทางรอบโลกได้ 7 รอบครึ่งต่อวินาที ก็ใช้จินตนาการเอาละกันค่ะ Smiley) ดังนั้นการจะวางแผนตอบโต้กองทัพ Trisolaran จึงเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เอาเลย  UN จึงคิดแผนกู้โลกขึ้นมาแผนหนึ่ง เรียกว่า ‘The Wallfacer Project’ และคัดเลือก Wallfacers มา 4 คนที่ UN คิดว่ามีคุณสมบัติมากที่สุดจากทั่วทั้งโลก ทั้ง 4 คนนี้จะต้องคิดแผนกู้โลกขึ้นมาให้ได้ไม่ว่าจะด้วย resources หรือวิธีการใดๆ และต้องทำโดยไม่ให้ Sophon ล่วงรู้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าต้องทำงานตัวคนเดียว มีแผนการทั้งหมดอยู่ในสมองอันล้ำเลิศของตนเท่านั้น

1 ใน Wallfacers ที่ได้รับเลือกคือ Luo Ji

เขายังไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกคัดเลือกได้ยังไง! Smiley

Luo Ji เป็นหนุ่มเพลย์บอยธรรมดา เขาเคยเป็นนักศึกษาสาขาวิชาฟิสิกส์ดาราศาสตร์แต่ก็ผันตัวมาเป็นอาจารย์ด้านสังคมวิทยา จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตเขาอยู่ที่เขาได้พบกับ Ye Wenjie (ตัวละครเอกหญิงจากเล่ม 1) ก่อนที่เธอจะตาย และเธอได้เอ่ยกับเขาถึง ‘Cosmic Sociology’ แม้จะเรียกได้ว่า Luo Ji ไม่เข้าใจบทสนทนานั้นนัก แต่ก็เหมือนกับ Ye Wenjie ได้หว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ไว้ในสมองของเขา และเป็นสิ่งที่ทำให้ Trisolaran (Sophon) ต้องการจะฆ่าเขาทิ้ง Smiley

เพราะเขามีโอกาสจะล่วงรู้ความลับสำคัญบางอย่างของจักรวาล ความลับที่ Trisolaran ไม่ต้องการให้โลกรู้



เล่ม 2 ของ Remembrance of Earth’s Past นี้เข้มข้นมากๆค่ะ Timeline ลากยาว 2 ศตวรรษเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกก่อนที่กองทัพ Trisolaran จะเดินทางมาถึง ตอนเปิดเรื่องมามีตัวละครเยอะแยะมากมาย ทั้งฝ่ายทหาร, นักการเมือง, นักวิทยาศาสตร์, เพลย์บอย (Smiley) หรือแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีรับมือกับเหตุการณ์วิปโยคของมนุษยชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 400 ปีข้างหน้า (หลาย 10 ชั่วอายุคนนู่น) แตกต่างกันไป เนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์หนักหน่วงมาก คุณ Liu Cixin จินตนาการล้ำเหลือจริงๆค่ะ แผนการและอาวุธของ Wallfacers แต่ละคนนี่คิดได้ยังไง แต่ขอบอกว่าเราแอบเบื่อช่วงแรกๆที่เน้นดราม่าชีวิต Luo Ji เหลือเกิน (บางคนที่ชอบอ่าน character development น่าจะชอบนะคะ เพราะตัวละครมีมิติกว่าเล่มแรก (แต่เราว่าก็ไม่ได้พีคอยู่ดีค่ะ) แต่เราเป็นคนไม่เน้นตัวละครเท่าไหร่อยู่แล้ว ชอบอ่านไอเดียและการเดินเรื่องมากกว่า) โดยรวมแล้วเราว่าเล่ม 1 เดินเรื่องมันส์กว่า ส่วนเล่มนี้เนื้อหา (hard science: เทคโนโลยี, ฟิสิกส์; soft science: สังคมวิทยา, จิตวิทยา; original ideas, characters) แพ็คแน่นกว่า โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ อะไรจะโหดเท่าทฤษฎี ‘The Dark Forest’ ไม่งั้นหนังสือจะได้ชื่อนี้เหรอ? Smiley

ทฤษฎี The Dark Forest เป็นทฤษฎีที่พยายามตอบโจทย์ Fermi Paradox สามารถอ่านข้อมูล Fermi Paradox ได้ ที่นี่ เลยค่า

สำหรับเรา เราว่ามันเป็นนิยายไซไฟที่ดีมากเล่มหนึ่งเลยค่ะ ไม่ผิดหวัง ให้คะแนนเต็มค่ะ Smiley

แล้วก็นั่งเงกนอนเงกรอเล่ม 3 (Death’s End – เล่มสุดท้าย) ที่คนที่อ่านฉบับภาษาจีนแล้วบอกว่าสนุกที่สุดในไตรภาค กันต่อไปค่ะ ฉบับภาษาอังกฤษคาดว่าจะแปลออกมาปีหน้า (2016)




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2558    
Last Update : 21 ตุลาคม 2558 18:45:37 น.
Counter : 1983 Pageviews.  

1  2  3  

@Dakki_Chan@
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add @Dakki_Chan@'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.