"I'm like cat here, a no-name slob. We belong to nobody, and nobody belongs to us. We don't even belong to each other."
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
17 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
ESTIMATE : Year 2 Sem 1

เสร็จสิ้นกันซะที กับ ปีการศึกษา ที่ 2 เทอม 1
ประเมินอาจารย์กันไปก้เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาประเมินตัวเองบ้างดีกว่า
มาดูซิว่า 4 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา กับ 6 วิชาที่ลงทะเบียน เราได้รับอะไรกันไปบ้าง

AESTHETICS (สุนทรียศาสตร์)
ในตอนแรก เราค้นพบว่า ข้อดีเพียงอย่างเดียวของวิชานี้ คือการเข้าไปพึ่งแอร์เย็นๆ และเดินทางสู่ห้วงนิทรา อย่างสบายอารมณ์ ชั่วโมงแรกที่ได้พบกับ ดร.ชัยสิทธิ์ รุปลักษณ์ภายนอกที่ดูราวกับหลุดมาจากแผงพระเครื่องแถวจตุจักร เรานึกในใจว่า คุณลุงผู้นี้เหรอ จะมาสอนบรรยายวิชาที่ว่าด้วยการศึกษา และวิเคราะห์ความงาม ใบหน้าซื่อๆแบบเกษตรกรไร่มันสำปะหลัง ผมที่ตัดทรงมหาดไทย การแต่งตัวแบบข้าราชการยกโหล (เออออ ได้กลิ่นกระทกทองแดงลอยมาแต่ไกลเชียว - - เอาน่า อย่างน้อยเราก็ยอมรับว่า เราเองก็เป็นคนจำพวกที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อนน่ะ) เราฟัง ดร. .....อืม เค้าเป็น ดร. อ่ะ บรรยายชั่วโมงแรก เรื่องความหมายของสุนทรีย์ หมดไป 2 ชม. อันเป็นข้อความซ้ำๆ ที่พุดวนไปวนมา และด้วยน้ำเสียงที่บริษัทยานอนหลับสมควรมาแสกนเนื้อเสียงไปผสมเป็นตัวยาสูตรใหม่ ทำให้บรรดานักศึกษา ไม่ต่างอะไรจาก ดอกมะเขือ ที่บานแล้วพากันน้อมหัวลง(กับโต๊ะ) อย่างรวดเร็ว
เอออออ เฮ้อออออ แต่เราก็ยังคงมาเรียนต่อไป สวนกระแสสังคม ที่จำนวนประชากรในชั้นเรียนค่อยๆลดหายลงราวกับว่าห้องนี้มีผีสิง....ไม่นานเราก็ค้นพบว่าเราคิดไม่ผิดที่ยังคงมาเรียน และเราได้เดินทางไปสำรวจความงามของสิ่งต่างๆ จากหอคอยในเรื่องสโนว์ไวท์ ไปจนถึงห้องขังดร.ฮันนิบาล
ดร. ชัยสิทธิ์ ทำให้เรารู้สึกเสียใจจนอยากฮาราคีรี ที่เคยมองเค้าเป็นแค่ลุงแก่ เราพึ่งมารู้ทีหลังว่า ดร. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจาก ประเทศอินเดีย ดินแดนแห่งการค้นหาความหมายของชีวิต (หรืออะไรที่ฟังแล้วเลี่ยนแตก) และเคยผ่านการบวชมานานหลายพรรษา จึงไม่น่าแปลกที่การเรียนการสอน ดร. จะพาเราไปเจาะลึก วิเคราะห์ตัวละครในภาพยนต์ ด้วยการนำความงามของศูนย์บัญชาสมองซีกขวา มาสมรสกับสมองซีกซ้าย....เรารู้สึกพิศวงที่ค้นพบถึงเรื่องราวที่ซุกซ่อนในนัยยะแฝงของภาพยนต์ หรือผลงานศิลปะชิ้นต่าง ความเป็นนักจิตวิเคราะห์ และนักศาสนา ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินที่ได้ฟังเค้าบรรยายในสิ่งต่างๆ ถึงตัวเราจะนั่งอยู่ในห้องบรรยาย แต่ใจเรากลับลอยไปสู่ความเป็นสุนทรีย์ เราไม่อาจกล้าพอจะบอกว่า เรากำลังเดินทางไขความลับของจักรวาล เพราะมันฟังโอเวอร์เกิน แต่เรากลับรู้สึกว่าการเริ่มต้นของสุนทรีย์ที่ดีที่สุด คือเริ่มจากการสำรวจจิตใจของตนเอง
เราอยากบอกคุณครูว่า รักคุณครูมากๆๆๆๆ ถึงจะไม่ใช่อาจารย์ประจำภาควิชา แต่ก็จะให้การเคารพคุณครูตลอดไป
วิชานี้เรามั่นใจว่าคะแนนออกมาประเสริฐแน่ๆ เราเชื่อว่าเมื่อเกิดฉันทะ สิ่งที่ดีก็จะตามมา
ตอนสอบปลายภาค ดร. บอกว่าให้ไปเอาชีทมาอ่านด้วยน่ะ จะเป็นบทสรุปวิเคราะห์ผลงานศิลปะ เราก็แย่จริงๆ ที่ไมได้ไปรับมาอ่าน และสุดท้ายก็นั้นแหละ 30 วินาทีก่อนสอบ เราเปิดอ่านแบบรวดเร็วๆ แสกนด้วยพื้นฐานที่สั่งสมมาจากชม. เราเชื่อว่ารูปศิลปะที่ออกสอบ จะต้องมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่ดร. สอนในชม. แน่ๆ และเราก็คิดถูกจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อดขำไมได้ เพราะในชีทนั้น ดร. แกเขียนสรุปรุปแต่ละรูปออกมาเป็นกลอน โอ้! ลึกซึ้งจริงๆ

ENGLISH FOR DEVELOPING READING SKILLS (ภาษาอังกฤษ เพื่อเสริมทักษะการอ่าน)
อยากบอกว่า ขอบคุณ คุณครูสมัยมัธยมมากๆๆๆๆๆๆ เพราะสิ่งที่เรียนมาตอน ม.6 ใช้ได้เยอะเลย
เรารู้สึกว่าแต่ละครั้งที่เข้าเรียน เหมือนเดินทางย้อนเวลามายังสมัยมัธยม เป็นไอ้เด้กหัวเกรียน
วิชานี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากอ่านบทความ หา Reference หาความหมายของคำศัพท์จากบทความ อะไรทำนองนี้แหละ สำหรับเรา เราว่ามันง่ายอ่ะ ซึ่งก็นั้นแหละ สตรีวิทยา 2 เค้าปูพื้นมาให้ดี
เราก็ทำได้ดีในวิชานี้ เป็นที่พึ่งให้เพื่อนๆได้ อืมมมมม ขอ A น่ะวิชานี้

FUNDAMENTALS OF COMMUNICATION (สื่อสาร)
ถ้าเราได้เป็นคณะบดีน่ะ เราจะตัดวิชานี้ออกจากสารบบของการศึกษาประจำ ภาควิชานิเทศออกไปเลย
เราเข้าใจว่ามันสำคัญ
แต่มันไมได้จำเป็นมากพอที่จะเอามาใส่ลงไปในหลักสูตร
เพราะเราไม่ใช่นักนิเทศ สื่อสารมวลชน
เทียบแล้ว สุนทรีย์ศาสตร์ ยังเป็นวิชาที่สำคัญกว่า ในฐานะของการสื่อสารสู่มวลภาวะแห่งจิตใจมนุษย์
แค่วิชาดูน่าเบื่อยังไม่พอ ครูผู้สอนยังช่วยขยายความหมายของ น่าเบื่อ ให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะท่านดูไม่ได้เหมือนกับมาสอน แต่เหมือน “อ่านชีทให้น้องฟัง”
เราคิดไปว่าแล้วมันได้อะไรเหรอ ถ้าเราต้องตื่นแต่เช้า (เออ เราขี้เกียจ) เดินทางเข้าห้องเย็น และมานั่งฟังครูอ่านชีท เราเข้าใจแทนคนอื่นว่า เป้าหมายสูงสุดที่ทุกคนเดินทางมายังห้องเรียน ก็แค่แลกกับเส้นน้ำหมึกหงิกๆงอๆ เส้นเดียวบนใบรายชื่อนักศึกษาหลังเลิกเรียน....
ปฏิรูปใหม่ซักเถอะ หรือไม่ก็เปลี่ยนให้เป็นระบบ อ่านเองที่บ้าน แล้วมาสอบ แบบรามดีกว่าน่ะ

FILM AND VIDEO TECHNQUES (เทคนิคภาพยนต์)
ภาพยนต์ คือศาสตร์แห่งการเล่าเรื่อง ที่นำ ศิลปะและวิทยาศาสตร์ มารวมกัน
เออ ใช่ เรารู้ว่าศิลปะอ่ะเรามี แต่ไอ้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ไอ้จำพวกทฤษฏี ความรู้เรื่องเครื่องมือช่าง กลไกเครื่องกล อุปกรณ์ อะไรพวกนี้ เราแทบจะไม่มีเลย หรือมีก็คงมีแบบผิดๆถูกๆ
วิชานี้เป็นวิชาที่มีความจำเป็นต่อหน้าที่การงานของเรามาก การใช้กล้อง การจัดไฟ
แต่ทำไมหลายครั้งเราต้องทำให้ตัวเองผิดหวัง เพราะเราไม่เข้าใจ
เราไม่เข้าใจ หรือเราไม่ใส่ใจ ทำไมเราถึงต้องนั่งหงุดหงิดทุกครั้ง เพราะเราจัดไฟไม่เป็น หรือเรายังปรับโฟกัสกล้องไม่ได้ เราพยายามจะเรียนรู้ แต่บ่อยครั้ง เรากลับเหนื่อย เราไม่อยากโทษว่า เพราะอาจารย์สอนน่าเบื่อ เพราะมันไม่ช่วยให้เราดูฉลาด หรือคนอื่นเข้าใจเรา บ่อยครั้งเราต้องเตือนตัวเองเสมอ เมื่อครั้งยังมัธยม เราเที่ยวบอกตัวเองและคนอื่นว่าเราอยากเป็น ผู้กำกับ มากแค่ไหน และลาดกระบัง คือสถาบันที่เรา to die for (ขอกระแด๊ะหน่อย) ในตอนนี้เราเป็นนักศึกษาภาพยนต์เต็มตัวแล้ว ความเหนื่อยใจ ความเครียด ความไม่รู้แจ้ง ทำให้เราท้อ
จินตนาการมันเป็นสิ่งที่อยู่ในหัว ต่อให้เรามีมากแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่สามารถนำมันออกมาถ่ายทอดได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้สร้างสรรค์โลกภาพยนต์ วิชานี้ทำให้เรากลัว กลัวที่จะต้องตายลงอย่างไร้ความภาคภูมิ และตายลงเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครจดจำเราได้เลย
ไฟนอล ของวิชานี้ เป็นการถ่ายภาพยนต์สั้น ส่ง เราอยู่ในกลุ่มที่เรียกได้ว่า น่าพอใจ ทุกคนต่างก็มีความสามารถแตกต่างกันออกไป ภายใต้การดูแลของ นุช สตรีที่เป็นมากกว่าคนโทรจิกเพื่อนๆในคณะ
หนังสั้นเรื่อง “เปลือง” ของเราออกมาอย่างน่าพอใจ เราทำหน้าที่ ที่พอเหมาะพอสมกับตัวเอง นั้นคือ คนเขียนบท และ แอ๊คติ้ง โค้ช
สำหรับหน้าที่แรก เราว่า เออ ก็โอเคว่ะ
ส่วนหน้าที่ที่สอง เราว่า เรายังทำไม่ค่อยดี อันจะไปกล่าวโทษว่า นักแสดงนำ มันเล่นหนังไม่ได้ (เห็นแล้วถึงกับอึ้ง แบบว่า เฮ้ย มันจะเล่นได้เหรอ คือเธอขาดบุคลิก ขาดชีวิตชีวา ขาดความกล้า ขาดไหวพริบ ขาดทุกอย่างเท่าที่นักแสดงคนนึงจะมี เสียจนเป็นตัวประกอบเธอก็เป็นไมได้) มันก็เป็นหน้าที่ของแอ๊คติ้งโค้ช ที่จะต้องคอยจัดการ
ครั้งแรก เราใช้วิธีเผด็จการ ด้วยการ ฟิคทุกอย่าง ประมาณว่าคีย์ข้อมูลใส่ แล้วเล่นตามนั้น ผลก็คือเล่นได้ แต่เกร็งตามโปรแกรมที่ยัดลงไป
ในวันต่อมา เราใช้วิธีแบบที่เราเคยเรียนรู้จากละครเวที คือการให้นักแสดงไปศึกษาบทละคร และทำความเข้าใจกับตัวละครที่สวมบทบาท เพื่อการแสดงที่เป็นธรรมชาติ และออกมาจากข้างใน....แต่เออก็นั้นแหละ สุดท้ายน้องเค้าก้เล่นอะไรไม่ออกเลย เราก็เลยท้อใจ เครียดอีกแล้ว และก้กลับไปคีย์ข้อมูลให้น้องตามเดิม ให้คะแนนแล้วเราก็ยังทำหน้าที่นี้ไม่ดีเลยจริงๆ

SCULPTURE AND PRINTMAKING (ประติมากรรมและภาพพิมพ์)
มาอีกล่ะ วิชาพวกประดิษฐ์ประดอย วิชาความสามารถทางการใช้มือทำงานตามหัวสั่ง
เบื่อว้อยยยยยย เบื่อมากสำหรับพวกหัวใหญ่กว่ามือแบบเรา
แต่ละงานที่ผ่านเข้ามา เราผ่านไปได้แบบจัญไรมาก
ทั้ง ประติมากรรม จากดินน้ำมัน สุดตีนล่ะพี่น้อง กูไม่สนุกเลย (สังเกตุว่า เริ่มเปลี่ยน สรรพนาม) และลงเอยด้วยการผ่านมันไปแบบเชี้ยๆ
งานต่อมาเชี้ยกว่า ประติมากรรมกระดาษ อาจารย์สั่งให้จับกลุ่มแล้วเลือกประเภทสัตว์ที่อยากทำ กูขอเหอะ มึงจะเอาตัวเหี้ยไรก้ได้ แต่ทำไม มึงต้องเลือก นก ห่า กว่ากูจะทำปีก กว่ากูจะแปะขน กุอยากตายสลายโมเลกุล
และแน่นอน นกฮูกกู สิ้นชีพแบบไม่ต้องตายตาโพล่งตอนเที่ยงคืน เพราะกูร้องไห้ตอนโดนเชือดนิ่มๆ (ครูผู้สอนวิชานี้ ที่กูคิดว่าเค้าหล่อ สำหรับกู - -ครุเล็ก สามารถทะลุทะลวงจิตใจกู ออกมา ราวกับว่าเค้ามองเห็นจุดอ่อนของเด้กทุกคนเหมือนที่มองเห็นกระดุมบนชุดนักศึกษา)
จากที่กูเคยถามตัวเองว่า ทำไมภาพยนต์มหาลัยเรา (ใจเย็นขึ้น เลยกลับมาใช้สรรพนามเดิม) ต้องบรรจุวิชาพวกนี้ลงไปให้เรียน มันเกี่ยวตรงไหนกับภาพยนต์ เราก็ได้คำตอบ
ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิด หรือความประณีต ความเอาใจใส่ การคีความหมายของโจทย์จากผู้สั่งงาน
อย่ามองว่ามันเป็นแค่ประติมากรรม เราสามารถมองมันได้ใหม่ว่า มันก็คือ ภาพยนต์เรื่องนึง ที่ต้องตีความจากโจทย์ เราต้องคิดว่า เราจะทำอะไร ทำไปทำไม ทำเพื่ออะไร นั้นคือแค่ขั้นแรกเวลาทำภาพยนต์ ขั้นต่อมา คือการเตรียมงาน การจัดหาวัสดุ สำรวจวัสดุ วางแผนโครงการ มันก็ไมได้ต่างจากการแคสติ้งนักแสดง หรือหาโลเกชั่นถ่ายทำเลย หรือในขั้นตอนการทำงานประติมากรรม ที่ต้องเอาใจใส่ ความประณีต ความรอบคอบ เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผกก. จ้องใส่ลงไปในหัวใจพวกเค้าเวลาจะถ่ายทำภาพยนต์
กูคงพุดแบบเชยๆว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้....
แต่ความเป็นจริงคือมันผ่านมาแล้ว เราก็ทำได้แค่มองมันเป็นบทเรียน เพื่อสำหรับงานในอนาคต
อ่ะ ใช่
เพราะวิชานี้มันยังไม่จบครับท่าน
งานสองชิ้นสุดท้าย เป็นงานกลุ่ม เราปรับปรุงตัวขึ้นใหม่ ยิ่งได้ทำงานกลุ่มแล้ว ก็เป็นเรื่องดีที่จะขยันมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคที่อาจก่อตัว จากจำนวนคนที่หลากความคิด
Soft Sculpture ประติมากรรมที่ใช้วัสดุนิ่มๆทำ แน่นอน มันก็คือ ผ้า ฟองน้ำ ยาง ไรพวกนี้แหละ กลุ่มเราทำรองเท้าคอนเวิร์ท ด้วยการตีโจทย์ที่อยากทำอะไรที่มีความเป็นวัยรุ่น ความเป็นแฟชั่นร่วมสมัย ใส่ได้ทุกวัย ทุกเวลา แต่ใครจะรู้ว่ามันเหมือนการขุดหลุมดักตัวเอง เพราะไอ้ความที่เป็นสิ่งของที่มีอยู่จริง ทำให้กลุ่มเราต้องใส่ใจกับรายละเอียด ขนาด ลิ้น ขอบ เพราะเราไม่สามารถจะคิดทึกทักเอาเองได้ ทุกอย่างต้องเหมือนจริง
แต่ก็น่ะ เฮ้อออออ สุดท้าย จากคอนเวิร์ท ก็กลายเป็นผ้าใบ 199 จบลงแบบไม่สวยซักเท่าไร เหมือนรอยตะเข็บที่เย็บกัน แต่เรากลับรู้สึกดีที่ตัวเองขยันมากขึ้น ทำงานมากขึ้น คิดมากขึ้น ถึงแม้บางครั้งความคิดอาจไม่ตรงกันบ้าง แต่เราก็ดีใจที่ได้ร่วมงานกับทุกคน
สำหรับบางกลุ่ม การร่วมงานเหมือนกับ การลงนรกหมู่ บางคนที่เกลียดกันฝังใน หรือเกลียดกันออกนอกหน้า แต่ไม่มีอะไรที่จะทำให้ทุกคนแสดงออกทางสีหน้าได้เท่าตอนครูเล็ก ประกาศว่า งานชิ้นต่อไป Mix media ประติมากรรมสื่อผสม จะให้ใช้กลุ่มเดิมทำ
เราเข้าใจในสิ่งที่ครูเล็กพุด และจุดประสงค์ที่เค้าต้องการ ไม่ใช่ว่าเรามีปัญหากับคนในกลุ่ม แล้วก็หวังให้มันจบไป เลิกงานก็ลาจาก เกลียดกันฝังใน แล้วพอไปกลุ่มใหม่ เจอปัญหาใหม่ ก็เหมือนเดิมอีก
ครูต้องการให้เรากลับมาเผชิญหน้ากับปัญหา และแก้ไขมันอีกครั้ง มันเหมือนกับภาพสะท้อนของอนาคต เมื่อเราทำงาน เราไม่มีสิทธิ์เลือกเจ้านาย เลือกกองถ่าย เลือกเพื่อนร่วมงาน จะเกิดอะไรถ้าทุกคนคิดว่า ก็ช่างแม่ง กุไม่ชอบมึง โดยไม่คิดจะแก้ไข ไม่คุย ไม่ปรึกษา ถ้า Soft Sculpture ทำให้แต่ละคนมีปัญหากับกลุ่ม Mix media ก็คือการรวมตัวของปัญหาในอดีต และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ร่วมงานกับเพื่อนเหล่านี้ เพื่อนที่สร้างปัญหาให้เรา ทำให้เราโกรธ งานจะสำเร็จไหม ถึงจะออกมาดี แต่ถ้าจิตใจคนในกลุ่มไม่สมัครสมาน ครุเค้าก็คงไม่อยากยอมรับว่ามันเป็นการรวมงานที่สำฤทธิ์ผลหรอก
แต่สำหรับกลุ่มเราก็ไม่มีปัญหา เพราะคนในกลุ่มเราส่วนใหญ่จะ chill out กันซะ งานนี้เราทำ เก้าอี้ที่เป็นตัวแทนของเด้กนักเรียนภาคใต้ ที่ประสบปัญหาการก่อการร้าย การเผาโรงเรียน โดยเราทำเก้าอี้ออกมาให้สะท้อนถึงจิตใจเด็กที่มองเห็นความบอบช้ำจากภัยก่อการร้าย โรงเรียนถูกเผา เก้าอี้ไหม้ ขาหักไม่รู้จะนั่งยังไง ต้องเอาพวกดินสอสีมาต่อเป็นขาเก้าอี้ เออออออ สนุกว่ะ งานนี้ได้วางเพลิงด้วย เผาเก้าอี้เลย แล้วก็ทำ Wood Cut แกะสลักลายไม้ลงบนเก้าอี้ เป็นรูปโรงเรียนของฉัน

Acting (การแสดง)
นึกถึงเพลง Kiss & Cry ของอูทาดะ ขึ้นมาเลย
แน่นอน คนที่รู้จักเราดี จะรู้ว่านี้แหละชั่วโมงแห่งการเฉิดฉายของเรา เราผ่านมันไปอย่างประสบความสำเร็จ โดดเด่น เราไมได้หลงตัวเอง แต่เราพุดจากสิ่งที่เราเห็น และที่เราได้ยิน
แต่ก็นั้นแหละ Kiss & Cry
ละครเรื่องนี้มันไม่ได้มีแต่ความสุขหรอกน่ะ
โศกนาฏกรรม มันทำให้เรา Cry ในตอนท้ายก่อนที่ม่านจะปิด
ไฟนอล ของวิชานี้ คือ ให้นักศึกษา ไปแสดงหนังสั้น มิวสิควิดีโอ หรืออะไรก้ได้ ที่ได้ถ่ายทอดการแสดงออกไป แล้วนำมาส่ง โดยครูปุ้ม หวังให้พวกเราไปแสดงหนังสั้นรุ่นพี่
แต่นั้นแหละ ใครมันจะไปว่างแสดงหนังให้รุ่นพี่ หรือรุ่นพี่ที่ไหนจะลงมาเลือกรุ่นน้องไปแสดงหนัง
สุดท้ายทุกคนก็คือ ถ่ายกันเอง กำกับกันเอง เล่นกันเอง
เราเลือกที่จะไปแสดงหนังให้กลุ่มนึง แล้วเราก็ผันตัวมากำกับให้อีกกลุ่มนึง
โดยหนังที่เรากำกับเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ผู้ชายจอมเก็บแต้ม คนนึงที่เลือกจะไปออกเดตกับผู้หญิง 3 คน โดยเรื่องจะเกิดขึ้นภายในวันเดียว แต่หนังจะแสดงให้เห็นผลของการเลือกผู้หญิงทั้งสามออกไปเที่ยว (ประมาณว่าเป็นโลกที่เวลาเกิดขึ้นซ้อนลูปเวลากัน / แบบเกมส์ที่ตายแล้วก็เริ่มใหม่อ่ะ) ซึ่งในแต่ละส่วนที่ไปเที่ยวก็จะแยกไปเป็นตอนของผู้หญิงแต่ละคน และจบลงกันคนละแบบ
ลางร้ายเริ่มปรากฏตอน capture งานลงคอม เมื่อเพื่อนเราบอกว่า ไม่มีเสียงปรากฏในฟุทเทจเลย และเค้าก้ได้ส่งมันไปในฐานะหนังเงียบ ในฐานะที่เราเป็นคนกำกับ เราไม่ต้องการจะปล่อยผลงานของตัวเองออกไปในฐานะหนังเงียบ เสียดายทั้งบท ทั้งการแสดงเราได้ขอต่อรองกับครูปุ้มว่าจะลองกลับไปตัดต่อใหม่ และทำใหม่ให้และใช้วิธีพาท์กเสียงทับลงไปแทน
ซึ่งใครจะรู้ว่า หายนะ กำลังตามมา
เราเอากลับไปเปิดอีกที ฟุทเทจ ที่ตอนแรกมันไม่มีเสียง แต่น่าแปลกที่เมือ่เราเปิดมันกลับมีเสียง เราเลยตัดต่อไปอย่างสบายใจ ใช้เวลาตั้งแต่สองทุ่มถึงตีสาม (ขอขอบคุณเพื่อนเรา เดรียลนารี ที่เอื้อเฟื้อคอมให้เราใช้ทำงาน เพราะคอมบ้านเราช้าเกินกว่าจะตัดต่อหนัง แถมเนื้อที่ก็เหลือไม่ถึงกิ๊ก)
หลังจากนั้นความยากลำบากก็ตามมา เพราะเราไม่เคยไรท์ ดีวีดี แบบเปิดกับสเตอริโอ ต้องลองผิดลองถูก เสียแผ่นไปก็หลายแผ่น แต่สุดท้ายมันสำเร็จกับแผ่นที่ 4
เมื่อวันจันทร์มาถึง เราก็เอาหนังไปเปิดให้ครุปุ้มดู และเค้าก็เริ่มด่าเราถึงความจัญไรของทุกอย่าง
อันที่จริงเราเองก็ทำใจไว้แล้ว ว่าไม่มีงานไหนที่ไม่โดนด่า แต่เราเบื่อกับคำพูดที่เค้าชอบพุดขัดไปขัดมา
ในหนัง เราพยายามเน้นไปที่บท กับการแสดง เราจึงไม่ได้เซทไฟ หรือสนใจเรื่องมุมกล้องเท่าไรนัก รวมทั้งโลเกชั่นในฉากที่ตัวละครไปร้านอาหาร เราก็เซทเอาโต๊ะหน้าโรงถ่าย
คิดว่าเราชุ่ยใช่ไหม
ใช่เราตั้งใจแบบนั้น แต่คิดเหรอว่าเราจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าเราไม่ได้ยินครุปุ้มพูดไว้ก่อนว่า
ครูจะดุแต่แอ๊คติ้ง จะไปถ่ายอะไรมา ฉันก็จะดุแค่การแสดง นี้มันวิชาแอ๊คติ้ง พวกเธอไม่ต้องมาพยายามจัดแสง อะไรให้มันเวอร์ลง เอาแค่การแสดงก้พอ

แต่กลายเป็นว่า สุดท้าย เค้าก็เริ่มติ เรื่องแสงในหนัง ฉาก เสื้อผ้า เมคอัพ มุมกล้อง
พอเราเริ่มอ้าปาก พุด
เค้าก็บอกว่า เพราะการแสดงมันแย่ไง ฉันถึงได้ลามมาที่เรื่องอื่น
เราบอกตรงนี้ได้เลยว่า ถึงเราจะเป็นคนกล้าโต้เถียง แต่กับคนนี้ เราเริ่มเบื่อ พอทันทีที่ปากเราอ้า ปากเค้าก็จะอ้าตาม และกว้างกว่า ซึ่งนั้นหมายถึง การสนทนากลายเป็นสนามรบและเราไม่ต่างจากทหารชั้นต่ำที่กำลังจะโดนปลายดาบของแม่ทัพฝั่งตรงข้ามเจี๋ยนคอ และแน่นอนว่า การเถียงกับเค้า อาจต้องทดเวลาบาดเจ็บเพิ่มจากเดิม เป็น 30 นาทีต่อยัตินึงที่โผล่ขึ้น

ถ้าการแสดงมันแย่ แล้วเราสมควรที่จะโดนด่าเหรอ การแสดงมันไม่ใช่เรื่องที่นักแสดงต้องไปตีความแล้วถ่ายทอดมาเองเหรอ ผู้กำกับแค่สั่งว่าต้องการอะไร แล้วนักแสดงนั้นแหละที่ต้องเป็นคนถ่ายทอดออกมา

เค้าพุดกลับมาว่า ที่ฉันดูหนังเนี้ย ไม่ใช่เพราะฉันจะดุพวกนักแสดงแล้ว แต่ฉันดูหนัง ในฐานะ หนังที่กำกับโดยตัวเธอ ซึ่งมันแย่มากกกกกกกกก ฉันดูเพราะเธอสะเอออะทำมันออกมาให้ฉันดู เอาขยะมาให้ฉันดู เรื่องมันควรจะจบแล้ว ถ้าตอนแรกเพื่อนเธอเอามาส่งเป็นหนังเงียบ ฉันจะได้ให้ 0 แต่เธอก็ยังดันทุรังเอามาทำใหม่ ตัดต่อใหม่ ดังนั้นสิ่งที่ฉันด่าเธอ ฉันด่าเธอในฐานะผู้กำกับ และฉันไม่สนแอ๊คติ้งแล้ว ฉันดูภาพรวมทุกอย่างของหนัง

สรุปว่าการที่เราช่วยเพื่อนด้วยการกำกับหนังสั้นให้ คือเราเกรียน เราสะเออะ อวดดี เหรอ
แล้วเราไม่เข้าใจ ไหนเมื่องานที่ คนอื่นส่ง มันก็คือการกำกับเอง ถ่ายเอง แต่ทำไมสุดท้ายเราโดนด่า ราวกับเราเสนอหน้า โชว์พาวอยู่คนเดียว หรือเค้ามองว่าเราเป็นแค่คนอวดดีที่มีตัณหา อยากทำ อยากอวดคนทั้งโลก แต่ทำออกมาแล้วถ่อยจัญไร เลยต้องด่าให้เราเสียความภูมิใจ

ถ้าจะพุดความถ่อยของโปรดักชั่น เราก็บอกไปแล้วว่า เราไมได้เอาใจมาใส่ในจุดนั้น เพราะอาจารย์พูดเองว่า ไม่สนใจ
หรือถ้าจะพูดเรื่องการแสดง เราพูดแบบไม่กลัวคนอื่นโกรธเลยน่ะ ว่าสิ่งนั้นคือตัวนักแสดงเองที่ต้องทำการบ้าน
เราเข้าใจแล้วล่ะ ว่าครูปุ้ม ด่าเรา ด่าในฐานะคนทำหนัง
เราพยายามมองโลกในแง่ดีว่า ครูคาดหวังในตัวเรารึเปล่า เพราะเราสงสัยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไร ทำงานอะไร เรามักจะโดนด่ามากที่สุด
ง่ายๆเลยน่ะ งานแต่งแฟนซี เค้าก็หาว่าเราแต่งชุดประหลาดๆ
แต่ในขณะเดียวกัน บางคนที่ไมได้คิดชุดด้วยตัวเอง แค่เช่าชุด มาใส่ หรือไปลอกมาจากเกมส์ จากอนิเมะ กลับไม่โดนด่า
ทั้งๆที่เค้าพูดไว้ว่า “ให้คิด ออกแบบ ชุดตัวละครเอง อย่าไปลอกมา” แต่ทำไมว่ะ ทำไมพอเราคิด เราก็โดนด่า ใช่เราออกแบบมาไม่สวยหรอก
แต่ในขณะคนที่ก๊อปมา กลับมีชีวิตรอดไปวันๆ สรุปถ้าเราก๊อปชุดมา เราก้ไม่ต้องโดนด่าใช่ไหม

กลับมายังเรื่องหนังสั้น
มีสองประโยคที่ค่อนข้างทำร้ายความรู้สึกเรามาก
1. เธอรู้ไหม หนังเธอมันห่วย ห่วยจนทำให้เพื่อนนักแสดง ไม่ได้เกรดเอ
ตรงนี้แหละ ตรงนี้แหละ หน้าที่ผู้กำกับ เราจะรับผิดชอบได้ไหม เราอ่ะได้เกรด เอ ไปแล้ว เพราะเราไปเล่นหนังกลุ่มอื่น แต่เพราะความโง่ ความไม่ทันเล่ห์ ทำให้กูซวย และกูทำให้เพื่อน 5 คน ไม่ได้เอในวิชาที่ควรจะได้ เพราะกุดันไปกำกับให้เค้าเล่น - - ในฐานะผู้กำกับ ในวันข้างหน้า ถ้าหนังกูขาดทุน กูจะรับผิดชอบกองถ่ายทั้งกองได้ไหม เรามองว่าถึงจะเจ็บปวด แต่ก็เป็นความจริง เพราะผู้กำกับคือทุกอย่างของหนัง มันคือการรับผิดชอบ และมันกลายเป็นตราบาปในชีวิตเรา ถึงจะเป็นแค่งานวิชาแอ๊คติ้ง แต่เราพลาดไปแล้วล่ะ เราเคยทำให้สมาชิกกองถ่ายต้องจบชีวิตลงด้วยการพลาดเกรดเอไป
2. เธอน่ะมันก้แค่จับเพื่อนมาสนองตัณหาตัวเอง
ตอนได้ฟังเรานิ่งไปเลย ถ้าหัวใจเราหยุดเต้นได้เราคงหยุดไปแล้ว ในสายตาอาจารย์เราเป็นแค่คนบ้า พวกเกรียน พวกโง่ ที่ดีแต่คิดนู้นคิดดี ทำแต่เรื่องอัปรีย์แล้วหาแนวร่วมมาลงแขกความวิบัติ เหี้ยคนเดียวไม่พอ เพราะมันไม่ก่อร่างสร้างงาน เลยต้องลากคนมาทำริยำตำบอน เพราะสนองความคิดมักใฝ่ต่ำ
ทุกคน เราไม่รู้น่ะว่าทุกคนมองเราแบบนั้นเหรอ แต่ที่เราทำ เราแค่อยากทำ อยากช่วยงาน ใช่หนังเรื่องนั้น มันก็เริ่มมาจากสิ่งที่เราอยากทำด้วย แต่เราไม่เคยคิดจะทำให้คนอื่นต้องมาแย่ด้วยเพราะเรา จับเพื่อนมาแกล้ง หรือหลอกให้ดูมัวหมอง

เราเสียใจกับไอ้สองประโยคหลังมาก นี้ล่ะมั้งที่เค้าอยากให้เรารู้
รู้ว่าถ้าไม่ดีพอ อย่าสะเออะทำงานแบบนี้มาให้เค้าดู อย่าปีกกล้าขาแข็ง อย่าเกรียน
“เธอน่ะไม่มีความสามารถพอจะกำกับหนังด้วยซ้ำ” ครูปุ้มพุดกับเราแบบนี้
ในขณะที่ใจนึงเราอยากถาม
“ถ้าไม่ลองทำแล้วจะรู้ไหมว่าเมื่อไรเราทำได้ ถ้าไม่เริ่มแล้วเมื่อไรจะรู้ว่าทำได้ ถ้าไม่ลงมือทำ แล้วมันจะเกิดการฝึกฝนไหม”
ไอ้ความสามารถน่ะ มันไม่ใช่แค่คิดว่าทำได้แล้วก็ทำได้ แต่มันต้องมาจากการฝึกฝน การทำงาน
ครูจะให้พวกเราทำยังไงกันแน่
พอลงมือทำ มันก็มีแต่คำว่าสะเออะทำ
พอไม่ลงมือทำ มันก็เป็นแค่คนไม่พัฒนา ไม่สร้างสรรค์
เราเหนื่อยที่ต้องคอยสนองคำพุดที่ไร้การรับผิดชอบ วันนึงพุดแบบนี้ อีกวันพุดอีกแบบ
วันนี้จะดุแอ๊คติ้ง วันต่อมาด่าเรื่องโปรดักชั่นดีไซน์
แต่ครูปุ้ม จนถึงตอนนี้ เราก็ยังขอยกให้ครุปุ้มเป็นครูที่เรารักมากที่สุด
เพราะครุปุ้มทำให้เราเข้าใจการเป็นผู้กำกับ ทำให้เราซึ้งต่อกระบวนการการทำงาน
สำหรับเราผู้กำกับ เป็นเหมือนคนนึงๆที่ทำบาปติดตัว เค้าต้องแบกรับกรรม ที่เค้าก่อขึ้นด้วยจุดประสงค์ ความปรถนา และพา กรรมเหล่านั้นรอวันชำระ ซึ่งสุดท้ายเมื่อผลงานออกฉาย เค้าจะชำระล้างบาปกรรมที่ติดตัวมาออกไปจากเค้าได้ไหม
ก่อนจะออกจากห้อง ครุปุ้มพุดว่า จำไว้ ฉันจะคอยดูพัฒนาการของเธอต่อไป




ได้

แล้วครูจะรู้
ครูจะรู้

ครูจะรู้ว่า ครูฝากความหวังไว้ไม่ผิดคนเลย ความหวังสุดท้ายที่พอจะเยียวยาจิตใจเรา เราหวังแค่ให้ ครุปุ้มคาดหวังในตัวเราใช่ไหม
ที่ครุปุ้มด่าเราขนาดนี้ ด่าทุกอย่างที่เราทำ มันเพราะว่าเราคือความหวังใช่ไหม
เราอาจจะหลอกตัวเองก้ได้
แม้เราจะเป็นคนไม่มีความสามารถที่จะถ่ายทำภาพยนต์ แต่ความคิดของเราจะเป็นตัวประจักษืแก่ทุกคนเองว่า
ไอ้เด็กที่มันทำหนังระยำๆคนนี้ วันนึงมันจะกลับมาอย่างภาคภูมิให้ได้





Create Date : 17 ตุลาคม 2550
Last Update : 17 ตุลาคม 2550 2:43:30 น. 16 comments
Counter : 510 Pageviews.

 
อืม อ่านแล้วน่ะ..




ขอให้สู้ต่อไป ทุกอย่างที่เริ่มที่ก้าวแรก
มันไม่มีคำชม ในห้องเรียน กับงานฟิลม์แบบแรกๆ ของเราหรอก
ของแบบนี้มันมีแต่ใน นิยาย เท่านั้นแระ ไอ่ 1 shot wonder น่ะ



โดย: Dreanary IP: 58.11.20.38 วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:2:27:22 น.  

 
อย่างน้อย ก็ได้เริ่มก้าวมาตามทางที่ฝันไว้แล้วนี่

ระหว่างทาง มันก็ต้องมีขวากหนามมาคอยเกี่ยวให้เจ็บแสบอยู่เสมอละ
บางทีอาจทำให้แค่ถลอก หรือบางทีก็อาจลึกจนเกิดแผลเป็น
แต่ว่า ไม่ว่าจะแผลเล็กแผลใหญ่มันก็ทำให้เราทนทานขึ้น
และหลบหลีกหนามเหล่านั้นได้เก่งขึ้นน้า

แล้วก็นะ เท่าที่ได้ตามอ่านกันมาเนี่ย
คุณก็ดูไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ นี่นา

เอ้า...สู้ต่อไป ทาเคชิ


โดย: null (aggressive red rabbit ) วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:12:14:32 น.  

 
ดีนะที่คิดได้
อ่านจนจบแล้ว...ตาลาย
แต่ก็เห็นอะไรผ่านตัวหนังสือเยอะดี
ไม่มีอะไรจะต้องคอมเม้นท์แล้ว ดูท่าทาง จขบ. ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วนิ


โดย: Unravel วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:14:09:57 น.  

 
แต่ละวิชาแบบว่าน่าเรียนจัง ของเรานะ แหยะ... อ้วกจะแตก น่าเบี่ยและยากเป็นที่สุด ฮือ... อิจฉาเจงๆ


โดย: Moonlight Mile วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:19:25:09 น.  

 
สวัสดีครับผมแวะเข้ามาเชิญดื่ม malibu cocktail ที่ blog ครับ(เป็นวิชาที่ผมชอบมากๆสมัยเรียนเลยครับ)


โดย: veerar วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:22:45:09 น.  

 
เง้อ...อ่านแล้วออกแนวสะเทือนใจ
เพราะเท่าที่จำได้ ระหว่างที่ตัดต่อหนังเนี่ย
อ้อมป่วนเรื่อยเลยเลย

เพราะป่วนนี่แหะลทำให้อ้อมรู้ว่าหนึ่งตั้งใจทำกะงานนี้มากแค่ไหน
พอมาเจอคำพูดแรง ๆ ของ อาจารย์แบบนี้เป็นอ้อมคงอาการหนักแน่ ๆ
แต่อ้อมดีใจนะที่หนึ่งไม่ผูกใจเกลียดอาจารย์
แต่เลือกที่จะลบคำสบประมาทของอาจารย์แทน

อ้อมจะรอวันที่หนึ่งเดินกลับไปหาอาจารย์พร้อมกับผลงานที่อาจารย์จะติไม่ได้อีก
(สู้ ๆ เน้อ)

ส่วนที่เม้าส์อาจารย์คนอื่นอ้อมก็อ่านนะ

"อ่านชีทให้น้องฟัง" คล้าย ๆ อาจารย์ที่ ม. เลยอ่ะ แต่เป็นเอาแบบฝึกหัดให้ทำ นั่งทำแล้วก็เฉลยในห้อง
น่าเบื่อมาก ๆ อ่ะ แถมแบบฝึกหัดทั้งหมดใช้มา 10 กว่าปีแล้วอ่ะ

สู้ ๆ เน้อ พึ่งปีสองเองน่ะ

ปอลิง
แต่อ้อมปีแล้วอ่า แต่ยังมะจบ(เรียน 5 ปี)


โดย: verdancy วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:4:08:17 น.  

 
^
^
^
พิมตก
แต่อ้อม 4 ปีแล้วอ่า แต่ยังมะจบ(เรียน 5 ปี)


โดย: verdancy วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:4:10:30 น.  

 

บรรยายได้ตอแหลดีจิงๆๆเลยเพื่อนกรูคนนี้
มึงพรรณนาโวหารได้ลึกซึ้งจิงๆๆๆๆ
นับถือๆๆๆ
พูดแล้วทามหั้ยกรูอยากย้อนเวลากลับไปช่วงสมัยสาวๆๆว่ะ
ได้นั้งเรียนห้องเดียวกับแกอีก
เหอะ.....สู้ๆๆน่ะโว้ยยยย
เปนกามลางจายห้ายยย


โดย: minnyสุดสวยยยยย IP: 203.131.210.82 วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:13:01:34 น.  

 
ยาวอะ ไม่มีเวลาอ่าน
จะไปสอบแล้น
เด๋วไว้วันหลังจะมาอ่านนะแก


เรื่องเรียนมันก็เงี่ย
น่าเบื่อ

อย่าำประสาทเว้ย
สู้ต่อไปมึง


โดย: oNNe IP: 203.131.212.11 วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:13:04:10 น.  

 
เจ้าของบล๊อก มีความผิดมากน่ะครับ

ทำให้ผมรู้สึกอยากกิน แต่ไม่มีปัญญาหาวัตถุดิบตอนกลางคืน

โดย: AguileraAnimato วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:1:29:39 น.

ขอบคุณที่แวะเข้ามาดื่ม cocktail ครับ ผมหวังว่าเมื่อดื่ม malibu cocktail แก้วนี้เข้าไปแล้วน่าจะทำให้คุณชื่นใจและอิ่มบุญในเทศกาลกินเจและเดือนถือศีลอดนะครับ(งั้นตอนเช้าลองแวะหาวัตถุสุกมาลองทำดื่มดูสิครับเพราะรสชาดมันหอมหวนมากครับ)(aguiler animato ชื่อเหมือนภาษาสัญลักษณ์ในเพลง classic เลยนะครับ)


โดย: veerar วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:21:20:40 น.  

 
มาวิ่งเล่น เจ้าของยังไม่อัพ


โดย: verdancy วันที่: 20 ตุลาคม 2550 เวลา:22:37:53 น.  

 
The purpose of education was to learn to think for yourself.
จุดประสงค์ของการเรียนรู้ คือการได้เรียนรู้การคิดเพื่อตนเอง


Dead Poet Society





หาตัวตนที่เหมาะสมกับตัวเองให้ได้นะครับ.....
ตัวตนที่สามารถแสดงศักยภาพและความสามารถได้อย่างเฉิดฉาย....
และมีความสุขใจที่ได้เป็นตัวตนแบบนั้นควบคู่กันไปด้้วย.....




จากใจจริง




จากใจจริง


โดย: PB ลูกพ่อ Kahn IP: 202.28.27.3 วันที่: 21 ตุลาคม 2550 เวลา:1:05:30 น.  

 
กรีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

อ่านแล้วก็รู้สึกไปด้วยเลยอะ ใช้คำพูดที่บรรยายได้เห็นภาพดีจัง
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้พี่ 1 เนอะ


โดย: แฟนคลับรุ่นแรกสุด IP: 203.113.81.138 วันที่: 22 ตุลาคม 2550 เวลา:0:06:15 น.  

 
กำลังอยากเรียน สุนทรียศาสตร์พอดี เทอมนี้
(แต่จะเข้าไปเรียนฟรีไม่เอาหน่วยกิต เพราะโดนแอดไวเซอร์ด่าว่าหน่วยกิตของวิชาปรัชญาเธอล้นทะลักเกินตัวเมเจอร์แล้ว ฮ่าๆๆๆ)


โดย: ShadowServant IP: 202.28.27.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2550 เวลา:11:44:19 น.  

 
บ้านหนึ่งมดเยอะจริงอ่ะ!!!
แต่คิดก็สยองแล้ว
อ้อมล่ะเกลียดมดมาก ๆ เลยอ่ะ
ขนลุกหมด เวลาเจอ



โดย: verdancy วันที่: 30 ตุลาคม 2550 เวลา:17:32:53 น.  

 
พรุ่งนี้จะสอนแล้ว
เวลาจะหมดแล้ว


โดย: verdancy วันที่: 4 พฤศจิกายน 2550 เวลา:11:39:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

AguileraAnimato
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




They told me: "Girl, to get you're way, you've got to be a bitch!"
They say that: "A guy won't get the girl, if he's not filthy rich!"
New Comments
Friends' blogs
[Add AguileraAnimato's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.