|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
26
บทที่ ๒๖ : บิดาทั้งสาม บุตรทั้งสี่ และอาจารย์ของพวกเขา ( ๓ ) มันเป็นวันธรรมดาในวสันต์ฤดู เช้านั้น ข้าตื่นเช้าอย่างปกติ ออกไปนอกบ้านเพื่อดูแลต้นรังที่ปลูกมาตั้งแต่มันยังเป็นหน่อเล็กๆ ยามที่มันอยู่ในมือข้าเมื่อยี่สิบปีก่อนหน้า มันยังเป็นแค่หน่อเล็กๆไร้เรี่ยวแรงจะดำรงชีวิตอยู่ในโลก ความผูกพันแรกพบระหว่างข้ากับมันไม่ได้มีความสำคัญต่อชีวิตข้าเลย ข้าไม่เคยคิดว่า เพื่อนที่ได้พานพบด้วยความบังเอิญเช่นมัน จะทำให้เพื่อนอย่างข้าได้พบพานความสุขสันต์ ทุกข์โศกมากมายเกือบยี่สิบปี ข้าได้รับมันมาจากพ่อค้าผู้หนึ่ง เขาบอกข้าว่า เขาพบมันในป่าอีกที ตอนที่พบมัน มันเป็นเพียงเมล็ดเล็กซึ่งร่วงหล่นลงมาจากต้นแม่ซึ่งต้นแม่ ติดโรคใกล้ตายเสียแล้ว เขาเก็บเมล็ดมันขึ้นมาด้วยความคิดว่า มันน่าจะเหมาะต่อการเก็บเป็นที่ระลึกและเป็นของฝากแก่ลูกชายของเขา แต่กลายเป็นว่า ลูกชายของเขากลับเอามันไปปลูกในกระถางใบเล็กๆจนมันกลายเป็นหน่ออ่อนอีกครั้ง ลูกชายของเขาดีใจมาก แต่การเพียรพยายามปลูกมันมานานกว่าสามปี มันก็ยังไม่โต กลับแห้งเหี่ยวคล้ายกับจะหยุดไปเสียเฉยๆ ต่อมา เขาก็เลิกสนใจมัน พ่อของเขาเองก็คิดว่า มันเป็นเมล็ดแบบโรคซ่อนใน ถึงจะไม่ได้ใส่ใจอย่างไร ก็ยังไม่ทิ้งมันไป ผู้พ่อราดน้ำลดมันแทนลูกชาย เป็นดั่งเขาขาด มันติดโรค แต่ก็ยังไม่ตาย จนข้าไปพบมันเข้า ข้าสะดุดใจมันนัก ข้าถามเขาว่า ท่านจะขายมันให้ข้าเท่าไหร่ เขาบอกข้าว่า ถ้าท่านยินดี อยากได้มันก็เอาไปเถิด มันไม่ได้มีค่าอะไรกับครอบครัวข้าอีกแล้ว ข้าจึงซักไซ้ไล่เลียงเขา จนรู้เรื่องของมันดังที่เล่ามา ครั้งนั้น ข้าในยามยี่สิบสี่นั้น พึ่งจะร้างราจากการสอบเป็นบัณฑิตหลวงของนครรูลซอร์มาได้สามปี แผลใจอันเกิดจากความไม่สมหวังทำให้ข้าบอกลาญาติมิตรสหายทุกคน ออกเดินทางไกลเพื่อชำระความเศร้าอันเกิดจากความโง่เขลาอันหาที่มาที่ไปมิได้ พี่! ท่านจะไปจริงๆหรือ เรทัส คนอย่างข้าน่ะ ถึงจะถูกพ่อผู้เป็นหัวหน้านายทวารประตูใส่หน้าเคร่งขรึมก่นด่าอย่างไร ข้าก็กล้าพูดว่ามันไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านต่อจิตใจข้าเลย...แต่ครั้งนี้ ข้ารู้สึกว่า ข้าจำเป็นจะต้องทำอะไรซักอย่าง ก่อนที่ข้าจะจมความเศร้าตายกลายเป็นผีตายซากทั้งเป็นแบบนี้น่ะนะ! พี่ ถ้าท่านจะเดินทางเพื่อให้ลืมความเศร้า ข้าจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ท่านจะไปด้วยเหตุไร้สาระว่า ท่านสอบมาเป็นปีที่ห้าแล้วก็ยังไม่ผ่าน แต่ข้าที่พึ่งสอบเป็นครั้งแรกกลับผ่านการคัดตัวกระนั้นหรือ! น้องชายข้าถามไถ่ด้วยความกังวลไม่สมรูปชายของเขาเลย ...ตั้งแต่เป็นพี่น้องกันมา เจ้าคิดว่า คนอย่างข้าเป็นคนงี่เง่าถือทิฐิง่ายดายเพียงแค่มีน้องชายอายุอ่อนกว่าสามปีอย่างเจ้าสอบผ่านเป็นบัณฑิตเป็นครั้งแรกและสอบได้ก่อนตัวเอง....จนจิตใจเตลิดเปิดเปิง รับความจริงไม่ได้ เลยต้องออกท่องเที่ยวย้อมใจหรือ! เปล่า ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่ข้าไม่เข้าใจว่า ทำไมท่านต้องเดินทางในเมื่อ.....ในเมื่อ... ในเมื่อมีหญิงคนรักรอข้าและจวนเจียนจะแต่งงานอยู่อย่างนี้แล้วน่ะหรือ? ...ไม่ใช่ธุระเจ้าเลยนะ ...เรื่องข้ากับเอเนีย มันไม่ควรจะมาทำให้เจ้าทุกข์ใจเลย
ทำไมจะไม่ทุกข์ใจล่ะ ....ข้าไม่อยากถูกประณามว่า เพราะ ฉลาดกว่าพี่ตัวเองถึงต้องทำให้ ตระกูลเราไม่มีโอกาสมีหลานคนแรกนะ! แค่นี้พวกญาติๆก็มองข้าเป็นตัวอัปมงคลแล้ว ...นี่เจ้าเป็นน้องข้าหรือ เป็นพ่อข้ากันแน่....ตัวร้อนๆนะเนี่ย ไปกินยาซะเถอะ! ข้าไม่ได้ป่วยนะ ข้าอายุตั้งยี่สิบเอ็ดแล้ว ยังทำเหมือนข้าเป็นเด็กอยู่ได้! ข้ากุมไหล่น้องชายข้าเอาไว้ และโอบกอดเขา และบอกเขาเบาๆเพื่อจะล่ำลาว่า โรคคิดมากเกินเหตุของเจ้าน่ะ เลิกเถอะนะ ข้าไม่ได้คิดจะไปด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลย เจ้าเป็นน้องชายที่ข้าภูมิใจ ...ให้ตายสิ มีน้องชายสอบได้เป็นบัณฑิตหลวงมันน่าจะฉลองทั้งหมู่บ้านนะ แต่เจ้าพ่อบ้ากลับบอกว่า เป็นขุนนางทำได้แค่สั่งการชาวบ้าน ไม่เคยรู้ความทุกข์ยากของราษฎร สู้เป็นนายทหารอย่างเขาไม่ได้...เจ้าได้รับยศศักดิ์และอำนาจมาด้วยปัญญาของเจ้า จงภูมิใจกับมันและทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีเถอะ ....พี่พูดอย่างกับว่า พี่จะไม่กลับมาแล้วอย่างนั้นแหละ...อย่าพูดแบบนี้สิ มันทำข้าใจหายนะ!
.พี่จะกลับมาหรือเปล่า ...กลับมาสิ...ก็บ้านข้ามันอยู่ที่นี่...ไม่ได้อยู่ที่อื่นนี่นา
เดี๋ยวสิ เอเนีย ฟังข้าพูดก่อน! ค้อน สิ่ว และ เครื่องมือช่างปลิวว่อนด้วยแรงเหวี่ยงปนเปความเจ้าอารมณ์ของนาง ในบรรดาเหล่าผู้หญิงในหมู่บ้าน เอเนียออกจะผิดแผกไปเสียมาก นางเป็นลูกสาวคนเดียวของนายบ้านเจ้าของที่ดินแถบนี้ แต่นางออกจะแก่นแก้วเกินผู้หญิงไปบ้างก็ด้วยว่าสมัยที่พ่อของนางกำลังตั้งรกรากสร้างตัว ทำให้นางต้องอยู่คนเดียวกับแม่นั้น แม่นางเป็นลูกสาวช่างไม้ นางจึงพอมีวิชาช่างติดตัวมาบ้าง แม่ที่มีวิชาช่างเลี้ยงดูลูกสาวที่นานๆทีจะได้เห็นหน้าพ่อ ทำให้เกิดช่างไม้หญิงในหมู่บ้านเช่นนาง ความจริงฐานะนางนั้นเรียกว่าคุณหนูของคหบดีเลยก็ว่าได้ แต่นางกลับมีวิธีคิดที่ประหลาดก็คือ การเป็นคุณหนูอยู่ไปวันๆไม่ใช่วิถีชีวิตที่แม่นางสอนนางมา ...แต่ผ่านร้อนหนาวมากว่ายี่สิบสี่ปี ข้าก็ยังไม่เข้าใจนางว่า ข้ามีอะไรดีหนักหนา นางถึงรักข้าและสารภาพรักกับข้าตั้งแต่นางอายุสิบห้ากับข้าที่อายุสิบเจ็ด....พ่อพูดเสมอว่า ความจริงแล้ว ข้ากับนางควรจะแต่งงานกันมาเป็นเจ็ดปีแล้ว พ่อแม่ของนางกับข้าก็เห็นดีเห็นงามด้วย ตามประสาคนหมู่บ้านเดียวกัน แต่คงเพราะความรั้นอยากเป็นขุนนางกระมัง ข้าจึงต้องปล่อยให้ดอกรักของนางต้องรอเก้อคอยแล้วคอยเล่ายืดเยื้อถึงเจ็ดปี...และยังทำร้ายพ่อแม่ด้วยการไม่มอบหลานเพื่อสืบสกุลให้กับพวกเขา ...แล้วตอนนี้ ข้าก็ยังคิดจะจากนางไปอีก...ข้าถามตัวเอง ข้าควรจะไปดีหรือไม่! คนเลว! ท่านเคยบอกข้าว่ารักข้าไม่ใช่หรือ แล้วทำไมป่านนี้ เรื่องของเราถึงยังไม่ลงเอยเสียทีล่ะ! ท่านรู้หรือเปล่า พวกเพื่อนข้ารุ่นราวคราวเดียวกันที่ออกเรือนกันไปแล้วน่ะ พากันซุบซิบนินทานะว่า ท่านแอบไปมีคนอื่น ไม่ได้รักข้าอีกแล้ว! ....มีคนอื่นหรือ...คนอย่างข้า ไอ้หนุ่มบัณฑิตบ้านนอกอย่างเรทีร์ นี่น่ะหรือที่จะไปมีคนอื่น...คนอย่างข้าที่เอาแต่ร่ำเรียนตั้งแต่สิบสองจนปาเข้าไปยี่สิบสี่แล้วก็ยังโง่งมโข่งสอบบัณฑิตไม่ผ่านนี่น่ะหรือ จะไปมีคนอื่น...ข้าแค่อยากมาล่ำลาเจ้าก่อนเดินทางไกลเท่านั้นเอง ข้ากล้าพูดว่า ข้าไม่เคยมีคนอื่น... ...แล้วท่านมีข้าอยู่บ้างไหม มีข้าอยู่ในใจข้าบ้างหรือเปล่า! ข้าลังเลที่จะตอบ ข้าไม่กล้าบอกนางว่า ข้าคิดกับนางแค่น้องสาวเท่านั้น แต่มันยังมีเหตุผลสำคัญอีกที่ข้าไม่คิดจะบอกนาง นางใช้สายตาคาดคั้นว่า ทำไมข้าต้องไป ทำไมไม่คิดถึงจิตใจของนางที่เฝ้ารอคำตอบจากปากข้านับสิบปีบ้าง ....ข้ารู้สึกได้เช่นนั้น ....ท่านจะกลับมาหรือเปล่า กลับมาสิ ....เพราะ...บ้านข้ามีแต่ที่นี่เท่านั้น ...ระหว่างท่านเดินทาง ท่านจะปันใจให้กับหญิงอื่นหรือเปล่า...ข้ากลัวเหลือเกินว่า ข้าจะไม่กลับมาและจะไม่ได้พบท่านอีก น้ำตานางเริ่มซึม แต่ข้าไม่มีค่าพอจะบรรเทาความขมขื่นของนางด้วยวงแขนและอกของข้าเลย ข้าคงเลือดเย็นกระมังที่ปล่อยให้นางร่ำร้องรอคอยข้าจนถึงบัดนี้ โดยที่ข้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรและไม่คิดจะตอบแทนคุณค่าความบริสุทธิ์ของนางเพื่อรอเพียงข้าเท่านั้น ข้าสัญญาว่าจะกลับมา....ตราบเท่าที่ข้ายังไม่อาจฟังเสียงใจตัวเองได้ว่า ข้าต้องการสิ่งใดหรือหญิงใด ข้าจะเคารพความรักอันมั่นคงของเจ้าที่มีต่อข้า เอเนีย....ข้าสัญญา
ข้าออกเดินทางในรุ่งเช้า มันเป็นเช้ามืดที่เงียบมาก ข้าออกเดินทางไปเรื่อย เดินทางออกจาก ทามินร์ลงใต้ผ่านซิงริก เมริส บัสเกียร์ อ้อมขึ้นเหนือผ่านแฮสยีน เทฟไอน์ ซาบอกซ์และนัสน่า ข้าเคยไปไกลเข้าเขตลิคีน ผ่านเซเอ ลัดเลาะทิวเขาไปจนถึงดิลลูซ ข้าพบผู้คนมากมาย ประสบการณ์ของการเดินทางและทุกสิ่งที่ข้าได้พบเห็น มันทำให้ข้าเติบโตขึ้น ข้ารู้สึกอย่างนั้น บ้างสุข บ้างทุกข์ ชีวิตของผู้คนจำนวนมากซึ่งผ่านสายตาข้าไป ถูกร้อยเรียงเป็นบันทึกระหว่างการเดินทาง มันทำให้ข้าเกิดนิสัยแปลกประหลาดขึ้นนั่นคือ การสังเกตและวิเคราะห์สภาพภูมิประเทศ พอรู้สึกตัวอีกทีในปีที่สามระหว่างเดินทาง ข้าก็เกลายเป็นคนจรที่มีแผนที่ติดตัวมากมายเกินนับเสียแล้ว....ส่วนลึกของใจข้าปลุกรั้งข้ากับคำว่าบ้านขึ้น เมื่อวันหนึ่ง ข้าเห็นพ่อเฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้าหลุมศพลูกชายของเขา.......พร้อมกับอาหารพื้นบ้าน
ฟ้าช่างโหดร้าย เขาคงจะอยู่มานานจนเห็นลูกชายเขาตายไป ไม่ก็ลูกชายของเขาต้องประสบเคราะห์กรรมจนต้องตายก่อนวัยอันควร....ข้าเริ่มคิดถึงชีวิตตัวเองว่า ข้ากำลังทำอะไรอยู่ ข้ายังมีบ้านมิใช่หรือ จะใช้ชีวิตไร้แก่นสารเช่นนี้ไปเพื่อการใดอีก...ข้าคิดว่า ข้าคงจากมานาน...และควรจะกลับเพื่อดูแลพ่อแม่บ้าง....แต่ในใจข้ายังหาหลักยึดเหนี่ยวในเรื่องราวระหว่างข้ากับเอเนียอยู่....ข้าพลันคิดในแง่ดีว่า นางคงจะแต่งงานไปแล้ว และถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าคงจะยินดีกับนางมาก เพราะ ข้าทำร้ายจิตใจนางมากเกินจะชดใช้ให้ได้...เรทัส จะเป็นอย่างไรบ้างนะ เขาคงเติบใหญ่และแต่งงานไปแล้วกระมัง...ไม่ว่าจะคิดคำนึงอย่างไร ข้าก็ไม่มีวันรู้ หากยังคงเดินทางอยู่อย่างนี้....ข้าควรจะกลับบ้านเสียที...ข้าพลันนึกเสียใจระหว่างเดินทางกลับว่า ข้าไม่ควรเอาเวลาที่มีค่าไปทิ้งเสียเปล่าแบบนี้ พ่อผู้เคร่งขรึมคงจะคิดว่าลูกอย่างข้าตายไปแล้ว...ข้าควรจะกลับเสียที..และเพราะการที่ข้าคิดอย่างนี้เอง ทำให้ข้าได้พบสหายใหม่ถึงสามคน สามวันหลังจากข้าเดินทางกลับจากเซเอเข้าไปในเขตนัสน่าและกำลังเตรียมเสบียงเพื่อลัดเข้าทามินร์เพื่อกลับบ้านนั้น ข้าก็ได้พบกับหน่อต้นรังต้นนั้น ข้าคิดว่าจะนำมันกลับไปบ้าน ปลูกมันให้ดีเพื่อว่ามันจะโตขึ้นมาบ้าง แล้วข้าก็ได้พบกับพวกเขาสองพี่น้องกลางป่า พวกเขาทั้งสองเนื้อตัวเปื้อนเลือดเต็มไปหมด บางส่วนเกรอะกรังแห้งแล้ว คนน้องสาวมีแผลฉกรรจ์ที่ขาซ้าย คนพี่ชายตาขวาบอดด้วยแผลบากเฉียงไปถึงโคนแก้มซ้าย พวกเขาเหนื่อยหอบคล้ายกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความเหนื่อยล้าสาหัสคงทำให้พวกเขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของข้าในอีกฟากของพุ่มไม้ ไหวหรือเปล่า เชล่า....พี่ขอโทษนะ พี่ไม่คิดว่า หน่วยตามล่าของลิคีนจะร้ายกาจขนาดนี้ ข้าไม่เป็นไรหรอกพี่ ....รีบออกเดินทางเถอะ ข้าคิดว่าหน่วยของท่านลุงคงจะมารอรับพวกเราใกล้ๆนี้แล้ว...พี่ ถ้าข้าตายไป....ฝากดูแลพ่อกับแม่ข้าด้วยนะ... ...ถ้าเจ้าตาย ข้าจะทำให้พวกมันได้รู้ว่า พวกเราเองก็มีเขี้ยวเล็บ ไม่ได้งอมืองอเท้าปล่อยให้พวกมันตามไล่ล่าเหมือนกัน! คนพี่ชายกัดกรามแผดเสียง
ขอโทษนะ สหายแต่พวกท่านช่วยเงียบก่อนเถอะ ข้าส่งเสียงออกไปด้วยความหวังดี พวกเขาหันขวับกลับมา ข้าพอมองออกพวกเขาต้องตกใจและคงพกอาวุธด้วย จึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้รออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาทำหน้างงๆว่า ข้าเป็นใครและมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าเองก็อยากถามพวกเขาเหมือนกันว่า พวกเขาเป็นใครและทำไมถึงบาดเจ็บเจียนอยู่เจียนไปแบบนี้ ท่านเป็นใคร! ท่านแอบฟังพวกเราหรือ พี่ชายใจเย็นๆก่อนเถอะ ข้าแค่คนเดินทางกำลังหาที่หลบฝนเหมือนพวกท่านแหละ ข้าแค่นั่งพักอยู่หลังพุ่มไม้พุ่มนั้น และพวกท่านทั้งสองก็แค่กำลังหลบหนีอะไรสักอย่างมาอยู่หลังพุ่มไม้พุ่มโน้น แล้วพวกเราก็แค่บังเอิญมาเจอกันเท่านั้นเอง! ข้าไม่เชื่อหรอก! ท่านได้ยินอะไรเราพูดบ้าง ...ได้ยินเสียงของน้องสาวท่าน...เสียงนางเพราะดี...แล้วก็เรื่องตามล่ากับลิคีนอะไรนี่แหละ
แต่จากสีหน้าท่านตอนนี้ ก็พอเดาได้ว่า พวกท่านกำลังลำบากอย่างไร้หนทางแก้เลยล่ะ! เมื่อชายหนุ่มตาบอดฟังข้าพูดจบ เขาก็ไม่รีรอจะพูดจากันดีๆเยี่ยงคนที่บังเอิญเจอกัน อึดใจเดียวเขาก็ปีนขึ้นต้นไม้มาโผล่ตรงหน้าข้า! และใช้กำลังแขนกระชากเสื้อข้า ข้าเสียหลักหล่นลงไปด้วยท่าเอาหัวลง!....เคราะห์ดีที่น้องสาวของเขาก็มีวิชายุทธเหมือนกัน นางเอาหอบผ้าสัมภาระข้างหลังตัวเองวางบนเรียวขาขวาก่อนที่หัวข้าจะตั้งฉากโหม่งพื้น! ชั่วพริบตาเดียว พวกเขาทั้งสองก็จับข้ามัดไว้กับต้นไม้และเริ่มสอบสวน! ก็บอกว่า ข้าแค่ผ่านทางมา! ข้าไม่รู้เรื่องอะไรของพวกท่านเลยนะ! ยังจะปากแข็งอีกเรอะ แล้วแผนที่พวกนี้มันอะไรกัน คนเดินทางบ้าบออะไรพกแผนที่เขียนด้วยมือเปล่ามากมายขนาดนี้ บอกข้ามาดีกว่า น้องชาย ใครใช้เจ้าสะกดรอยตามเรามา! ปัดโธ่ เจ้าบ้าเอ้ย! ข้าคิดช่วยเหลือพวกเจ้ามอบแผนที่ลงเขากับแผนที่เดินทางกลับหมู่บ้านในหุบเขาราลิยัมด้วยทางที่ใกล้ที่สุดให้พวกเจ้าแท้ๆ! ทำไมถึงทำแบบนี้นะ! ดูเหมือนข่าวสารที่ข้าประหม่าบอกพวกเขา จะทำพวกเขาหวาดหวั่นเอามาก คนพี่ชายเลิกพูดมากลากความ เขาเตรียมเงื้อมีดสั้นหวังจะมาเชือดคอข้า ข้าเองก็พอจะรู้กิตติศัพท์ตระกูลพวกเขาอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่า เจอตัวเป็นๆจะโหดไม่เลือกที่เกินคาด เดี๋ยวก่อน! พี่ชาลิส! น้องสาวของเขาสั่งให้พี่ชายตนหยุด นางจ้องมองหน่อต้นรังของข้า ครานั้น ข้านึกขอบคุณมันและคิดว่า ถ้ารอดสถานการณ์นี้ไปได้ ข้าจะดูแลมันดีๆเลยล่ะ! อะไร ...อย่าบอกนะว่า จะปล่อยมันน่ะ! เสียใจด้วย แต่ข้ากำลังจะทำบอกให้ท่านทำอย่างที่ท่านพูด....คุณชาย ขอถามท่านด้วย ท่านรู้จักพวกเราด้วยหรือ ถึงรู้ว่า พวกเรามาจากไหน! ....คุณหนู ขอถามท่านสักคำเถอะ ท่านคิดว่า พวกท่านเองก็น่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นใครนะ ชื่อเสียงตระกูลท่าน บัณฑิตทั่วหล้าผู้ใดบ้างที่ไม่รู้จัก พวกท่านน่ะหลักๆแล้วเป็นจารชนรับจ้างให้กับราชสำนักเฟียงก์ ขณะเดียวกันก็พยายามควบคุมสถานการณ์สงครามไม่ให้มันบานปลายไม่ใช่หรือ เพราะ ถ้าสมดุลอำนาจเฟียงก์กับลิคีนมันร่นถอยอันตราย ชิลซาร์ดก็จะเป็นมือที่สามคอยตักตวงรุกรานแดนเฟียงก์ ....ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าแค่บัณฑิตธรรมดาที่พอรู้เรื่องประวัติศาสตร์บ้าง เท่านั้นเอง...ปณิธานบรรพชนตระกูลพวกท่าน ใครๆก็รู้ ซ้ำข้าก็ท่องจำมาตั้งแต่อายุสิบห้าแล้ว! ...ข้าจะไม่ซักไซ้ท่านหรอก ข้าเชื่อแล้วว่า ท่านเป็นคนธรรมดา แต่ขอถามอีกข้อว่า หน่อต้นรังนี้ ท่านพกติดตัวมาตลอดหรือ! หน้าตานางเวลาขึงขังดูงามกว่ายามอิดโรยเสียกว่า เปล่า จริงๆ พ่อค้าคนหนึ่งให้ข้ามาระหว่างที่ข้าออกเดินทางพเนจรเพราะเซ็งชีวิตน่ะ มันจวนเจียนใกล้ตายรอมร่อ แต่ข้าก็คิดว่า มันน่าจะโตได้บ้างเลยคิดเอากลับไปปลูกที่บ้าน ในเมื่อมันใกล้ตายแล้ว ท่านไม่ปล่อยให้มันตาย เท่ากับไม่ทำร้ายมันหรือ! ...ใครจะไปสนใจความรู้สึกของต้นไม้กันล่ะ ข้านึกชอบมันก็เลยคิดจะช่วยปลูกดูแลมัน ก็แค่นั้น...แต่ถ้ามันจะตาย ข้าก็คงไปฝังมันใต้ต้นไม้ต้นอื่นในบ้านข้าแหละ พี่ชาลิส ปล่อยเขา! นางพูดขณะใช้เศษผ้ามัดปลายขาห้ามเลือด ไม่ได้! เจ้าลืมแล้วหรือว่า ใครก็ตามที่รู้จักพวกเราแล้วไม่ตาย จะต้องปฏิบัติตามกฎตระกูลเราคือ กักตัวเอาไว้หนึ่งเดือน ก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตตามเดิมน่ะ ....เขาเป็นแค่คนผ่านทาง เราไม่ได้ช่วยเหลือเขา ไม่ได้มีบุญคุณอันใดกับเขา จะบีบบังคับให้เขาเป็นชาติเค้าแมวไม่ได้ ....และ ท่านเองก็รู้ว่า ข้าไม่ชอบปิดปากคนบริสุทธิ์ แล้วแผนที่พวกนั้นล่ะ! จะบอกว่า เขาเกิดบ้าอยากเขียนขึ้นมา ไม่ได้มีความสำคัญอะไร แล้วเจ้าจะปล่อยเขาไปดื้อๆแบบนี้น่ะหรือ! ใจข้าคิดว่า เจ้าบอดนี่ มันโกรธแค้นฆ่ามาแต่ชาติปางไหนกันนะ ชาติที่แล้ว ข้าไปฆ่าลูกมันหรือไง มันถึงเจ้าคิดเจ้าแค้นบัณฑิตบ้าเขียนแผนที่อย่างข้านัก! พี่ชาลิส ข้าเป็นหัวหน้าหน่วยย่อยนะ ท่านจะขัดคำสั่งข้าหรือ! ขัดเจ้าแล้วไปรับโทษทีหลังดีกว่าก่อภัยมาถึงตระกูลเรา! ท่านคิดหรือว่า ท่านลุง จะยินดีนักยามท่านไปรายงานว่า พวกเราหลบหนีผิดพลาดถูกตามล่าเลยต้องสังหารคนบริสุทธิ์ไปหนึ่งคนน่ะ!...เรื่องรายงานข้ารับผิดชอบเอง! ท่านไม่ต้องพูดอีกแล้ว!
เกิดมาจนบัดนี้ ไม่เคยพบเห็นสตรีคนไหนที่พูดจาฉะฉานโต้แย้งผู้ชายแล้วดูทรงพลังเท่ากับนางผู้ยืนต่อหน้าข้าเลย...ข้าเผลอคิดว่า ถ้านางเป็นชายแล้วรับราชการทหาร คงสร้างชื่อให้กับแผ่นดินได้ไม่มากก็น้อย...บางที อาจจะก้าวหน้าเป็นถึงแม่ทัพพิชิตศึกทีเดียว พี่ชายตาบอดของนางยังอุบอิบไม่หาย หลังจากปล่อยข้าไปแล้ว เรื่องของพวกเขา ข้าพอรู้มาบ้าง และไม่ได้ผิดจากที่เล่าลือกันมาเลย จะเป็นบุญหรือกรรมไม่รู้ ที่ในช่วงชีวิตของคนธรรมดาสามัญได้พบเจอพวกเขาซึ่งประวัติศาสตร์เล่าขานว่า เป็น กลุ่มคนผู้เดียวที่หยั่งรู้เงามืดแห่งกาลเวลาและกักเก็บมันเอาไว้ ไม่ให้แพร่งพรายออกสู่โลกภายนอก .....แต่ก็กาลเวลานั่นเอง ที่ทำให้ข้ารู้แจ้งว่า ตั้งแต่ข้าได้พบกับพวกเขา ชีวิตข้าและคนรอบข้างก็บิดผันไปไกลเกินแก้ไขเสียแล้ว
ข้ายังจำวันที่กลับมาบ้านได้ บ้านโกโรโกสของพ่อหายเสียแล้ว เบี้ยหวัดของเรทัสในตำแหน่งผู้ช่วยดูแลหอสมุดราชสำนักและบันทึกฝ่ายการคลังมันมากกว่าเบี้ยหวัดตลอดยี่สิบห้าปีของพ่อข้าอีกหรือ นี่กระมังที่เขาเรียกว่า ผู้มีปัญญาพึงหาทรัพย์ได้ แต่มาอีกที ข้าก็พลันคิดได้ว่า พ่อข้าไม่ได้โง่กว่าข้าและน้องชายหรอก วิถีทางและอุดมคติของพ่อต่างหากที่ทำให้ชีวิตของเขาแตกต่างจากพวกเรา ข้านึกด่าทอตัวเองว่า อะไรกันแน่ที่ดลใจให้ข้าสอบไม่ผ่านถึงห้าครั้งและยังทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดว่า ข้ามันไม่เอาถ่านเดินทางไกลเกือบสามปี นึกว่าจะได้อะไรกลับมาเชิดหน้าตระกูลบ้าง นี่กลับมีแต่ต้นรังเล็กๆเจียนตายใกล้เคียงชีวิตข้ากับกองสุมแผนที่หอบใหญ่หอบหนึ่งซึ่งในสายตาพวกเขา มันไม่ได้สร้างคุณค่าสลักสำคัญต่อวิธีคิดของพวกเขาเลย แต่สิ่งที่ทำให้ข้าถึงกลับพูดไม่ออกก็คือ เรื่องของเอเนีย.....นางยังรอข้าอยู่....เรทัสบอกข้าว่า นางออกจากบ้านบางไปใช้ชีวิตอยู่ในชายป่านอกหมู่บ้านเกือบสามปีแล้ว...ตั้งแต่วันที่ข้าจากนางไป...ให้ตายเถอะ ข้าไม่เคยขอร้องหรือความอาลัยอาวรณ์ต่อความทุกข์ของนางเลย ทำไมนางถึงโง่เกินเยียวยาเช่นนี้ ....ไม่ ข้าไม่มีสิทธิ์ด่านางเลย ข้าเอง ข้าเองที่ทำร้ายนางมาจนถึงตอนนี้....แต่ใจข้าก็ยังสั่นคลอนอยู่ว่า ข้าไปเจอนางแล้ว ข้าควรจะพูดอะไรกับนางดี ข้าเฝ้ารอโอกาสโดยพักอยู่ใกล้ลำธารหน้ากระท่อมไม้ที่นางปลูกเองถึงสี่วัน จนวันหนึ่ง ข้ามากินน้ำ นางจึงจับได้ว่า ข้ากลับมาแล้ว ...เอ่อ...เอเนีย ข้า.... ข้าหลับตาเตรียมโดนห่าเครื่องมือช่างของนาง เอ๊ะ ทำไมนางเงียบไป ....สามปี....สี่ร้อยสิบสองวัน....นานนะ....ข้าคิดว่านานสำหรับลูกผู้หญิงคนหนึ่ง....ข้ารู้ใจข้าเอง....ข้ารักท่านมาก....แต่ตอนนี้ ข้าก็แค้นท่านมากเหมือนกัน....แค้นที่ท่านลังเล...ลังเลว่า รักหรือไม่รักข้า....หรือท่านคิดอย่างไรกับข้ากันแน่...เรทัสเคยบอกข้าว่า ท่านคิดกับข้าแค่น้องสาว...ข้าเชื่อเขา...แต่ข้าก็ยังรอท่าน...เพราะ ข้าอยากฟังจากปากท่านเอง....เรทีร์....ข้าจะถามท่านอีกครั้ง...ท่านยังจำสัญญาของท่านได้หรือเปล่า...เมื่อสามปีก่อนน่ะ ...จำได้....ข้าจำได้...ข้าสัญญาว่าจะกลับมา....ตราบเท่าที่ข้ายังไม่อาจฟังเสียงใจตัวเองได้ว่า ข้าต้องการสิ่งใดหรือหญิงใด ข้าจะเคารพความรักอันมั่นคงของเจ้าที่มีต่อข้า เอเนีย....ข้าสัญญา ...ข้าต้องการคำตอบ...ท่านรักข้าไหม!.... ในใจของข้าวูบหนึ่ง พลันนึกถึงใบหน้าของนาง นางผู้เหน็ดเหนื่อยจากการสูญเสียเลือดเนื้อของนาง นางผู้ตะคอกพี่ชายเพื่อขอชีวิตข้าเอาไว้ ทั้งทางกายและใจ นางผู้จ้องมองหน่อต้นรังของข้า...นี่ข้าหลงหญิงแปลกหน้าที่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนหรือนี่!....แล้วตอนนี้ ข้าควรจะตอบรับเอเนียอย่างไรดีล่ะ....ใจเจ้ากรรม เจ้าช่างหลายใจนัก นี่เจ้าจะทิ้งนางได้ลงคอหรือ เจ้าจะนางไปโดยที่หวังลมๆแล้งๆว่า พรหมลิขิตมีจริง จนอาจจะได้เจอกับนางผู้นั้นอีกหรือ....แต่อีกใจหนึ่งมันก็บีบคั้นให้ข้าพยายามบอกต้นเหตุที่แท้จริงซึ่งใจข้าดื้อรั้นต่อความจริงใจของเอเนีย ....ใจเอย เจ้าช่างทรมานนายของเจ้าจริงๆ....ใจเอย เจ้าจะราวีลิ้นกับปากข้าเช่นนี้ตลอดไปหรือ! ข้ารู้คำตอบแล้ว....ท่านไม่ได้รักข้า....ขอบคุณที่ไม่พูดมันออกมา
ลาก่อน พี่เรทีร์... นางสะบัดกายวิ่งกลับหลังไป ข้าสุดจะทนต่อความงี่เง่าของตัวเองแล้ว แค่เรื่องบอกรักกับนาง ยังไม่กล้าทำ เรทีร์เอ้ย! เจ้าจะโง่ไร้สติแบบนี้ไปทั้งชีวิตหรือ! เดี๋ยวก่อน เอเนีย ข้ารักเจ้า! ข้าตะโกนสุดเสียง...คงจะดังลั่นป่า...นางหยุดวิ่งและหันกลับมาพร้อมกับปาดน้ำตา...ข้าพลันเห็นรอยยิ้มซ่อนเล่ห์ของนาง พูดอีก....พูดสิ! ข้ารักเจ้า นางยิ้มอย่างมีชัย ข้าคิดได้ว่า ผู้หญิงนี่ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน โดยเฉพาะเวลาที่พวกนางโกรธ ข้านึกเสียใจว่า ทำไมข้าต้องมาเจอสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ด้วย พูดอีก! พูดอีกๆๆๆๆๆ ข้าไม่ได้ยินเข้าใจไหม! นางกำลังสะใจ ข้ารู้สึกได้ ข้ารักเจ้า ข้ารักเจ้าๆๆๆๆๆๆๆ โว้ย เจ้าป่าเจ้าเขา ได้ยินข้าพูดไหม ข้ารักนาง ข้ารักนาง ข้าจะอยู่กับนางไปจนตายเลย ให้ตายเถอะ ข้าผิดไปแล้ว จากนี้ไป ชีวิตข้าจะมีนางคนเดียว ให้ตายเถอะ! ผู้ชายธรรมดา สอบบัณฑิตทั้งชาติก็ไม่ได้อย่างข้านี่แหละ จะดูแลนางเอง เพราะ ไม่มีใครคิดจะเอาลูกสาวนายบ้านที่เก่งกาจวิชาช่างอย่างนางมาเป็นภรรยาหรอก! พูดให้ดังกว่านี้อีกรอบ! ข้าไม่ได้ยิน พูดด้วยว่า ข้ากับท่านจะมีลูกหลานเต็มบ้าน แล้วนั่งดูพวกเขาวิ่งเล่นยามแก่เฒ่าด้วยกันกับข้า ไม่งั้น อย่าหวังเลยว่า จะได้ออกไปจากป่านี้! เจ้าป่าเจ้าเขาโว้ย!! ข้าผิดไปแล้ว ข้ากับเจ้าจะมีลูกหลานเต็มบ้าน แล้วนั่งดูพวกเขาวิ่งเล่นยามแก่เฒ่าด้วยกันกับข้า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ข้าขอสารภาพกับนาง ใช่ ข้ามันไม่ดี ข้ามันเลว ข้าถึงไม่ตอบรับความรักของนาง ใช่แล้ว เรื่องของเรื่องก็คือ ข้าเป็นไอ้ห่วยแตกที่ไม่มีความมั่นใจว่าจะทำให้นางมีความสุขได้ตลอดชีวิตของข้า ! ข้าจึงหวาดกลัวว่า มันไม่สมควรเลยที่นางจะต้องมาอยู่กินกับผู้ชายไม่เอาอ่าวสมควรจะเป็นพ่อคนอย่างข้า ข้ามันคนหลักลอยไม่มีความรอบคอบแบบแผนการใช้ชีวิต ขนาดคำสั่งพ่อยังผูกมัดข้าไม่ได้ ข้าอยากท่องเที่ยว นึกจะไปก็ไป ซ้ำยังไปคนเดียว ทิ้งนางไปเป็นสามปี ข้ากลัวใจตัวเองว่าวันหนึ่งข้าจะทิ้งนาง! ข้าจึงไม่กล้ารับนางเป็นภรรยา ข้าจึงไม่อยากอยู่กับนาง เพราะ ข้ากลัวนางเสียใจ! เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ! โง่! บ้าบอที่สุดเลย สิบปี! สิบปีที่ข้ารอคนอย่างท่าน นี่ข้าไม่ได้อยู่กับท่านเพียงเพราะ ท่านรู้สึกผิดที่ท่านกลัวว่าตัวเองจะดูแลข้าไม่ได้หรือ ไม่ได้หรือ! ข้ารู้แล้ว ทำไมท่านถึงสอบไม่ผ่านบัณฑิตหลวงตั้งห้าปี เพราะ โง่อย่างนี้เองหรือ! ฟังข้าให้ดีนะ เรทีร์ โอนาริส คนอย่างข้า ถ้าจะแต่งกับใคร ขอให้เขาอยู่กับข้าจนแก่ ดูแลข้าให้มีที่กลบฝังก็เกินพอแล้ว ทำไมท่านถึงเป็นคนคิดมาก ยึดคติธรรมเนียมปฏิบัติจนลืมไปว่า คนรักของท่านเป็นคนเช่นไรอย่างนั้นหรือ บ้าจริงๆ เรื่องนี้มันทำให้ข้าโกรธสุดๆเลยนะ!.......หลักลอยหรือ! ของแบบนั้น มันเป็นแค่การคิดไปเองของท่าน อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด วันหนึ่งเถอะ ถ้าข้าตายก่อนท่านขึ้นมา อย่าหวังเลยว่า ข้าในโลกหน้าจะสงสารท่านนะ แต่ตัวท่านเองนี่แหละ ที่จะเอาแต่ร้องไห้คิดถึง! ....บอกข้ามาอีกครั้งว่า ท่านรักข้า ไม่ได้พูดไปเพราะ สนใจความรู้สึกข้า บอกมา! .....เอเนีย ข้ารักเจ้า.....แต่งงานกับข้าเถอะ
นาร้องไห้และวิ่งเข้ามากอดข้า เป็นครั้งแรกที่ข้าอยากจะกอดนางมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ข้าคิดว่าเรื่องทั้งหมดมันคงจะจบลงแล้ว แต่มันยังไม่จบ เพราะ ว่าที่พ่อตาข้าเป็นคนหัวแข็งกว่าที่คิด ไม่ได้! ข้าไม่ยอมรับ แค่เจ้าทำลูกสาวข้าร้องไห้เป็นสิบปีก็เกินให้อภัยแล้ว ไม่ได้! ข้าทนไม่ได้ที่จะละสายตาเรื่องพวกนี้ปล่อยพวกเจ้าแต่งงานออกไป แค่เรื่องเป็นหมันยังไม่กล้าสารภาพกับนางก็ผิดมาก แต่เจ้าน่ะอายุยี่สิบเจ็ดแล้วยังลงหลักปักฐานอะไรให้เชิดหน้าพ่อเจ้าไม่ได้เลย! ข้าจะไม่ยอมให้ลูกสาวข้าไปตายดาบหน้ากับคนไม่มีหลักเกณฑ์อย่างเจ้าไม่ได้เด็ดขาด! เอเนียร้องไห้อีกแล้ว คนเดียวในโลกนี้ที่เอาชนะนางได้คงมีเพียงพ่อนางกระมัง เพราะ ตั้งแต่แม่ผู้อ่อนโยนของนางตายจากไป พ่อของนางก็ประคบประหงมลูกสาวของเขามานับได้แปดปีแล้ว ความหัวแข็งของว่าที่พ่อตาข้าเหมือนกับพ่อข้าไม่มีผิดเพี้ยน ข้านึกสงสัยขึ้นมาเฉยๆว่า เพราะ อย่างนี้กระมัง พ่อข้าถึงคบเขาเป็นเพื่อนได้ยืดยาวนานเกือบสามสิบปีล่วงมาแล้ว ....ข้ารักนางครับ....ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้ง ข้าก็รักนาง...ท่านจะให้ข้าทำอย่างไร ท่านถึงจะยกนางให้ข้า...ต่อให้มันเหลือบ่ากว่าแรงข้าอย่างไรข้าก็จะทำ เพราะ ข้าอยากอยู่จนแก่ตายพร้อมกับนาง เขาแสยะยิ้ม ข้าเชื่อแล้วว่า เอเนียเป็นลูกสาวของเขา รอยยิ้มเหมือนแกะกันออกมาเลย เขาเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขาและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ข้า....ข้าจำมันได้ ก็เพราะกระดาษแผ่นเดียวนี้นี่แหละ ทำให้ข้าต้องเดินทางเปล่าเปลี่ยวถึงสามปี! ปีนี้ ปลายเดือนเจ็ดมีสอบบัณฑิตหลวง ไปสอบซะ สอบให้มันผ่านให้ได้ ไม่งั้น เจ้าก็ต้องรออีกสามปีเพื่อสอบใหม่ จึงจะได้แต่งกับนาง!
นี่เป็นเรื่องหนักหน่วงที่สุดในชีวิตข้าเลย ทุกอย่างมันเริ่มต้นที่การสอบและจบลงที่การสอบ แต่ครั้งนี้ ข้ารู้สึกจุกอกจะแตกตายให้ได้ ถ้าข้าสอบไม่ผ่านอีก เอเนียคงชวนข้าหนีตามนางไปสุดหล้าแน่เพื่อไม่ให้พ่อนางจับได้ และดูเหมือนว่า หัวข้ามันจะสงสารเจ้านายของมัน มันไม่ได้ถูกทับด้วยกากโคลนแห่งการละทิ้งความรู้ กลับกันมันคมกริบและละเอียดลออขึ้นจากประสบการณ์ตลอดสามปีที่ข้า เดินทางไปทั่วแผ่นดินเฟียงก์ วันประกาศผลมาถึง ข้าสอบผ่าน ข้าดีใจมาก วันรุ่งขึ้น พ่อตาข้าก็จ้ำอ้าวไปบ้านข้าเพื่อคุยเรื่องแต่งงาน แต่กลายเป็นว่า เขากลับไปทะเลาะกับพ่อข้าต่อ น่าแปลกแฮะ พ่อข้าปากก็บอกว่า ข้าไม่ใช่ลูกเขา เพราะ เขาพร่ำบ่นเสมอว่า โง่อย่างไรก็ไม่โง่เท่าข้า ที่ปล่อยให้คนรักรอได้เป้นสิบๆปี แต่พอข้าสอบได้ เขายิ่งโกรธข้ามากขึ้น มันจะอะไรหนักหนาล่ะ ลูกข้ากับลูกเจ้าก็จะแต่งกันวันนี้วันพรุ่งอยู่แล้ว ทำไมเจ้าจะต้องบอกให้ลูกข้ารออีกล่ะ ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย! ข้าบอกให้นางรอ ไม่ได้บอกให้นางห้ามแต่งกับลูกข้า เจ้าก็รู้ว่า ข้าเป็นคนเกลียดการเอารัดเอาเปรียบ ลูกชายข้าทรมานทำกรรมนางถึงสิบปี อยู่ดีๆ เขาสอบได้ก็จะให้แต่งกันเลย แสดงว่า ความมั่นคงในตัวเขาของลูกสามเจ้าไม่มีค่าในสายตาลูกชายข้าเลย ข้าจะยื่นเงื่อนไขอีกข้อ ภายในหนึ่งปี เขาต้องก้าวหน้ากว่า น้องชายของเขา ไม่อย่างนั้น ความมีค่าในตัวนางจะต้องถูกเจ้าลูกปัญญาทึบของข้าลืมในสามปีสี่ปีแน่....หรือเจ้าจะยอมให้ชีวิตลูกสาวเจ้ามันเละเทะกู่ไม่กลับเพราะ ลูกชายข้า พวกเขาทะเลาะกันและก็เข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย เฮอะๆ คนแก่นี่ช่างหาอคติกับคนหนุ่มเสียเหลือเกิน แต่จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ ตัวข้าเองต่างหากที่ทำให้ชีวิตตัวเองวุ่นวายไม่รู้จบแบบนี้ เรทัสเองก็ไม่สบายใจ เพราะ ปีที่ข้ากลับมาบ้านนั้น เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองอาลักษณ์หอสมุดหลวงแล้วข้าที่พึ่งสอบ จะเอาอะไรไปสู้กับน้องชายผู้ฉลาดกว่าข้าและรับราชการมากกว่าข้าได้กัน!
แต่ดูเหมือนว่า ชีวิตข้าที่ผ่านอะไรมากมายมา มันจะช่วยเหลือข้าอีกแล้วโดยที่ข้าไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย เมื่อวันหนึ่ง ข้าในตำแหน่งผู้ควบคุมการจัดเก็บตำราหลวงซึ่งทำมาได้เกือบสามเดือน มีแขกไม่คุ้นหน้ามาเยี่ยมบ้านข้า เขาเป็นชายวัยกลางคนมีอายุพอสมควร เขาบอกเรทัสซึ่งได้กลับบ้านตามระยะเวลาที่กำหนดว่า เขามาหาเรทีร์ โอนาริส ใช่ เขามาหาข้าเอง เอ่อ ข้าคือ เรทีร์ โอนาริสครับ ท่านคือ? ....ข้าชื่อ ฮิเรดอร์....ข้าเป็นรองหัวหน้าตรวจสอบแผนที่ สังกัดกรมบรรณสาร....ข้าอยากมาเชิญเจ้าไปทำงานด้วยกันกับข้า...ในตำแหน่งช่างทำแผนที่ใหญ่...เจ้าจะตอบรับหรือไม่ บัณฑิตเรทีร์ เอ่อ ใต้เท้า ข้าน้อยไม่คิดว่า ข้าน้อยมีความสามารถ อีกอย่าง เรื่องแผนที่ข้าน้อยไม่ได้แตกฉานถึงขนาดนั้นหรอกขอรับ ข้าถ่อมตัวแต่ความจริงก็คือความจริง ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญการเขียนแผนที่เหมือนที่เขากล่าวอ้าง ....น้อยคนนะ ที่จะรู้ว่าแถบดิลลูซทางทิศตะวันออก จะมีภูเขาเล็กๆลูกหนึ่งชื่อ จานายต์ มันเป็นเขาเล็กๆไม่ได้มีความชื่อเสียงอะไรหรอก...แต่ในอดีต ที่นั่นในหุบเขาลึกเคยเกิดปัญหาแย่งชิงพื้นที่แถบชายแดนระหว่างชาวบ้านของลิคีนกับเฟียงก์จนเกือบลุกลามกลายเป็นสงครามน่ะ...ข้าได้เห็นแผนที่ของเจ้า เพราะว่า น้องชายเจ้านำมันไปใช้เปรียบเทียบเรื่องจุดทำเหมือง เจ้าเขียนมันลงไปเอาดื้อๆ และยังเขียนข้างๆในแผนที่ด้วยว่า มันควรจะเป็นของเฟียงก์เพื่อการใช้เป็นพื้นที่ด้านหน้าตรวจสอบการหาสายสืบข้ามแดนหาข่าวของลิคีน....อย่างนี้น่ะหรือ ที่เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เชี่ยวชาญการเขียนแผนที่... ถึงท่านจะเห็นความสามารถของข้า แต่ข้าไม่คิดว่า นั่นเป็นความแตกฉานตามที่ท่านเข้าใจหรอกขอรับ ข้าเพียงแต่เป็นคนช่างสังเกตเพราะกลัวหลงทางระหว่างเดินทางเท่านั้นเอง..ขอบคุณท่านมากขอรับ ใต้เท้าฮิเรดอร์ ...ไม่อยากแต่งงานกับคนรักของเจ้าหรือ...งั้นข้าจะบอกอะไรดีๆให้เจ้ารู้นะ....ข้านี่แหละคือ กรรมการผู้ตรวจข้อสอบของเจ้าตลอดสิบปีที่ผ่านมา ....อะไรนะ...ท่านช่วยพูดให้ฟังชัดๆอีกครั้งได้ไหมขอรับ
...ข้านี่แหละ คือ กรรมการผู้ตรวจข้อสอบของเจ้าตลอดสิบปีที่ผ่านมา....เรื่องของเรื่องคือ คำตอบของเจ้าในการสอบแต่ละครั้ง มันมีความยืดหยุ่นแสดงการมองสภาพรอบด้านมากเกินไป ...ข้าจึงให้ตก...ข้อสอบทุกแผ่นที่เจ้าทำตลอดสิบปีที่ผ่านมา ยังเก็บไว้ในห้องหนังสือบ้านข้าเลย ....ข้อสอบปีล่าสุดคือเมื่อสามปีก่อน หลังจากเจ้ารู้ออกเดินทางไปแล้วน่ะ ....มันเป็นข้อสอบที่ได้คะแนนสูงสุดเลยนะ....เสียดายดันลืมเขียนชื่อเสียงเรียงนามกับภูมิลำเนาเจ้าเอาไว้ แล้วเจ้าก็ดันใจร้อนรีบเร่งออกเดินทาง...แต่ข้าน่ะรู้ว่า มันเป็นของเจ้า เพราะ ข้าจำลายมือกับลักษณะการเขียนของเจ้าได้ ทีนี้เจ้าจะเข้าใจหรือยังว่า ทำไมข้าถึงอยากให้เจ้าไปทำงานกับข้า...
ข้าอยากตะบันหน้าเขาเดี๋ยวนั้น แต่ข้าไม่ทำ ข้าหัวเราะท้องแข็งกลบเกลื่อนแต่คิดไว้ว่าสักวันหนึ่ง ต้องเอาคืนเขาให้ได้ ข้าตอบรับปากกับเขาไปเป็นช่างทำแผนที่ใหญ่ แล้วฤดูร้อนปีนั้น ข้าก็แต่งงานกับเอเนีย ท่านฮิเรดอร์เป็นคนละเอียดรอบคอบอย่างหาตัวจับยาก ตัวเขานั้นเกิดในชนชั้นที่ต่ำกว่าข้าเสียอีก เพราะ แม่ของเขาเป็นทาสมาก่อน ความจริงแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์สอบเป็นบัณฑิตด้วยซ้ำ แต่คงเพราะ เขากับสหายของเขาเคยทำบุญร่วมกันมาก่อนกระมัง เขาจึงได้สหายของเขาอุ้มชูจนได้สอบและไต่เต้ามาได้ถึงขั้นรองหัวหน้าตรวจสอบแผนที่ ท่านฮิเรดอร์ ทำไมถึงเรียกข้ามาแต่เช้าเช่นนี้ล่ะขอรับ ข้าถามเขาในวันหนึ่ง หลังจากทำงานมาได้เกือบสองปี วันนี้สีหน้าเขาเคร่งเครียดผิดปกติ ข้ารู้สึกได้ว่า เขากำลังปิดบังข้าอะไรบางอย่าง แต่ข้าไม่กล้าถาม สองปีที่ผ่านมาทำให้ข้ารู้จักตัวตนของเขา เขาเป็นสหายที่ดี เป็นอาจารย์ผู้เข้มงวด ....และยังเป็นทั้งรุ่นพี่ในงานราชการซึ่งข้านับถือ ข้าคิดว่าข้าไม่ควรถาม เพราะ ข้ารู้ได้ว่า เขากำลังลำบากใจเหมือนกำลังทำตามคำสั่งของใครบางคนอยู่ คฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าข้า ข้าไม่เคยเข้าไปหรอก แต่รู้ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของมันดี บ่าวของเจ้าบ้านผู้สูงศักดิ์เดินออกมาต้อนรับข้า เขาอายุอ่อนกว่าท่านฮิเรดอร์นับสิบปีได้ ท่านฮิเรดอร์ยืนสงบเสงี่ยมรออยู่ข้างนอกคฤหาสถ์ ข้าทำงานมาสองปี แม้จะเข้าวังหลวงนับครั้งได้ แต่ข้ากล้าพูดแค่ห้องโถงห้องนี้ห้องเดียวก็สวยงามยิ่งกว่าท้องพระโรงว่าราชการราชสำนักเฟียงก์มากต่อมาก เจ้าบ้านผู้นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงไม้สักส่วนตน มีนางกำนัลห้อมล้อมคอยปรนนิบัติ ยกมือเชิญให้ข้านางและสั่งต้นเครื่องจัดสำรับมาให้ข้า ข้ามองดูแววตาของเขาและลักษณะท่าทาง ทำให้พอรู้ว่า เขาเป็นผู้ถือชนชั้นและมีความคิดถือตนเป็นใหญ่อยู่ไม่น้อย ได้ยินท่านเชี่ยวชาญเรื่องแผนที่
จริงหรือเปล่า ...ไม่ถึงขนาดนั้นพะยะค่ะ พระอนุชา ข้ารู้สึกได้ถึงการดูถูกจากเส้นเสียงของเขา แล้วท่านพอจะมีความรู้เรื่องหลักปกครองบ้างหรือเปล่า ...บัณฑิตทุกคนที่สอบผ่านเข้ามาทำงานในราชสำนัก กระหม่อมคิดว่าควรจะมีหลักปกครองในใจตนอยู่บ้างเพื่อเป็นหลักต่อการใช้ชีวิตในรั้วอำนาจหน้าที่....แต่สำหรับกระหม่อมแล้ว กระหม่อมคิดว่า ความซื่อสัตย์ไม่ทำผิดต่อตนเอง คือ หลักปกครองสำคัญที่สุดพะยะค่ะ ....ดี... ท่านเป็นคนตรง ข้าชอบท่าน....ข้าอยากให้ท่านดูแลลูกชายข้าทั้งสองคน...ในฐานะอาจารย์สอนหนังสือ...ท่านจะตอบตกลงไหม ....ถ้าเป็นบัญชาของพระองค์ กระหม่อมก็จะรับสนองพะยะค่ะ ....วันนี้ พี่ฮิเรดอร์ไม่มากับท่านหรือ...ข้าคิดว่า จะให้เขาได้พบน้องสาวของเขา... ...กระหม่อมไม่ทราบเรื่องนี้พะยะค่ะ ท่านฮิเรดอร์ติดงานด่วน เขาจึงให้กระหม่อมมาหาท่าน ส่วนตัวเขาคงกลับไปแล้วกระมังพะยะค่ะ ข้าโกหก พี่ฮิเรดอร์รออยู่ข้างนอกคฤหาสถ์แต่เขาสั่งข้าว่าถ้าพระอนุชาเรียกหาเขา ให้ตอบปัดไป ....ท่าทางเขาเองก็มีเรื่องปิดบังข้าอย่างไม่ต้องสงสัย วันนี้ ข้าจะให้ท่านกลับไปก่อน อีกเจ็ดวันให้หลังค่อยกลับมาที่นี่ ...ข้าดีใจที่ได้พบท่าน ท่านเรทีร์...หวังว่า ลูกชายทั้งสองของท่านจะไม่ทำให้ท่านปวดหัว
...พระอนุชามีราชบุตรสามคน องค์ชายเฟอร์เออเลส องค์ชายฟาอาลิส และ องค์ชาย เฟเอลัน....ถ้าจะให้พูด พวกเขาทั้งหมดก็คือ หลานของข้า พี่ฮิเรดอร์บอกความจริงข้า ยามข้าคาดคั้นจากปากของเขาในเย็นวันหนึ่ง หลังจากสอนหนังสือเสร็จ ข้าเดินออกมานอกเฉลียง ....ข้าได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น...ภาพของเฟเอลันซึ่งเดินออกจากห้องสอนหนังสือ เข้าไปในห้องนอนห้องหนึ่งซึ่งปกติถูกลงกลอนเอาไว้และห้ามผู้ใดเข้าไป....มันเป็นภาพของเด็กชายวัยหกขวบทำหน้าร่าเริงและหยิบหนังสือหลักการปกครองขึ้น เขานั่งอ่านหนังสือด้วยความสุขต่อหน้าหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนอนอยู่บนเตียง แววตาทนทุกข์ของนางและสีหน้าไร้อารมณ์ทำให้ข้ารู้ว่านางกำลังทรมานแสนสาหัส...แต่ที่ข้าต้องมาหาพี่ฮิเรดอร์ ก็เพราะ ข้าได้เห็นภาพวาดเหมือนของนางที่ใส่กรอบติดอยู่บนผนัง...มันมีภาพของพี่ฮิเรดอร์ยืนอยู่กับนางด้วย ข้าจึงรู้ว่า เพราะ อะไร พระอนุชาถึงพูดเช่นนั้น ...อิเรลันเป็นน้องสาวข้า....ถึงนางไม่ใช่น้องสาวแท้ๆของข้า แต่ข้าก็รักนาง...แม่ข้าเป็นทาส ปู่ข้าขายนางให้กับคหบดีคนหนึ่ง เขาคิดเอานางเป็นอนุ นางจึงหลบหนีไปอยู่กับพ่อข้าซึ่งเป็นญาติห่างๆแล้วก็ให้กำเนิดข้าขึ้นมา....พอข้าอายุสิบขวบ แม่ข้าซึ่งทนลำบากมาเกือบห้าปี เพราะ พ่อข้าไปรบแล้วก็ตาย ก็ลืมตาอ้าปากได้....นางได้รู้จักกับเพื่อนสาวคนหนึ่งซึ่งทำงานเป็นนางกำนัลต้นห้อง เพื่อนนางคนนั้นชอบแอบหนีออกมาจากในวังและรู้จักกับแม่ข้าตอนนางทำงานเป็นคนงานเก็บดอกไม้มาขาย...นางชวนแม่ข้ามาฝากตัวกับหัวหน้านางกำนัล....นางตัดสินใจเฉือนเนื้อที่มีรอยสักทาสของตัวเองต่อหน้าข้าและพาข้าเข้าวังเพื่อเริ่มชีวิตใหม่...เมื่อข้าอายุได้สิบสาม แม่ข้าซึ่งเห็นอิเรลัน ตอนยังเป็นทารกอยู่ในอ้อมอกของหญิงคนหนึ่งซึ่งขาดใจตายด้วยโรคร้ายอยู่กลางตลาด..ภาพชวนสังเวชทำให้แม่ข้าเก็บอิเรลันมาเลี้ยง...ข้าคิดว่า ข้ากับนางผูกพันกันยิ่งกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ....แต่สิ่งที่ข้าเห็น...ทำให้ข้าได้รู้ว่า ทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นเหมือนกับกรงขังนาง...เกิดอะไรขึ้นกับนางขอรับ...ถ้าท่านไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร เพราะ ข้าเองก็ไม่ใช่คนในครอบครัวท่าน ทำไมจะไม่ใช่....ในเมื่อเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ข้ากล้าพูดว่าเป็นสหายของข้า....เป็นเพื่อนคนที่สองที่ข้ายอมรับรองจากท่านพี่ราฮัน เจ้ากรมกลยุทธ์....ถ้าเจ้าอยากฟังต่อ ข้าจะเล่าให้ฟัง
หลังจากข้ากลับบ้าน เอเนียถามข้างงๆว่า ทำไมวันนี้กลับเร็วนัก เพราะ ปกติ ข้าจะให้คนถือหนังสือมาบอกนางเสมอว่ามีงานต้องทำต่อที่กรมบรรณสาร ข้ากอดนาง นางมองข้าอย่างงงๆ ข้าพูดกับนางอย่างหมดเรี่ยวแรงว่า แม่หญิง....วันนี้ ข้าได้พบกับปีศาจแล้ว
หลังจากวันนั้นราวห้าปี ความโหดร้ายก็โหมกระหน่ำเข้าใส่เฟเอลันในวัยสิบเอ็ดปี...อิเรลันผูกคอตายในคฤหาสน์ของพระอนุชา พี่ฮิเรดอร์ในวัยห้าสิบสองปีก็ลาราชการกลับไปอยู่บ้านเดิมของเขา เขากับข้าล่ำลากันไม่กี่คำ แต่ยังคงเขียนจดหมายติดต่อกันมาบ้าง ตามที่ข้าคิด พี่ฮิเรดอร์คงต้องทุกข์ทรมานกับการจากไปของอิเรลันไปจนชั่วชีวิตของเขา..ซึ่งข้าเชื่อมาตลอดว่า ในใจของเขาต้องหาทางแก้แค้นพระอนุชาไม่วันใดก็วันหนึ่ง....เพราะ แววตาของพี่ฮิเรดอร์ยามเล่าเรื่องของอิเรลัน มันเป็นแววตาห่วงหาของชายผู้คิดถึงหญิงคนรักชัดๆ...ไม่ใช่แววตาห่วงใยน้องสาวเลย แต่สองปีหลังจากนั้น เรื่องของเรทัสกลับทำให้ข้าเจ็บปวดยิ่งกว่า วันหนึ่งเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน มันเป็นวันธรรมดาในวสันต์ฤดู เช้านั้น ข้าตื่นเช้าอย่างปกติ ออกไปนอกบ้านเพื่อดูแลต้นรังที่ปลูกมาตั้งแต่มันยังเป็นหน่อเล็กๆ ยามที่มันอยู่ในมือข้าเมื่อยี่สิบปีก่อนหน้า มันยังเป็นแค่หน่อเล็กๆไร้เรี่ยวแรงจะดำรงชีวิตอยู่ในโลก แต่ตอนนี้มันเติบใหญ่ทัดเทียมต้นไม้ต้นอื่นแล้ว พี่ ข้า....มีเรื่องจะบอกท่านน่ะ
เรื่องอะไรเรอะ...อ้ำๆอึ้งๆทำไมล่ะ ....คือ ข้ารักผู้หญิงคนหนึ่งน่ะ...เกือบสองปีมาแล้ว...ข้าคิดว่า ข้าจะลงหลักปักฐานกับนางน่ะครับ ....พี่ ท่านคิดว่า พ่อจะยอมรับคนรักของข้าหรือเปล่า เพราะ ข้าไม่เคยพานางมาที่บ้านเลย ปีนี้ข้าอายุ สามสิบสี่....เจ้าอายุ สามสิบเอ็ด....รู้ไหมว่า ข้าคิดอย่างไรว่า เมื่อข้าแต่งกับเอเนียมาเจ็ดปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีลูกน่ะ มะ ไม่รู้สิ ...ท่านโกรธข้าหรือ ที่ข้าคบหากับนางแต่ไม่ยอมบอกพ่อกับแม่ตลอดสองปีที่ผ่านมา...หรือว่า ท่านรังเกียจนาง กลัวว่า นางคิดแต่งงานกับข้าเพียงเพราะ ข้าเป็นขุนนางน่ะ ใครบอก.....ดีใจสุดๆต่างหาก! ไปบอกพ่อได้แล้ว ไอ้น้องชาย! ข้าว่า พ่อของเราที่วันๆเอาแต่ทำหน้ามุ่ยต้องดีใจมากแน่ๆว่า ในที่สุด เจ้าก็คิดกตัญญูให้แม่เจ้ามีโอกาสอุ้มหลานซะที! งั้นพรุ่งนี้ ข้าจะพานางมาหาพ่อกับแม่นะ พี่ ข้าขอร้อง ช่วยข้าพูดกับพ่อด้วยเถอะ เชิญเลย ว่าแต่ เจ้าไปพบกับนางได้อย่างไรน่ะ คนที่เอาแต่ทำแต่งานอย่างเจ้า และปฏิเสธการดูตัวของคุณหนูจำนวนมากในย่านคหบดีน่ะหา ข้าพบนางเมื่อสองปีก่อน นางตามพ่อมาค้าขายต่างเมืองน่ะครับ แต่เมื่อเดือนก่อน พ่อนางพึ่งตาย ข้าจึงขอนางแต่งงาน ...พี่ ข้าขอโทษนะ มีอีกเรื่องที่ต้องบอกท่าน ข้าน่ะติดหนี้ท่าน ข้ารู้จักกับนางได้ เพราะ บ้านนางปลูกต้นรังต้นใหญ่เหมือนที่พี่ปลูก ...ข้าเลยโกหกไปว่า ข้าเป็นคนดูแลมันเอง นางเลยคุยถูกคอกับข้า!
.พี่ ขอบคุณท่านมากนะ ที่ท่านเอาต้นรังต้นนั้นกลับมาด้วยตอนออกไปเดินทางเมื่อเจ็ดปีก่อน! ข้าฉุกใจคิดขึ้นเมื่อฟังเรื่องของเขาจบ...ต้นรัง...ในแผ่นดินนี้มีผู้หญิงที่ยินดียามเห็นต้นรังถึงสองคนเชียวหรือ...ไม่รู้ว่า นางจะเป็นอย่างไรบ้างนะ....แต่ข้าก็คิดผิด ข้าน่าจะคิดว่าโลกกลม มากกว่า ....เพราะ คนรักของเรทัส คือ นางคนนั้นเอง นางผู้ช่วยชีวิตข้าจากพี่ชายตาบอดของนาง ระหว่างการกินเลี้ยงต้อนรับก่อนจัดพิธีแต่งงาน ข้าพูดอะไรไม่ออก แต่พยายามไม่ทำพิรุธ แต่นางทำทีเหมือนกับไม่รู้จักข้าเลย สีหน้าของนางยามคุยเล่นกับเรทัสดูมีความสุขเป็นธรรมชาติมาก แต่ข้ารู้ดีว่า มันเป็นการเสแสร้ง เรื่องพรรค์นี้เป็นของง่ายสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตในเงามืดอย่างพวกนาง ข้าถามตัวเองว่า นางมาทำไมที่นี่และมายุ่งเกี่ยวกับน้องชายข้าเพื่อการใดกัน เล่นละครเก่งดีนี่ คุณหนู! ข้ากระแทกนางยามพลบค่ำเมื่อนางขอตัวมารับลมนอกบ้าน ...ข้านึกว่า ท่านจะลืมเรื่องในครั้งนั้นไปแล้ว...สบายดีหรือ ใต้เท้าเรทีร์ หัวหน้าดูแลฝ่ายแผนที่กลยุทธ์ สังกัดกรมกลยุทธ์ นางไม่เกรงกลัวข้าเลย คิดแต่งงานเข้าบ้านข้าเพื่ออะไรกันแน่...ข้าอาจจะโง่กว่าเรทัส แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ท่านมาที่นี่เพราะรักเขาจริง ถ้าคิดจะทำให้เขาเสียใจเพื่อผลประโยชน์ตระกูลท่าน ข้าว่าอย่าดีกว่า! ถึงท่านจะห้ามข้าอย่างไร ท่านก็ต้องแต่งเข้าบ้านท่านอยู่ดี...อ้อ ขอโทษที่บอกท่านแบบนี้.. ตระกูลข้าถึงจะอาศัยอยู่ในเงามืด แต่ผู้หญิงบ้านข้าทุกคนก็มีเกียรติ.....ไม่ได้คิดจะบรรลุหน้าที่ถึงกับทิ้งจารีตประเพณีตามที่ท่านคิดแบบนั้น...ดีใจที่เจอท่านอีก คุณชาย แล้วข้าจะรอดูว่า ปีกของเจ้ามันพัดเอาลมดีหรือลมร้ายเข้าบ้านข้า! เกือบสี่ปีที่เชล่าอยู่ในบ้านข้า นางเป็นที่รักของทุกคน นางไม่ก่อพิรุธ ไม่ทำอะไรลับล่อๆ กลับกันเสียอีก ข้าเองต่างหากที่คอยจ้องจับผิดนาง ...หรือว่า ข้าจะคิดมากไปเอง ความอ่อนโยนของนางทำให้ชีวิตที่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวของพ่อกับแม่ข้าดูมีชีวิตชีวาขึ้น ข้าเลิกสนใจนางไปเสียดื้อๆ และยอมรับนางเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว .....แต่ความสุขมันไม่ยืนยาวนัก....และเราจะรู้สึกว่ามันสั้นจริงยามยืนอยู่ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทม ปีที่ห้าที่เรทัสแต่งงานซึ่งตรงกับสิบห้าปีก่อน หลังจากที่เฟียงก์กับลิคีนเว้นระยะร้างราศึกต่อกันได้เพียงห้าปีจากการศึกที่ทุ่งราบเอลซาร์ พระเจ้าไธรอนก็สืบทอดเจตนารมณ์ของพระเจ้าเธรอน พระบิดาตน เขาในวัยฉกรรจ์สี่สิบหก พึ่งปราบปรามแว่นแคว้นภาคเหนือทางตะวันตกให้อยู่ในอำนาจอีกครั้งจนสำเร็จ ยกทัพสองแสนมาตีแผ่นดินเรา....เรทัสกับข้าเข้าประจำการในกองกลยุทธ์ขนเสบียงซึ่งแม่ทัพในครั้งนั้นคือ แม่ทัพเนอัล สหุราชองรักษ์ราชวงศ์เฟียงก์ ....เจ้าจะตามเราไปอย่างเงียบๆหรือ เชล่า ข้าต้องปกป้องสามีข้า พี่เขย ข้าจะไม่ยอมให้เขาต้องไปผจญเคราะห์กรรมเพียงเพราะ ข้าเป็นหญิงหรอก ....บางทีศึกครั้งนี้ เราอาจจะชนะง่ายดายถ้าอาศัยแผนที่ของท่านกับข้อมูลสภาพชัยภูมิกับกลยุทธ์ที่ตระกูลข้าเก็บรวบรวมไว้ ....ข้าจะกลับบ้านเก่า ไปประสานงานกับท่านลุงข้า ....แล้ว ราลิลล่ะ...เจ้าจะทิ้งนางไปหรือ ท่านพูดเหมือนกับว่า ท่านกับเรทัสไม่ได้ไป ส่วนข้าไปคนเดียวเพื่อตายเปล่าอย่างนั้นแหละ ....นางอายุห้าขวบแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก...พี่เขย ข้าขอร้องท่าน ถ้าข้าตาย ฝากดูแลนางด้วย ได้ ข้าสัญญา มีอีกเรื่อง....ท่านคงรู้ว่า ข้ามีเหตุผลถึงตั้งชื่อนางว่า ราลิล ตามอักษรแถวแรกของเรทีร์...แต่ถ้าข้าตาย...ได้โปรดบอกนางด้วยว่า นางมีชื่อที่แม่ของนางตั้งให้อยู่ด้วย ชื่อของนางต้องช่วยนางแน่... หนังสือนี้มอบให้นางตอนสิบห้า เพื่อให้นางได้รู้ว่า ทำไมแม่นางถึงต้องตามพ่อนางไป ทั้งที่สงครามไม่ใช่กิจของสตรีเลย ...ข้าไม่รับปาก เจ้าต้องรอดมาบอกนางเองสิ...แต่ถ้าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา ข้ากับเอเนียจะดูแลปกป้องนางเอง ...ถ้าข้าไม่ตายซะก่อนนะ ...ข้อขออวยพรให้ท่านกับเรทัสกลับมา
แต่ข้าไม่หวังว่าตัวเองจะได้กลับมาหรอก
หลังจากเสร็จสิ้นการศึก ทุกอย่างเป็นไปตามที่เชล่าบอก นางตายขณะกำลังสืบข่าวด้วยการตามล่าสังหารภายใต้ยุทธการควบคุมข่าวสารของผู้นำตระกูลเงาครอบเมฆ ลาซาร์ลีบอร์ ยีทคาน ข่าวของนางกลับมาถึงมือข้า ตอนข้าอยู่แนวหลัง ทำให้กองทัพของเราร่นถอยก่อนจะเจอกลยุทธ์ดักเสือของฝ่ายลิคีนจะเป็นผลสำเร็จทัน แต่เรทัสแทบจะเป็นบ้า เมื่อรู้ว่านางตาย เขาร้องไห้และสลบไปถึงสามวัน....หลังจากนั้น น้องชายข้าก็ออกไปจากค่ายเพื่อตามหานางกลางดึก ...และไม่กลับมาอีกเลย ก่อนเขาจะออกไป ข้าแอบไปดักเขาอีกทางหนึ่ง พี่จะห้ามข้าไปหานางหรือ! นางตายแล้ว....เรทัส...เจ้าต้องกลับไป เพราะ เจ้ายังมีราลิลอยู่ นางยังไม่ตาย ข้าไม่เชื่อ! พี่รู้ทุกอย่าง.....พี่รู้ทุกอย่างว่า นางมาจากที่ไหน นางเป็นคนอย่างไร พี่รู้ทุกอย่าง แต่พี่ไม่บอกข้า ทำไม! ทำไมต้องปิดบังข้าว่า นางมาจากที่นั่น! ข้าบอกไม่ได้! ข้าไม่อยากทำลายความเชื่อมั่นที่เจ้ามีต่อนางว่า นางเป็นหญิงธรรมดาและนางรักเจ้า! นางบอกให้ข้าปิดบังเรื่องที่นางแอบตามมาช่วยพวกเราอยู่ห่างๆเพื่อไม่ให้เราเป็นห่วง! ....เจ้าต้องกลับไปเรทัส....เพราะ เจ้ายังมีราลิลอยู่ ....ข้าอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีนาง....ข้าจะไปตามหานาง....พี่ ฝากท่านดูแลราลิลด้วย...ข้าไม่เคยขอร้องท่านสักเรื่องเลย....แต่เรื่องนี้ ข้าขอ.... ท่านรับปากข้าได้ไหม ข้าควรจะพูดห้ามเขา แต่ข้าพูดไม่ออก ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่า เชล่าจะตาย นางมาจากที่นั่น ไม่น่าจะตายได้ ไม่ใช่เลย นางเป็นหญิงยิ่งไม่ควรมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ...ข้าเกลียดตัวเองว่าทำไมไม่ห้ามนางไว้...การจากไปของนางกำลังจะพรากน้องชายอีกคนของข้าไป...แต่ข้าไม่มีความกล้าพอที่จะห้ามเขา สัญญากับข้าก่อน ว่าถ้าเจอนางแล้ว เจ้าจะกลับมา! ได้ ข้าสัญญา! เจอนางแล้ว ข้าจะกลับมา! พี่รับปากสิว่า พี่จะช่วยดูแลราลิล! ข้าคือ พ่อของนาง....จากนี้ไป ข้าคือ พ่อของนาง! ....ลาก่อน....พี่ชายของข้า เรทัสไม่ได้กลับมา การศึกครั้งนั้นไม่มีใครแพ้และชนะ มีแต่ความสูญเสีย...ถ้าแลกได้ ข้าอยากไปตายแทนพวกเขาทั้งสองคน แต่ถ้าข้าตาย เอเนียคงตายตามข้าไปด้วย....ข้ามันเลว ข้าไม่มีความกล้าพอที่จะตามเรทัสไป....ไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะห้ามไม่ให้เขาไป...ใช่ ข้ามันเลว ...ข้าเองที่ไม่ห้ามพวกเขา ข้าเองที่ฆ่าพวกเขาทั้งสองคน ฤดูหนาวในอีกสามปีต่อมา คนที่ข้ารักที่สุดในชีวิตอีกคนก็กำลังจะจากข้าไปด้วยโรคร้ายที่มากับลมหนาว เอเนียป่วยหนัก หกเดือนที่ผ่านมา ข้าเฝ้าดูแลพยาบาลด้วยกำลังทั้งหมดที่ข้ามี ...ท่านพี่ แค่กๆ ข้าคงไม่พ้นคืนนี้... ...ไม่หรอก อย่าคิดในทางร้ายสิ...เจ้ามีสามีกับลูกสาวที่น่ารักขนาดนี้ ใจคอเจ้าจะทิ้งพวกเราไปดื้อๆหรือ ... ข้าฝืนยิ้มเพื่อต่อลมหายใจนาง นางพูดถูก หมอบอกว่า นางจะไม่พ้นคืนนี้ แต่ข้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ข้าเชื่อว่า ถ้าผ่านคืนนี้ไป นางต้องหาย แค่กๆ...ท่านพี่ค่ะ...ท่านยังจำเรื่องตอนเราเด็กๆได้ไหม...ข้าถามท่านว่า ท่านชอบผู้หญิงแบบไหน...ท่านบอกว่า ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ถือค้อนร่อนไปมาแบบเจ้า ข้าก็รับได้ทั้งนั้น ฮะๆ จำได้สิ...ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาหรือ ข้ารู้แล้วว่า ท่านชอบผู้หญิงแบบไหน....ท่านน่ะ เป็นผู้ชายที่ใจกว้างเปรียบเหมือนกับกิ่งก้านของต้นไม้ ท่านจะยินดียามเห็นนกมากมายมาเกาะบนกิ่งของท่าน...แต่เพราะ ท่านพูดไม่ได้ ท่านจึงปล่อยนกเหล่านั้นบินไปตัวแล้วตัวเล่า....แต่ข้ารู้นะ ว่านกตัวไหนที่ท่านอยากจะให้มาเกาะที่กิ่งของท่านที่สุด ...เป็นนกที่เหมาะยิ่งกว่านกอย่างข้าอีก แล้วนกตัวไหนกันล่ะ ที่เข้าพูดถึงน่ะ ....นกที่ชอบต้นรัง....เพราะ ท่านคือต้นรังที่รอให้นกบางตัวมาเกาะ เอเนีย ข้า....เจ้ารู้หรือ ข้าพอเดาออกว่า ท่านคงไปเจอใครสักคนระหว่างการเดินทางตอนวัยหนุ่ม แต่เพราะ ท่านไม่อาจทิ้งขว้างความรู้สึกของข้าได้ ท่านจึงรับรักข้า ท่านเป็นสามีที่ดี ดีจนข้ารู้สึกว่า ข้ามีความสุขที่สุด วันคืนที่อยู่ร่วมกับท่านมันผ่านพ้นล่วงเลยไปเร็วเหลือเกิน....จนกระทั่ง เชล่ามาที่บ้าน ข้าเห็นท่านมองนางกับเรทัส...ด้วยความอิจฉา...ทำไมน่ะหรือ...ก็เพราะ ข้าเป็นหญิง ข้าจึงรู้จักความรู้สึกเช่นนั้นดีน่ะสิ...แต่ท่านก็ไม่เคยล่วงเกินนางเลย....ทั้งทางกายและใจ ขอโทษนะ....ข้าทำให้เจ้าเจ็บปวดใช่ไหม.... ไม่เลย....ข้าดีใจและเชื่อมั่นว่า ข้ารักถูกคนแล้ว...ท่านพี่คะ...ข้ามีเรื่องอยากจะบอกท่านอีกเรื่อง...ก่อนข้าจะจากไป เรื่องอะไรหรือ...บอกข้าเถอะว่า ข้ารับปากเจ้าทุกอย่าง ...ในบรรดาลูกศิษย์ของท่านที่มาเยี่ยมบ้าน...ข้าติดใจอยู่สองคน...องค์ชายฟาอาลิสกับองค์ชายน้อยซาเฟล.....เขาเหมือนกันมากจนข้าเกิดความรักในฐานะแม่ขึ้นมา...อาจจะเพราะ ข้าไม่มีลูกก็ได้ ข้าจึงรู้สึกรักเขาทั้งคู่เหมือนแม่รักลูกชายคนโตและลูกชายคนเล็ก....แต่ข้าอยากจะเตือนท่านเอาไว้เรื่องหนึ่ง เรื่องอะไรหรือ ...ข้าเชื่อว่า ท่านเองก็คงจำคืนที่ท่านเล่าให้ข้าได้ฟังว่า ข้าเจอปีศาจมา...และข้าเองก็เห็นสีหน้าท่านครุ่นคิดอยู่เสมอว่า เวลาที่กลับบ้านหลังจากสอนองค์ชายซาเฟลเสร็จ ....เจ้ากำลังจะบอกอะไรข้าหรือ
ข้ากำลังจะบอกท่านว่า....ข้าเองก็ได้พบปีศาจมาแล้วเหมือนกัน...อีกสองตน... ....เป็นความจริงหรือ....เอเนีย....เอเนีย! นางสิ้นใจตายในคืนนั้น ความเจ็บปวดยามนางจากไป ทำให้ข้าแทบเป็นบ้า ข้ารู้สึกว่าบาปที่ข้าก่อขึ้นมันเพิ่มขึ้นทุกทีๆ ตามอายุขัยของข้า ทำไมมนุษย์จะต้องรู้ตัวเมื่อสายว่าต้องการสิ่งใด ปรารถนาในสิ่งใด และมักผิดพลาดซ้ำไปซ้ำมาอยู่เสมอ
วันที่ ๖ เดือน ๖ เบญจปฐพีศักราชที่ ๒๗๐ หนึ่งเดือนก่อนหน้าซาเฟลจะรู้เรื่องชีเลเนส ท่านพ่อ องค์ชายฟาอาลิสเสด็จมาค่ะ ราลิลเรียกข้าในเช้าวันหนึ่งต้นเดือนหก
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2550 |
|
3 comments |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2550 22:17:02 น. |
Counter : 552 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ปากกาพเนจร (ปากกาพเนจร ) 7 กุมภาพันธ์ 2550 22:18:00 น. |
|
|
|
|
|
|
|
....ข้าเฝ้าถามคำถามเหล่านี้กับต้นรัง เพื่อนยากของข้าอยู่ทุกเชื่อวัน...และหวังว่า เวลาจะตอบข้าได้