นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การต่ออายุมาตรการ 3 มาตรการอีก 3 เดือน ทำให้รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 4,538 ล้านบาท
แบ่งเป็นค่าใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน 3,648 ล้านบาท ค่าเดินทางโดยรถโดยสาร 611 ล้านบาท และค่าเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 วงเงิน 279 ล้านบาท โดยเฉพาะการที่รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน จะทำให้มีครัวเรือนได้ประโยชน์ถึง 8 ล้านครัวเรือน ส่วน การยกเลิกมาตรการลดภาระค่าน้ำนั้น กระทรวงการคลังเห็นว่า สมควรยกเลิกมาตรการนี้ เนื่องจากมีประชาชนที่ไม่ยากจนได้ประโยชน์จากมาตรการนี้ แม้จะยกเลิกมาตรการ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อภาระประชาชนมากนัก เพราะค่าภาระค่าใช้จ่ายน้ำอยู่ที่ 15-52 บาทต่อคนต่อเดือนเท่านั้น "มาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนเป็นมาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้ ชั่วคราว เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวม เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการอื่นที่ลดภาระค่าครองชีพและเสริม รายได้ให้ประชาชนที่ถาวรมาใช้ เช่น นโยบายเรียนฟรี โครงการประกันรายได้เกษตรกร การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และการจ่ายเบี้ย อสม.ซึ่งเป็นมาตรการที่เพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน การใช้มาตรการชั่วคราวก็มีความจำเป็นที่ลดลง" นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์กล่าวต่อว่า ครม.มีมติให้ยุติมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 28 มีนาคม ทั้งการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ 0.11%
สำหรับรายรับก่อนหักรายจ่ายจากการขายอสังหาริมทรัพย์ และการลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์และค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% และ 1% เหลือ 0.01% ของราคาประเมินสำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หากประชาชนต้องการได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องทำ ธุรกรรมซื้อขายบ้านก่อนวันที่ 28 มีนาคม
นอกจากนี้ ครม.มีมติไม่ขยายมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับประชาชนที่ซื้อบ้านใหม่หลังแรกเพื่อที่อยู่อาศัย เท่ากับมูลค่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 3 แสนบาท ซึ่งหมดอายุไปตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2552
นายกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้รายงานให้ ครม.รับทราบว่ามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่มีวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทั้งการจ้างงาน และการใช้วัสดุก่อสร้าง ผลจากมาตรการทำให้มี การโอนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 7% โดยเฉพาะในส่วนที่อยู่อาศัยมีการโอนที่อยู่อาศัย 10% ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในระดับที่ดีมาก โดย ครม.มีมติเห็นชอบไม่ต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่จะหมดอายุในวัน ที่ 28 มีนาคม อีกต่อไป
ทั้งนี้ การที่ ครม.มีมติล่วงหน้าเพื่อสร้างความชัดเจนให้แก่ประชาชนที่จะได้เร่งโอนและจด จำนองอสังหาริมทรัพย์ยังเหลือเวลาอีก 1 เดือน
และ ยืนยันว่ามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมา ถือ ว่าประสบความสำเร็จ และ ครม.มีมติไม่ขยายกรอบเวลามาตรการที่จะหมดอายุในช่วงสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ส่วนการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ลดหน่วยให้แก่การซื้อที่อยู่อาศัย ใหม่ในอัตราไม่เกิน 3 แสนบาทนั้น ก็หมดอายุตั้งแต่สิ้นปีที่แล้ว
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้รายงานให้ ครม.ทราบว่า ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะที่ผ่านมา สามารถลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการได้โดยตรง
ขณะที่ การลดอัตราค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ช่วยลดภาระให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ จากข้อมูลผลประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และวัสดุ ก่อสร้างในปี 2551 และปี 2552 พบว่ามีกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นมาโดยตลอด โดยไตรมาส 3 ปี 2552 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2551 ถึง 16.23% สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมด 8 ประเภทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือเพิ่มขึ้น 46.07% จากปีก่อนหน้า หาก พิจารณาผลประกอบการของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พบว่ามีผลประกอบการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยหรือห้องชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท
อย่าง ไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ชั่วคราวเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่าน มา ช่วยระบายปริมาณอสังหาริมทรัพย์คงค้างในระบบได้ในระดับหนึ่งแล้ว
อีกทั้งสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ขณะนี้ มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจก็ปรับตัวดีขึ้น จึงน่าจะเพียงพอกับมาตรการกระตุ้นชั่วคราวแล้ว “กระทรวง การคลังมีความเห็นว่า มาตรการภาษีที่มีลักษณะเป็นการทั่วไปและถาวรมีความเพียงพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีการขยายระยะเวลามาตรการชั่วคราว” นายวัชระกล่าว
|