Group Blog
 
All Blogs
 
วิหารจันทรา ๑๕

รพีพันธ์ กวาดสายตามองไปรอบๆถ้ำกว้างใหญ่แห่งนั้น แสงสว่างที่ลอดผ่านมาจากโพรงขนาดใหญ่ด้านบน สะท้อนกับฝาผนังบางส่วนที่เป็นประกายแวววาว ทำให้ถ้าแห่งนี้สว่างไสวกว่าที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำยังไม่มีความอับชื้น หรือความร้อนเลย บรรยากาศกลับเย็นฉ่ำน่าสบาย ทั้งๆที่ด้านหนึ่งของถ้ำเป็นบ่อน้ำร้อน ชายหนุ่มหันหน้ากลับไปหา จันทริ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามบนโต๊ะหิน

“นี่น่ะเหรอ วิหารจันทรา ที่คุณเคยพูดถึง”
จันทริ ไม่ตอบอะไร แต่ยังยิ้มให้ รพีพันธ์ อย่างอ่อนโยนเหมือนปรกติ
“จันทริ” ชายหนุ่มหยุดคิดชั่วครู่ในสิ่งที่จะถาม “หมู่บ้านนี้ผู้ชายแต่งงานกันได้เป็นเรื่องปรกติเหรอ”
“มิใช่ บุรุษย่อมแต่งงานกับสตรี นั่นจึงเป็นเรื่องปรกติ”
“แล้วทำไม ...” รพีพันธ์ หยุดคำถามไว้แค่นั้น
จันทริ ได้ยินก็หัวเราะน้อยๆ แล้วลุกขึ้นเอื้อมมือไปจับมือชายหนุ่ม
“ท่านมาดูทางนี้กับข้า” จันทริ พูดพลางดึงมือให้ รพีพันธ์ ลุกขึ้น แล้วจูงเดินไปที่ผนังถ้ำด้านหนึ่ง

เมื่อเดินไปถึง รพีพันธ์ ก็มองเห็นรูป ๒ รูป และลายเส้นที่คล้ายตัวอักษร สลักอยู่เต็มผนังถ้ำด้านนั้น รูปนั้นเป็นรูปของคนสองคนขนาดประมาณสองในสามของคนจริง คนทางด้านซ้ายเป็นชายนุ่งผ้ายาวถึงหัวเข่า มีสัดส่วนของร่างกายที่งดงาม ที่สะดุดตาคือมีรอยแต้มสีแดงเป็นรูปทรงกลมอยู่กลางหน้าอก อีกรูปหนึ่งเป็นรูปคนนุ่งผ้ายาวถึงหัวเข่าเช่นกัน แต่ครึ่งร่างทางซีกซ้ายเป็นครึ่งร่างของบุรษรูปร่างบอบบาง ซีกขวากลับเป็นครึ่งร่างของสตรีที่ค่อนข้างอวบอัด กลางหน้าผากมีรอยแต้มสีขาวเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ยิ่งกว่านั้นยังมีรูปคนตัวเล็กๆนั่งชันเข่าอยู่บนศรีษะ ชายหนุ่มมองรูปทั้งสองด้วยความงุนงง พลางยกมือขึ้นลูบบริเวณหน้าอกของตนเองโดยไม่รู้ตัว

“นี่คือรูปของตัวแทนแห่งเทพ ที่หมู่บ้านของเรานับถือ” จันทริ พูดออกมาเบาๆ “จันทราเทพ และสุริยาเทพ”
“นี่คงเป็นสุริยาเทพ” รพีพันธ์ พูดพลางชี้ไปที่รูปผู้ชาย ที่มีรอยแต้มสีแดงกลางหน้าอก “แล้วจันทราเทพทำไมถึงเป็นแบบนี้ อีกอย่าง รูปคนเล็กๆบนหัวนี่มันอะไรกัน”
“ไปนั่งก่อนเถิด ข้าจะค่อยๆบอกเล่าให้ท่านฟัง” จันทริ มองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วพากันเดินไปนั่งที่โต๊ะหินอีกครั้ง

“ตัวอักษรบนผนังที่ท่านเห็น เป็นเรื่องของตัวแทนแห่งเทพ ที่จะมายังหมู่บ้านของเรา เมื่อจันทร์เพ็ญแรกแห่งฤดูหนาว เวียนครบ ๑๒ รอบ เป็นครั้งที่ ๑๒” จันทริ เริ่มพูดขึ้น
... ๑๔๔ ปี... รพีพันธ์ คิดด้วยความรวดเร็ว
“เมื่อครบวาระ จะมีทารกผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นมาในคืนเพ็ญแรกของฤดูหนาว ทารกผู้กำเนิดขึ้นมาพร้อมกับจันทร์เสี้ยวกลางหน้าผาก ส่องประกายสีทอง ดังจะล้อกับดวงจันทร์เพ็ญกลางฟากฟ้า ทารกผู้มีร่างกายเพียงหนึ่ง แต่กำเนิดมาพร้อมกับดวงวิญญาณสองดวง ดวงหนึ่งคือวิญญาณของทารกนั้น อีกดวงหนึ่งคือดวงวิญญาณที่มีพลังแห่งจันทราเทพ อันจะหลับใหลไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ตื่นขึ้น เมื่อทารกนั้นมีอายุได้ ๑๒ หนาว”
“เดี๋ยวนะ เหมือนผมจะคิดอะไรออก” รพีพันธ์ ขัดจังหวะ “ร่างทรงแห่งจันทราเทพ ผู้เกิดมาพร้อมกับรอยปานสีขาวรูปจันทร์เสี้ยวกลางหน้าผาก เด็กนั่นก็คือร่างทรงของจันทราเทพ”
“ร่างทรง” จันทริ ทวนคำด้วยความสงสัย
“ก็คือคนที่สามารถเชิญให้เทพเจ้ามาประทับ ... เอ้อ ... เข้ามาสิงอยู่ในร่างของตัวได้ชั่วขณะ แล้วตอนนั้นจะมีพลังเหนือธรรมชาติหลายๆอย่าง คุณพอจะเข้าใจที่ผมบอกมั๊ย”
“อาจจะคล้ายกับสิ่งนั้นในภาษาของถิ่นที่ท่านมา” จันทริ ตอบหลังจากที่คิดอยู่สักครู่ “แต่คงจะมิเหมือนกันทีเดียว เนื่องเพราะผู้เป็นตัวแทนแห่งจันทราเทพนั้น มีวิญญาณแห่งเทพสิงสถิตย์อยู่ด้วย นับตั้งแต่กำเนิดมา แต่จะหลับอยู่ในร่างนั้น และเมื่อถึงเวลา เมื่อดวงวิญญาณแห่งเทพตื่นขึ้น ก็จะใช้ร่างนั้นร่วมกับดวงวิญญาณอันแท้จริง”
“โห วุ่นวายตายเลย แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตอนไหนเป็นใคร” รพีพันธ์ ถามด้วยสีหน้ายุ่งๆ จน จันทริ อดหัวเราะไม่ได้
“ดวงจันทราบนหน้าผาก” จันทริ ตอบ “เมื่อใดที่ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ใช้ร่างนั้นอยู่ ดวงจันทร์เสี้ยวจักปรากฏขึ้นกลางหน้าผากของคนผู้นั้น”
“จันทริ” รพีพันธ์ เรียกชื่อพลางมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข่างๆแน่วนิ่ง “ผมเคยเห็นแสงรูปจันทร์เสี้ยวบนหน้าผากคุณ หรือว่าคุณ...”
“อย่างที่ท่านคิด ข้าคือคนผู้นั้น”
“แต่ผมไม่เห็นว่าคุณจะแตกต่างจากคนอื่นตรงไหนเลย ผมหมายถึง คุณดูไม่เหมือนคนที่มีพลังอำนาจวิเศษอะไรเลย” รพีพันธ์ พูดพลางมอง จันทริ ไปทั่วทั้งตัว “แล้วสุริยาเทพล่ะ เป็นผมเหรอ”
“ใช่ ... ท่านคือผู้เป็นตัวแทนของสุริยาเทพ บุรุษผู้มีสัญลักษณ์แห่งองค์เทพสถิตย์อยู่กลางหน้าอก”
“แต่ทำไมต้องเป็นผม คงไม่ใช่แค่ไอ้ปานบนหน้าอกผมหรอกนะ”
“เรื่องนี้ข้าก็ตอบท่านไม่ได้ ข้าทราบแต่เพียงว่า ในฤดูร้อนที่ผ่านมา สุริยาเทพจักต้องส่งตัวแทนของพระองค์ มายังหมู่บ้านแห่งนี้ และท่านก็มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ พร้อมกับสัญลักษณ์ของพระองค์”
“เพื่ออะไร” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
“ประการแรก เพื่อการวิวาหะของตัวแทนแห่งเทพทั้งสอง”
“แค่นั้นเองน่ะเหรอ ถึงกับต้องลากผมมาถึงนี่” รพีพันธ์ พูดขัดขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย ก่อนที่ จันทริ จะอธิบายต่อ
“มันคือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว” จันทริ ตอบเบาๆ
“แล้วถ้าถึงเวลาแล้วคนที่มาไม่ใช่ผม หรือไม่มีคนถูกส่งมาล่ะ”
“ถ้ามิใช่ท่าน ข้าก็ต้องเข้าพิธีกับคนผู้นั้นเช่นกัน แต่ถ้าไม่มีผู้ใดถูกส่งมา” จันทริ หยุดพูดพลางถอนหายใจยาว “ข้าจักต้องเข้าพิธีกับ อัสสะ”
“ถอนหายใจแบบนี้ เพราะคุณเสียใจล่ะสิ ที่เป็นผม ไม่ใช่อัสสะ” ชายหนุ่ม อารมณ์เสียมากขึ้น โดยที่หาสาเหตุให้ตัวเองไม่ได้
“สำหรับข้า เป็นผู้ใดก็ได้ที่องค์เทพส่งมา แต่ข้ามิต้องการให้เป็น อัสสะ”
“ใครก็ได้งั้นเหรอ” รพีพันธ์ พูดเสียงดังจนเกือบเป็นตวาด
“ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ ที่ต้องมาที่นี่ และต้องมาเข้าพิธีวิวาหะกับข้า ท่านมิต้องใส่ใจกับเรื่องนี้ก็ได้ มันเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น”
“ใครว่าล่ะ ผม ... ผม ...”
รพีพันธ์ พูดไม่ออกเ ขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังอารมณ์เสียด้วยเรื่องอะไร แต่ไม่ใช่เพราะไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้แน่นอน และเขาก็รู้สึกไม่พอใจมากขึ้น เมื่อสายตาไปกระทบกับสิ่งหนึ่งบนลำคอของ จันทริ

สายสร้อยถักด้วยเชือกสีแดง ร้อยไว้ด้วยจี้รูปจันทร์เสี้ยวสีคราม ที่ทำมาจากเปลือกหอยมุก



Create Date : 16 กันยายน 2551
Last Update : 16 กันยายน 2551 8:31:23 น. 1 comments
Counter : 229 Pageviews.

 
ยินดีที่ได้รู้จัก


โดย: พลังชีวิต วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:8:49:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

tumty
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add tumty's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.