Group Blog
 
All Blogs
 
วิหารจันทรา ๑๑

รพีพันธ์ นั่งมองคนสองคนที่คุยกันอยู่ด้านนอกมาพักใหญ่แล้ว จันทริ นั่งอยู่บนก้อนหินใต้ต้นไม้ที่เคยนั่งอยู่เป็นประจำ ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นเบื้องหน้า จันทริ ทั้งสองคนดูเหมือนจะสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ บางครั้งชายหนุ่มคนนั้นจะเอื้อมมือไปจับอยู่ที่ข้อเท้าของ จันทริ อยู่บ่อยๆ และเป็นฝ่ายพูดเสียเป็นส่วนมาก ส่วน จันทริ ได้แต่นั่งฟัง นานๆจะพูดโต้ตอบไปสักครั้ง แต่สีหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เสียจนเขาอดหมั่นไส้ไม่ได้

ชายหนุ่มคนนั้นรูปร่างสูงพอๆกับเขาทีเดียว แต่รูปร่างค่อนข้างบึกบึนกว่า ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม หน้าผากกว้าง กรามใหญ่จนเป็นสัน คิ้วดกหนา ดวงตากลมใหญ่เป็นประกาย จมูกโด่ง ริมฝีปากค่อนข้างหนา โดยรวมแล้ว นับว่าเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาคมคายไม่น้อย และชายหนุ่มคนนี้เอง ที่มอง รพีพันธ์ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก เมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา
... สงสัยเจ้าหนุ่มนี่มันหึงเรา ... รพีพันธ์ คิดแล้วก็อดขำไม่ได้
สักพักเขาก็เห็นชายหนุ่มคนนั้น ยื่นอะไรบางอย่างให้ จันทริ แต่เหมือนว่า จันทริ ปฏิเสธที่จะรับไว้ ชายหนุ่มต้องพูดอยู่นาน จน จันทริ พยักหน้ายอมรับ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สวมของนั้นลงบนลำคอของ จันทริ ... สายสร้อยนั่นเอง และดูเหมือนจะมีจี้ร้อยอยู่กับสายสร้อยเส้นนั้นด้วย ชายหนุ่มโน้มตัวลงพูดอะไรกับ จันทริ อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินจากไป คงจะกลับลงไปยังหมู่บ้าน พอชายหนุ่มคนนั้นเดินหายไปแล้ว รพีพันธ์ ก็เดินไปยืนข้างๆ จันทริ

“แหมปลื้มใหญ่เลยสิท่า” รพีพันธ์ พูดล้อเลียนเมื่อเห็นว่า จันทริ ลูบคลำจี้ที่ห้อยคออยู่ไปมา พลางยิ้มเหมือนมีความสุข “ไหนดูหน่อยสิว่าอะไร”
รพีพันธ์ โน้มตัวลงไปจับดูจี้ ที่ร้อยอยู่กับสายสร้อยที่ถักจากเชือกสีแดงขึ้นมาดู
“โธ่ นีกว่าอะไร ที่แท้ก็เปลือกหอยมุก” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ เพราะเขาคิดว่า น่าจะเป็นอะไรที่เป็นของมีค่า มากกว่าแค่เปลือกหอยธรมมดา
“ท่านรู้จักของสิ่งนี้”
“อื้อ ... ก็แค่เปลือกหอยทะเล เอามาขัดให้ขึ้นเงาแค่นั้นเอง”
“สำหรับที่ที่ท่านมา มันคงเป็นของที่หาได้โดยง่าย”
“แน่นอน มีขายเยอะไป ราคาก็ไม่เท่าไหร่หรอก”
“แต่สำหรับที่นี่ ของที่มาจากทะเลจักมีราคาสูงมาก” จันทริ พูดพลางมองเขาเหมือนจะเยาะเย้ย แต่ รพีพันธ์ ไม่ทันได้เห็น เพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับสายสร้อยสีแดง ที่ถักจากการนำเชือกสีแดงเส้นเล็กๆ ๓-๔ เส้นมาถักร้อยเข้าด้วยกัน และจี้สีฟ้าครามที่ถูกตัดเป็นรูปจันทร์เสี้ยวด้วยฝีมือประณีต “ของสิ่งนี้จึงมีราคาสูงยิ่ง แต่สำหรับข้า การที่ อัสสะ มีความตั้งใจนำมันมามอบให้นั้น มีค่ามากยิ่งกว่าราคาของมันเสียอีก”
“อ้อ ... ชื่อ อัสสะ” รพีพันธ์ พูดยิ้มๆ “คงดีใจสิ ที่แฟนเอาของมาฝาก”
จันทริ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆ...” ชายหนุ่มนึกขันในท่าทางที่เต็มไปด้วยความสงสัยของ จันทริ “แฟนก็คนรักไง อัสสะ น่ะ ... คนรักของคุณใช่มั๊ยล่ะ ผมว่าแล้วเชียว เมื่อกลางวันมองผมตาเขียว”
สีหน้าของ จันทริ หม่นหมองลง แล้วถอนหายใจแรง
“อัสสะ เป็นสหายที่ดีของข้า เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ข้าหวังว่าต่อไปภายหน้าเมื่อข้าจากไป อัสสะ จะได้ภรรยาที่ดี และบุตรที่ดี”
“คุณจะไปไหน” รพีพันธ์ ถามอย่างแปลกใจในคำพูดของ จันทริ
จันทริ ไม่ตอบคำ ได้แต่ยิ้มด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
.............................................................................
......................................


อากาศในคืนนี้เย็นกว่าที่เคย คงเป็นเพราะสายฝนที่พร่างพรมอยู่ปรอยๆ

... ยังมิต้องนำข้าวสารอาหารแห้งออกมา คืนนี้จะมีฝน ... ชายหนุ่มได้ยิน จันทริ บอกกับ กรินทร์ ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อตอนบ่าย

“จันทริ” รพีพันธ์ เรียกคนที่นอนอยู่ข้างๆ
“จันทริ” ชายหนุ่มเรียกอีกครั้ง พลางตะแคงตัวหันไปหา จากแสงจันทร์ที่ส่องสว่างในคืนข้างขึ้น เขามองเห็น จันทริ ลืมตาหันหน้ามาหา
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคืนนี้จะมีฝนตก”
“มิใช่ข้าที่รู้”
“ก็ผมได้ยินคุณพูดเมื่อตอนบ่ายนี่นา” จันทริ ขยับปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ รพีพันธ์ ก็ถามต่อทันที “อย่างกับพวกผู้หยั่งรู้ พวกนักพยากรณ์แน่ะ ผมอยากรู้จังว่าตอนนี้คุณรู้แจ้งอะไรอีก” รพีพันธ์ พูดขำๆ
“ท่านอยากรู้อะไรเล่า”
“ผมเหรอ” รพีพันธ์ นิ่งเงียบไปสักครู่ “เฮ้อ...” ชายหนุ่มถอนหายใจ พลางพลิกตัวนอนหงายเหมือนเดิม
“ท่านกำลังกังวล ท่านคิดถึงบ้าน” จันทริ พูดช้าๆ
“ใช่ ผมคิดถึงบ้าน” ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ “พ่อกับแม่จะเป็นยังไงบ้างไม่รู้ ผมหายมาแบบนี้ตั้งหลายวัน แล้วยัง...” รพีพันธ์ ถอนหายใจยาวอีก
“จันทริ” รพีพันธ์ ตะแคงตัวเหมือนเมื่อสักครู่
“จันทริ” เขาเรียกคนข้างๆอีกครั้ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานตอบ
“อะไรหรือ”
“ผม ... เอ้อ ... คุณ” รพีพันธ์ ตะกุกตะกัก
“บอกข้ามาเถิด” เสียงของ จันทริ อ่อนโยน
“กอดผมหน่อยได้มั๊ย เหมือนตอนที่ผมไม่สบาย”
ไม่มีคำตอบ แต่แขนของ จันทริ สอดเข้ามาใต้ศรีษะของชายหนุ่ม พร้อมกับดึงศรีษะเข้าไปแนบอก ชายหนุ่มกอดร่างบางๆแนบแน่น พลางสูดความหอมอ่อนๆที่เขาได้กลิ่นเข้าไปเต็มปอด

“หลับเสียเถิด มิต้องกังวลใดๆ มินานดอกท่านจักได้กลับบ้าน ข้าสัญญา” เสียงพูดปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน พร้อมกับมือที่ลูบเบาๆไปตามปอยผม ทำให้รพีพันธ์รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก



Create Date : 29 สิงหาคม 2551
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 10:38:13 น. 0 comments
Counter : 234 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

tumty
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add tumty's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.