Group Blog
 
All Blogs
 
วิหารจันทรา ๓๕

๓ ปี คงไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานนัก แต่มันคงจะยาวนานเกินไป สำหรับการรอคอยคนรักที่หายสาบสูญ หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขาเพียง ๑ ปี จันทิรา หญิงคนรักของเขาได้ตัดสินใจแต่งงานกับเพื่อนชายในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งหลงรักเธออยู่

... ถ้าผมอยากมีลูกจะทำยังไงดีล่ะ ...
... ท่านก็แต่งงานกับสตรีที่ท่านรัก ท่านจักมีบุตรดังที่ท่านต้องการ ... จันทริ ตอบด้วยรอยยิ้ม
... คุณยอมเหรอ ...
จันทริ ยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยนมากกว่าเดิม
... เป็นเรื่องธรรมดา ภายภาคหน้า ท่านย่อมได้แต่งงานกับสตรีอันเป็นที่รักของท่าน และสตรีนั้นก็รักท่านเยี่ยงชีวิต ท่านจะมีบุตร มีครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุขมากยิ่งกว่าอยู่กับข้าเพียงลำพัง ณ ที่นี้ ...

รพีพันธ์ ยังจดจำคำสนทนาระหว่างเขาและ จันทริ ได้ แต่ตอนนี้ มันคงไม่มีความหมายเสียแล้ว เขาสูญเสียสตรีที่เขาเคยคิดจะร่วมชีวิตด้วย และตอนนี้เขาอยู่ตามลำพัง ... โดยไม่มี จันทริ

“จันทร์ ขอโทษนะ ตอนนั้น จันทร์ คิดว่า ทิตย์ตายไปแล้ว” จันทิรา พูดกับเขาในวันที่เจอกันในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่คิดจะโทษคุณ เป็นใครก็คงตัดสินใจแบบนั้น” รพีพันธ์ ตอบยิ้มๆ “คุณมีความสุขมั๊ย”
“อื้อ” หญิงสาวยิ้มไปทั้งใบหน้าและดวงตา
“ฝากทักทายมันด้วยแล้วกัน แล้วว่างๆค่อยนัดมาเจอกันให้ครบทีมเหมือนเมื่อก่อน” รพีพันธ์ พูดแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน “ผมไปก่อนนะ แล้วไว้เจอกัน”

ชายหนุ่มนิ่งคิด พลางยกแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหันหลังให้กับทางเข้าร้านอาหาร บรรยากาศร่มรื่นของเรือนแพที่ทำเป็นร้านอาหาร ในบริเวณเขื่อนกิ่วลม ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาเย็นชื่นขึ้นเลย หรือเขาตัดสินใจผิด ที่เดินทางมาที่นี่อีกครั้ง สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง สองปีที่ผ่านมาเขานับว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และใช้ชีวิตที่ค่อนข้างมีความสุขกับบิดาและมารดา แต่หัวใจเขายังโหยหาสิ่งหนึ่งอยู่อย่างมิเสื่อมคลาย ชายหนุ่มลูบคลำสายสร้อยสีแดงที่อยู่ในมือ แล้วเลื่อนนิ้วไปลูบไล้ตัวจี้สีน้ำเงินเข้มเบาๆ

แล้วความเงียบสงบของยามบ่าย ก็ถูกเสียงฝีเท้าหนักๆของคนหลายคนทำลายลง ตามด้วยเสียงลากเก้าอี้ไม้ ในบริเวณโต๊ะที่ไม่ห่างจากโต๊ะที่เขานั่งอยู่นัก

“ไอ้ม๋ากะทิ เอ็งมานั่งให้ดีๆก่อน วิวน่ะไว้ดูที่หลัง” เสียงห้าวๆของเด็กหนุ่มหนุ่มดังขึ้นมา รพีพันธ์ขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้
“ไอ้อัศ เอ็งเรียกให้มันดีๆหน่อยสิวะ เรียก กะทิ กะทิ เดี๋ยวคนเค้าก็นึกว่าเป็นหมาขี้เรื้อน” เสียงห้าวๆของเด็กหนุ่มอีกคนดังแว่วมา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ และเสียงเลื่อนเก้าอี้เบาๆ
“พี่อัศ ทิหิวจังเลย ทิขอกินไอศรีมราดน้ำผึ้งนะ” เสียงเด็กหนุ่มที่ฟังดูแผ่วเบา และอ่อนโยน ผิดกับสองคนแรก แต่เป็นเสียงที่เขาคุ้นหูเสียเหลือเกิน เป็นเสียงที่เขาไม่เคยลืมเลือน และปรารถนาที่จะได้ยินเสียงนั้นอีกสักครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปดู

เด็กหนุ่มสี่คน คงจะเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษา เด็กหนุ่มสองคนที่หันหน้ามาทางเขา มีรูปร่างสูงโปร่งคล้ายนักกีฬา ส่วนคนที่นั่งหันหลังให้เขานั้น คนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือรูปร่างสูงใหญ่ คงจะสูงกว่าเขาเสียอีก และดูบึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ตรงข้ามกับคนที่นั่งข้างๆ ซึ่งดูแล้วยิ่งบอบบางลงไปอีก เมื่อนั่งอยู่ด้วยกันกับเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่นั้น
“กินข้าวก่อนสิ ขืนกินไอศครีมตอนนี้ เดี๋ยวก็กินข้าวไม่ลงหรอก” เสียงของเด็กหนุ่มตัวใหญ่เหมือนจะดุ
“งั้น ทิ ขอกินน้ำผี้งนิดนึงนะ เพราะกว่าข้าวจะมา หิวจนปวดท้องพอดี” เสียงนุ่มๆออดอ้อน พูดขึ้นมาเบาๆ
“นิดเดียวพอนะ งั้นเดี๋ยวพี่สั่งให้เค้ายกมาให้ก่อน” พูดแล้วก็หันหน้าหาคนข้างๆ พลางยกมือขึ้นลูบเรือนผมเส้นบางซึ่งตัดแต่งทรงให้ยาวระต้นคอ ด้วยความเอ็นดู
“อัสสะ” รพีพันธ์ อุทานขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างใหญ่ทางด้านข้าง
เสียงนั้นดังพอจะทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นหันหน้ามามอง รพีพันธ์ ด้วยใบหน้าแสดงความสงสัย แล้วหันกลับไป

... ใช่แน่ๆ นั่นคือ อัสสะ ถ้าอย่างนั้นอีกคนหนึ่งล่ะ คนที่เรียกตัวเองว่า ทิ ... รพีพันธ์ คิดพลางรู้สึกว่าปลายนิ้วมือเย็นเฉียบ

รพีพันธ์ คิดว่าความคิดของเขาคงเป็นไปไม่ได้ คงไม่มีอะไรบังเอิญขนาดนั้น ชายหนุ่มหันหน้ากลับ พลางยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว เรียกพนักงานของร้านมาเก็บเงินค่าเครื่องดื่ม เสร็จแล้วก็เก็บสายสร้อยเส้นที่เขาหวงแหนลงไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกไปจากร้าน แต่ด้วยทางเดินที่ค่อนข้างคับแคบ ชายหนุ่มจึงต้องเดินเฉียดเข้าไปใกล้โต๊ะของเด็กหนุ่มกลุ่มนั้น อย่างเลี่ยงไม่ได้ ในใจเขาคิดอยากจะมองดูหน้าของเด็กหนุ่มร่างบางนั้นสักครั้ง แต่คิดดูแล้วคงไม่เหมาะสมนัก กับการที่จะหันหลังก้มมองดูหน้าคนอื่นเมื่อเดินผ่านแบบนั้น

ระหว่างที่เขาเดินผ่านโต๊ะของเด็กหนุ่มทั้งสี่นั้นเอง อย่างที่ไม่คาดคิด สายสร้อยในกระเป๋าเสื้อที่สายของมันโผล่พ้นขอบกระเป๋าออกมา ก็เลื่อนหล่นลงไปบนตักของเด็กหนุ่มร่างบางอย่างพอเหมาะ โดยที่ รพีพันธ์ ไม่รู้สึกตัวเลย เด็กหนุ่มก้มลงจ้องมองสายสร้อยที่ถักจากเชือกสีแดงสด ร้อยไว้ด้วยเปลือกหอยมุกที่ถูกตัดแต่งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว แล้วหยิบขี้นมาดู ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสดใสของเด็กหนุ่ม เต็มไปด้วยความประหลาดใจ และยินดีอย่างที่เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูก ... ว่าทำไม

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าคนที่เป็นเจ้าของนั้นเดินหายลับไปเสียแล้ว



Create Date : 23 มกราคม 2552
Last Update : 23 มกราคม 2552 9:16:48 น. 0 comments
Counter : 221 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tumty
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add tumty's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.