|
เล่าเรื่องพื้นๆ (พื้นออนบีม)
เล่าเรื่องพื้นๆ (พื้นออนบีม)
พื้นออนบีม
เล่าเรื่องพื้นๆ คราวนี้จะเล่าเรื่องพื้นสำหรับใช้ในการออกแบบโครงสร้างว่าควรเลือกใช้ยังไง เช่น พื้นคอนกรีตออนบีม ออนกราวน์ พื้นสำเร็จ พื้นโพส ฯลฯ คงมี ผู้ออกแบบหลายคน สงสัยว่าการก่อสร้างอาคารๆนึง มีพื้นให้เลือกตั้งหลายแบบ แต่ละแบบเป็นยังไงและควรเลือกใช้ยังไงวันนี้จะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังครับเพื่อที่จะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง และเพื่อความประหยัดครับ พื้นเป็นโครงสร้างที่สำคัญมีหลายแบบหลายวัสดุ ผมจะขอแยกประเภทไว้คร่าวๆดังนี้ แล้วจะเล่าที่ละอันให้ฟังครับ
1. พื้นคอนกรีตหล่อกับที่ 1.1 พื้นคอนกรีตออนบีม 1.2 พื้นคอนกรีตออนกราวน์
1. พื้นคอนกรีตหล่อกับที่
ก็ตามชื่อที่บอกแหละครับ คือพื้นที่หล่อเอง ทำแบบหล่อเอง วางเหล็กเทปูนเอง ไม่ได้หล่อจากที่อื่นแลล้วยกมาวาง ผมขอแยกเป็น 3 แบบ
1.1 พื้นคอนกรีตออนบีม
น่าจะเป็นพื้นที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะช่างไทยคุ้นเคย และมีประสบการณ์ในการทำพื้นมาแทบจะเรียกได้ว่าหลับตาทำก็ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วครับว่า ออนบีม มันก็แปลอยู่แล้วว่าวางอยู่บนคาน คือมีการถ่ายน้ำหนักจากพื้นไปสู่คาน โดยอาจแบ่งวิธีการถ่ายน้ำหนักของพื้นได้สองแบบ คือ พื้นทางเดียว กับพื้นสองทาง ทีนี้ถามว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าป็นพื้นทางเดียวหรือพื้น สองทาง ตอบคือ วิธีการตรวจสอบ ถ้าเอาความยาวของพื้นด้านสั้นไปหาร ความยาวของพื้นด้านยาว แล้วได้ค่ามากกว่า 0.5 แล้วแสดงว่า เป็นพื้นสองทาง
น้ำหนักของพื้นและน้ำหนักที่อยู่บนพื้นจะถ่ายไปยังคานตามลูกศรชี้คือในกรณีของพื้นสองทาง น้ำหนักของพื้นในพื้นที่สีน้ำเงินจะถูกไปยังคานสีน้ำเงิน พื้นสีเขียวจะถูกถ่ายไปยังคานสีเขียว ส่วนพื้นสองทางการถ่ายน้ำหนักจะแบ่งครึ่งกันไปยังคานแต่ละฝั่งเท่าๆกันครับ ข้อดีของพื้นออนบีมคือ ข้อแรก พื้นจะไม่ทรุดเหมือนพื้นออนกราวน์ครับเพราะการถ่ายน้ำหนักของพื้นจะไปอยู่บนคานและคานจะถ่ายน้ำหนักไปยังเสาอีกที แต่พื้นออนกราวน์นั้น อยู่ในสมมุติฐานว่าน้ำหนักทั้งหมด ถ่ายไปยังดินโดยตรงไม่ได้วางบนคาน
ข้อดีอีกข้อหนึ่งของพื้นออนบีม คือ ในกรณีที่ใช้เป็นพื้นชั้น 2 จะไม่มีปัญหารั่วซึมของน้ำครับ เห็นได้ว่า แบบบ้านทั่วๆไปที่เป็นพื้นสำเร็จรูปวาง วิศวกรจะหลีกเลี่ยงการวางพื้นสำเร็จบนพื้นห้องน้ำ และพื้นระเบียงเพื่อป้องกันปัญหาการรั้วซึมของน้ำ แต่ขอย้ำไว้หน่อยนะครับ คุณสมบัติพื้นฐานของคอนกรีตเป็นวัสดุที่ไม่สามารถป้องกันการรั่วซึมของน้ำได้ครับ ดังนั้น การป้องกันการรั่วซึมจะสามารถกันได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์
สำหรับข้อควรรู้อีกข้อหนึ่งสำหรับพื้นคอนกรีตออนบีมอีกเรื่องหนึ่งคือ ระยะเวลาการถอดค้ำยันของพื้นครับ เพราะว่าการที่คอนกรีตจะรับกำลังได้เต็ม 100 % นั้นคือ ระยะเวลา 28 วัน ดังนั้นเวลาการที่จะสามารถถอดค้ำยันได้อย่างน้อยๆคือ 14 วันครับ เพราะเป็นระยะเวลาที่คอนกรีตพื้นสามารถรับกำลังได้แล้วเกิน 70% แต่ก็ต้องค้ำยันด้วยเสาไม้ไว้เป็นช่วงๆคือ ทำเป็นไม้ป็อบค้ำไว้ จนกว่าจะครบ 28 วันคอนกรีตจึงจะสามารถรับน้ำหนักไว้เต็มที่ ดังนั้น ในการเลือกที่จะใช้คอนกรีตออนบีม เรื่องที่ควรพิจารณาคือ แผนการก่อสร้างครับ คือสมมุติว่าพื้นที่เทคอนกรีตออนบีมไว้นั้นเป้นพื้นที่ไม่ได้อยู่ชั้นล่าง อาจอยู่ชั้นสอง ชั้นสาม จำเป็นต้องรอเวลาถึง 14 วันหลังเทคอนกรีตจึงจะสามารถถอดแบบหล่อคอนกรีตด้านล่างได้ ดังนั้นในช่วงเวลาการรอ 14 วันช่างจะไม่สามารถทำงานก่ออิฐหรืองานอื่นๆได้เลย ทำให้ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ จึงอยากหลีกเลี่ยงพื้นออนบีม ไปใช้พื้นสำเร็จกัน อีกอย่างคือเรื่องต้นทุนของการวางพื้นสำเร็จ ก็อาจถูกกว่าเมื่อเทียบกับ พื้นหล่อกับที่ ในเรื่องของไม้แบบ และเรื่องของ ระยะเวลาการก่อสร้าง
1.2 พื้นคอนกรีตออนกราวน์
การที่จะเลือกใช้พื้นคอนกรีตออนกราวน์นี้ จะใช้ในกรณีเป็นพื้นชั้นล่างเท่านั้น เพราะชื่อมันบอกว่าออนกราวน์ มันก็ต้องอยู่ข้างล่างจริงมั๊ย
โดยทั่วไปการที่เลือกใช้เป็นพื้นออนก ราวน์ เหตุผลคือ ประหยัดครับ เพราะการถ่ายน้ำหนักของพื้นออนกราวน์ที่ว่าเป็นการถ่ายน้ำหนักไปยังดินโดย ตรง สามารถลดน้ำหนักที่กระทำไปยังคานและเสาได้ ทำให้สามารถลดขนาดของคาน ขนาดของเสาลงไปได้ และไหนจะตัวพื้นเองที่เสริมเหล็กน้อย ความหนาก็ไม่มาก
ดังนั้นพื้นออนกราวน์ที่อยู่ได้ คือ การบดอัดของดินที่อยู่ใต้พื้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดครับ (สำคัญกว่าตัวพื้นเองด้วยซ้ำ)เพราะถ้าหากดินหรือทรายที่อยู่ใต้พื้นคอนกรีต ออนกราวน์นั้นทรุด คอนกรีตก็จะเกิดการแตกร้าวได้อย่างไม่ต้องสงสัย อีกเรื่องที่อยากจะบอกคือ เรื่องเหล็กเสริมในพื้นออนกราวน์นั้นจะเป็นเพียงแค่ เหล็กเสริมกันร้าวเนื่องจากอุณหภูมิเท่านั้น ไม่ได้เป็นเหล็กเสริมที่จะออกแบบไว้สำหรับกำลังโดยตรง ดังนั้น เหล็กเสริมที่จะใช้อาจเป็นเพียงเหล็ก 6 มิล วางเป็นตะแกรง 25 เซนติเมตร ,20 เซนติเมตร หรือเป็นเหล็ก wire mesh 4 มิล หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ไม้ไผ่ผ่าซีกก็ได้ ข้อควรระวังอีกเรื่องของพื้นคอนกรีตออนกราวน์ที่ควรรู้คือเรื่องรอยต่อ ระหว่างพื้นกับคานครับ ควรที่จะต้องเป็นรอยต่อที่แยกกันอย่างสิ้นเชิงในแง่ของโครงสร้างครับ ดูรูป
เพราะว่าถ้าเราทำการออกแบบพื้นให้เป็นพื้นคอนกรีตออนกราวน์แล้ว แต่ตัวพื้นยังวางอยู่บนคานตามรูปที่สอง พื้นที่ว่าจะกลายเป็นพื้นที่ถ่ายน้ำหนักของตัวพื้นเองลงไปยังคานที่อยู่ด้าน ใต้ทำให้พฤติกรรมของโครงสร้างผิดๆปจากที่ได้ออกแบบคำนวณไว้กลายเป็นพื้นออ นบีมทันที ภายหลังปัญหาก็จะตามมาว่าพื้นนั้นไม่สามารถรับน้ำหนักได้เนื่องจากมีคานยัน อยู่ด้านใต้ แต่ตัวพื้นเองไม่ได้ออกแบบเสริมเหล็กไว้เพียงพอที่จะรับน้ำหนัก มีเหล็กเป็นเพียงเสริมกันร้าวเนื่องจากอุณหภูมิเท่านั้น และปัญหาอีกเรื่องนึงคือ ถ้าโครงสร้าง ทั้งคาน เสาตอม่อ และฐานรากไม่ได้ออกแบบเผื่อน้ำหนัก สำหรับพื้นออนกราวน์ไว้ มันอาจมีน้ำหนักมากไปกว่าที่ควรเป็นครับ เพราะการถ่ายน้ำหนักผิดไปจากที่วิศวกรคำนวณไว้คือดันมีคานไปรับน้ำหนักพื้น
ที่มา : //7-artist.com
Create Date : 24 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 24 สิงหาคม 2553 9:48:14 น. |
Counter : 1537 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
การจัดแต่งบ้านสไตล์ Modern
การจัดแต่งบ้านสไตล์ Modern
"ไม้" คือวัสดุตกแต่งบ้านยอดนิยมตลอดกาล โดยเฉพาะสำหรับคนไทย เพราะเราอยู่บ้านไม้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตและอิทธิพลจากประเทศตะวันตก ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนหน้าตาบ้านเรือนของเรา ให้เข้ากับยุคสมัย บ้านรูปทรงเรียบๆดูโมเดิร์นจึงเข้ามาแทนที่บ้านไทย และมีวัสดุแปลกๆใหม่ๆผลิตออกมาเป็น ทางเลือกมากมาย แต่สำหรับผู้ที่ยังชอบสัมผัสธรรมชาติที่อบอุ่นของ "ไม้" การผสมผสานไม้ให้เข้ากับบ้านโมเดิร์นก็ทำได้ไม่ยาก และรับรองว่าดูดีไม่แพ้วัสดุทันสมัยใดๆเลย
ไอเดีย 1 ผนัง กรุผนังด้วยไม้ตามแนวขวางโดยเลือกผสมไม้ที่ต่างชนิดกันเช่น ไม้โอ๊ก ไม้แอช และไม้สัก หรือเลือกย้อมให้มีเข้ม-อ่อนแตกต่างกันเล็กน้อย ทำให้เกิดสีเหลือบที่ดูน่าสนใจ อาจปูต่อเนื่องมาจนถึงพื้น เข้ากันได้ดีเฟอร์นิเจอร์หรืออ่างอาบน้ำรูปทรงเรียบเท่ทันสมัย
ไอเดีย 2 ฝ้าเพดาน ลองใช้วีเนียร์ไม้ลายที่ชอบปิดทับบนแผ่นไม้อัดมากรุทับฝ้าเพดาน จะช่วยให้ฝ้าเรียบๆดูเก๋ไก๋ขึ้นได้ หรืออาจจะออกแบบให้มีการเล่นจังหวะของฝ้า โดยตีฝ้าแบบซิกแซ็ก แล้วค่อยกรุตามด้วยวีเนียร์ก็จะเพิ่มความน่าสนใจได้มากทีเดียว
ไอเดีย 3 ไม้สีเดียวกัน การปูพื้นไม้เป็นเรื่องที่นิยมทำกันอยู่แล้ว แต่ลองใช้ไม้สีเดียวกันปูพื้นเรื่อยไปจนถึงบันได วงกบประตู และอาจรวมถึงเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินด้วย จะช่วยให้บ้านไม้ของคุณดูกลมกลืน เรียบเกลี้ยงคล้ายกับบ้านสไตล์ญี่ปุ่นได้
ไอเดีย 4 ประตู ลองใช้วีเนียร์ไม้ปิดที่บานประตูแทนการใช้ประตูบานลูกฟัก โดยอาจติดเป็นช่วงๆตามแนวขวาง แล้วตีเส้นคั่นด้วยสเตนเลสสตีล ทำมือจับให้มีขนาดใหญ่ เป็นเส้นตรงเรียบๆทำด้วยสเตนเลสสตีลเช่นกัน แค่นี้ประตูไม้ก็ดูโมเดิร์นขึ้นมาได้มาก อาจลองใช้คู่กับเสาที่หุ้มด้วยสเตนเลสสตีล และผนังทาสีสดอย่างในรูป ช่วยให้บ้านไม้ดูสดใสขึ้น
ไอเดีย 5 ยกพื้น การยกพื้นเพื่อกำหนดพื้นที่ใช้งานเป็นสิ่งที่นิยมทำกันมากในบ้านเรือนไทย เราอาจประยุกต์นำมาใช้ในส่วนห้องนอนแทนเตียงก็ได้ เพื่อให้มีกลิ่นอายของบ้านไทย โดยปูพื้นไม้ให้ต่อเนื่องกันทั้งสองระดับ ให้ดูเรียบๆตามสไตล์บ้านโมเดิร์น ได้บรรยากาศสบายแบบบ้านไทยด้วย
ไอเดีย 6 รั้ว รั้วไม้อาจดูสวยงามกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่ก็ผุพังง่ายเพราะต้องตากแดดตากฝน การเลือกทำรั้วก่ออิฐฉาบปูนเรียบทาสี แล้วนำไม้จริงมาประดับในบางส่วน ก็ช่วยให้รั้วบ้านดูโมเดิร์น ขณะเดียวกันก็ยังได้สัมผัสของไม้รับกับต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ใกล้เคียง โดยอาจเลือกซื้อไม้เก่าที่มีร่องรอยผ่านกาลเวลามาใช้ ก็ได้อารมณ์ดิบๆดี
ไอเดีย 7 ไม้ไผ่โมเดิร์น ไม้ไผ่ก็เป็นไม้อีกชนิดหนึ่งที่คนไทยใช้สร้างที่อยู่อาศัยกันมาเนิ่นนาน ซึ่งสามารถนำมาตกแต่งบ้านให้ดูทันสมัยได้ไม่ต่างจากไม้ชนิดอื่น โดยนำไม้ไผ่มาผูกเรียงกันให้แข็งแรง ทำเป็นฝ้าหรือผนังในส่วนที่ต้องการบรรยากาศแบบธรรมชาติ เช่นห้องน้ำกลางแจ้ง แต่ต้องวางลำไผ่เรียงกันให้เป็นระเบียบ และลดทอนรายละเอียดขององค์ประกอบข้างเคียง เช่น ใช้คู่กับผนังซีเมนต์ขัดมัน และเฟอร์นิเจอร์รูปทรงเรียบๆเพื่อให้คงอารมณ์แบบบ้านโมเดิร์นไว้
Tips 1.ท่องให้ขึ้นใจว่าองค์ประกอบของบ้านสไตล์โมเดิร์นก็คือเส้นสายตรง เรียบง่าย เน้นรูปแบบที่เรียบๆ รายละเอียดน้อยๆเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบใดๆในบ้าน รวมถึงการโชว์เนื้อแท้ของวัสดุอย่างตรงไปตรงมา
2.การเลือกแต่งบ้านด้วยไม้ซึ่งมีลวดลายธรรมชาติไม่เป็นระเบียบ ให้ดูโมเดิร์น สามารถทำได้โดย ซอยไม้เป็นแผ่นเล็กๆให้เห็นแนวรอยต่อของไม้ที่เป็นเส้นตรง โดยอาจตีเว้นร่องหรือไม่ก็ได้ ผสมวัสดุใหม่ทันสมัยอย่าง สเตนเลสสตีล อะลูมิเนียม กระจก หินสังเคราะห์ หรือพื้นผิวของซีเมนต์ขัดมัน เข้าไปตกแต่งประกอบกับไม้ พื้นไม้ที่มีพื้นที่กว้างๆควรเบรกสายตาด้วยพรมชิ้นสีเรียบๆ หรือลวดลายโมเดิร์นเพื่อไม่ให้มองเห็นไม้มากเกินไป ในซอกหลืบหรือมุมที่ไม้มาชนกัน ทำให้ดูมืดเป็นมุมอับ อาจแก้ไขโดยซ่อนไฟไว้ในหลืบ หรือเว้นช่องไว้แล้วซ่อนไฟจะช่วยให้บรรยากาศดูโมเดิร์นขึ้น 3.บัวพื้นหรือบัวเพดานเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในบ้านโมเดิร์น หากจำเป็นต้องมีควรเลือกแบบที่เรียบที่สุด 4.สมัยนี้ไม้จริงหายากและราคาแพง อาจเลือกใช้วีเนียร์ไม้ในการตกแต่งส่วนที่ไม่ต้องใช้งานหนัก อย่างเช่น ผนัง เพดานและหน้าบานตู้แทนไม้จริงก็ได้ (วีเนียร์ไม้คือแผ่นไม้บางๆที่ฝาน ปอก หรือเลื่อยออกจากไม้ซุง แล้วนำไปปิดบนแผ่นไม้อัดเพื่อให้แข็งแรงเมื่อจะนำมาใช้งาน โดยอาจนำไปกรุผนัง หรือทำเฟอร์นิเจอร์ วีเนียร์มีลวดลายและสีสันให้เลือกมากมาย รวมถึงลายของไม้จากต่างประเทศที่หาไม่ได้ในบ้านเรา ปัจจุบันมีการทำลวดลายวีเนียร์เลียนแบบไม้ธรรมชาติ เนื่องจากหาได้ยากและราคาแพง
ที่มา : Decorholic
Create Date : 19 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 19 สิงหาคม 2553 9:49:41 น. |
Counter : 665 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บ้านที่ทำจากขวด
บ้านที่ทำจากขวด
ประวัติการสร้างบ้านขวดนั้น ตำนานของฝรั่งเล่ากันว่า บ้านที่ใช้ขวดเบียร์สร้างขึ้นเป็นหลังแรก มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1902 โดยนาย William F. Peck ที่อยู่ในเมือง Tonopah, NV ใช้ขวดไปทั้งหมด 10,000 ใบ แต่ถูกรื้อทิ้งไปเมื่อต้นปีค.ศ. 1980 นี่เอง อยู่มาได้ตั้ง 80 กว่าปี
บ้านของ Tom Kelly ปัจจุบันที่ทาง Paramount มาซ่อม เปลี่ยนหลังคาใหม่แล้วต่อมาในปี 1905 นาย Tom Kelly ก็สร้างบ้านขวดขึ้นมาบ้าง
ในเมือง Rhyolite, NV โดยใช้ขวดเบียร์ถึง 51,000 ใบ ใช้ดินเป็นตัวก่อ โดยรวบรวมมาจากบาร์เกือบ 50 แห่งในเมืองนี้ ซึ่งเป็นเมืองในยุคตื่นทอง เขาใช้เวลาสร้างบ้านหลังนี้เพียง 6 เดือน แต่หลังยุคตื่นทอง เมืองทั้งเมืองก็ถูกทิ้งร้าง เป็นเมืองผีสิงไป ต่อมาในปี 1925 Paramount Pictures ได้มาค้นพบเมืองนี้และซ่อมบ้านขวดหลังนี้เพื่อใช้เป็นฉากถ่ายหนัง ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไป
ในปีค.ศ. 1871 John J. Makinen Sr. ในเมือง Kaleva, MI ได้สร้างบ้านขวดโดยใช้ขวดจากบริษัทผลิตขวดของเขาเอง ถึง 60,000 ใบ แต่ใช้เวลาสร้างอยู่นาน มาเสร็จเอาปีค.ศ.1941 แล้วเจ้าตัวก็ตายเสียก่อนที่จะย้ายเข้าบ้านที่อุตส่าห์บรรจงสร้าง หลังจากนั้นจึงมี Kaleva Historical Museum ได้เข้ามารับซื้อเมื่อปีค.ศ. 1981 เพื่อเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติไปแล้ว
การใช้ขวดต่างสี ก็ให้ความรู้สึกที่สดใส มีชีวิตชีวาสามารถสลับลวดลาย หรือเล่นเป็นตัวอักษรก็ได้การเลือกขวดมาใช้ ต่างประเทศเขาว่าใช้ขวดแชมเปญจะแข็งแรงที่สุด ของเราคงหายาก มีน้อย มีแต่ขวดเหล้า ขวดเบียร์และขวดลิโพนี่แหละ ที่หาง่ายที่สุด จะใช้แบบสีเดียวชนิดเดียวกันหมดก็ได้ หรือจะใช้สลับเพื่อสร้างลวดลายในตัวก็ได้ ถ้ามีหัวออกแบบได้หน่อย แต่ก็ต้องรวบรวมสะสมกันสักพัก โดยต้องคำนวณปริมาณขวดที่จะใช้ให้พอเพียง งานก่อสร้างจะได้ไม่ชะงักถ้าเกิดขวดไม่พอ ได้มาแล้วก็ต้องมาคัดแยกและล้างฉลากออกก่อน สำหรับบ้านหลังนี้ ออกแบบได้สวยเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะทำบ้างก็ต้องอาศัยประสบการณ์พอสมควร ไม่ถึงกับจะต้องเป็นสถาปนิก (สถาปนิกบางคนก็ยังทำไม่ได้แบบนี้) แต่ก็น่าจะต้องเป็นศิลปินในแขนงใดแขนงหนึ่ง เช่น ประติมากร หรือจิตรกร ทีเดียวการออกแบบบ้านนั้น ก็ใช้หลักการออกแบบบ้านทั่วไป ผสมผสานกับวัสดุอื่นๆด้วย ถ้าใช้หลักการของการออกแบบบ้านธรรมชาติได้ก็ยิ่งดี
ความรู้สึกของการอยู่บ้านขวดแก้วนี่จะต่างจากบ้านดินมาก เพราะลักษณะบ้านดินนั้นเป็นระบบผนังรับน้ำหนัก จะไม่ค่อยมีการเปิดช่องหน้าต่าง ประตูมากนัก เพราะขัดกับลักษณะโครงสร้าง ส่วนบ้านขวดนั้นใช้ได้กับระบบโครงสร้างทั้ง สองแบบ ที่สำคัญและแตกต่างมากๆ คือคุณสมบัติของแก้วที่โปร่งแสง ทำให้ได้รับแสงผ่านจากขวดเข้าสู่ภายในได้ทั้งผนัง แม้ผนังจะทึบไม่มีช่องหน้าต่างก็ตาม แต่ก็ยังได้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง ไม่อึดอัด ถ้าออกแบบดีๆด้วยแล้ว จะได้ effect ของแสงที่สวยงาม สร้างจินตนาการได้เลิศลอยเลยทีเดียว ซึ่งผมหาตัวอย่างมาให้ดูเป็นไอเดียแล้ว คนไทยเราก็มีหัวศิลป์อยู่แล้ว ไม่น่าจะยากเกินความสามารถไปได้นะครับ บ้านขวด และโบสถ์ขวดโบสถ์ขวดหลังนี้ ใช้ประกอบพิธีแต่งงานให้นักท่องเที่ยวมาหลายคู่แล้วปราสาทขวดสุดท้าย บ้านขวดจัดอยู่ในประเภทบ้าน recycle จึงไม่ได้จำกัดขนาดของมัน จะสร้างบ้านใหญ่หรือสร้างเป็นอะไรก็ได้ เช่นเป็นโบสถ์ เป็นเจดีย์ เป็นปราสาท อะไรก็ได้ทั้งนั้น สร้างอาคารยิ่งขนาดใหญ่ ก็ยิ่งลดการใช้วัสดุก่อสร้างจากระบบอุตสาหกรรมได้มาก ประหยัดพลังงาน และช่วยลดมลภาวะให้สิ่งแวดล้อม คือหัวใจสำคัญ
ที่มา : dek-d.com
Create Date : 18 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 18 สิงหาคม 2553 8:50:49 น. |
Counter : 1152 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อิทธิพลงานกราฟิกในงานตกแต่งภายใน
อิทธิพลงานกราฟิกในงานตกแต่งภายใน
ศิลปะทุกแขนงจึงผูกเรื่องเข้าหากัน ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม บรรยากาศงานตกแต่งภายใน ประเภทงานกราฟิกต่างๆ ตั้งแต่โลโก้, นามบัตร, โบว์ชัวร์, ป้ายสัญลักษณ์ ต่างๆ ไปจนถึงศิลปะสิ่งทอและแฟชั่น เอาเป็นว่าทุกแขนงเลยก็ว่าได้
ดังนั้น การสร้างธีม เนื้อหาของงานออกแบบขึ้นมาเฉพาะจึงจำเป็นมาก เพื่อทำให้งานออกแบบโครงการมีความเป็นเอกภาพ มีจุดเชื่อมโยง ถือว่าเป็นโครงการที่ได้คุณภาพ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนบุคลิกและความเป็นมืออาชีพในการบริหารโครงการ
กลุ่มประเภทกราฟิกดีไซน์ในปัจจุบัน มีอิทธิพลมากต่อการตกแต่งภายใน ที่สามารถสร้างเนื้อหาสาระในงานออกแบบและสร้างความสมบูรณ์ในการสื่อสารต่อผู้ใช้งานได้เป็นอย่าง
งานกราฟิกที่มีพลังจึงจำเป็นต้องได้รับการออกแบบที่ดี มีจุดเด่น บางโครงการอาจจำเป็นต้องใส่อารมณ์ขันเข้าไปบ้าง เพื่อสร้างความสนุกให้แก่ผลงาน ประเภทของงานกราฟฟิก จึงสะท้อนออกมาในรูปแบบประเภทต่างๆ ดังนี้
1.การออกแบบสัญลักษณ์
การออกแบบฉบับย่อให้มองง่าย มีความเป็นสากลในการสื่อสาร เช่น ป้ายบอกทางการจราจร สัญลักษณ์ ชาย-หญิง หน้าห้องน้ำ เครื่องหมายสัญลักษณ์ในการใช้งานประเภทต่างๆ
การออกแบบลักษณะนี้มีหลักคิด คือ ให้มองง่าย เข้าใจง่าย มีความเป็นสากลทุกชาติทุกภาษาเข้าใจคือเป็นภาษาหนึ่งในการสื่อสาร ตัดทอนให้ง่าย ไม่เน้นรูปร่าง รูปทรงที่เทอะทะ รุงรัง เห็นได้ในระยะไกลสอดคล้องกับรูปแบบ, ไอเดียและบรรยากาศโครงการ
2.การออกแบบกราฟิก ลวดลายต่างๆ ในวัสดุ
เป็นการออกแบบเพื่อการตกแต่งภายใน เช่น ลายผ้าบุโซฟา, เก้าอี้ ลวดลายสวยงามบนผิว วอลล์เปเปอร์ หรือ เป็นการพิมพ์ลายลงบนแผ่นระนาบต่างๆ เช่นลามิเนต, หนังเทียม, ไฟเบอร์ซีเมนต์, กระดาษต่างๆ หรือแม้กระทั่งบนกระจกก็สามารถทำได้
งานลักษณะนี้จะสะท้อนอยู่ในผลงานของนักออกแบบที่สามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้ หลากหลายผลงาน เช่น ผลงานของคาริม ราชิด นักออกแบบระดับโลกที่โดดเด่นด้วยการนำกราฟิกมาใช้อย่างมีคุณค่ามากที่สุด และกลายเป็นจุดเด่นของเขาไปด้วยการออกแบบลวดลายกราฟิกที่พิมพ์บนหน้าบานของเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เช่น ครัวตู้เสื้อผ้า, ตู้เก็บของที่มีดีไซน์
การออกแบบเหล่านี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีบทบาทมากขึ้นและแรงขึ้น มิติของงานจึงขยายวงกว้างด้วยเทคนิคไม่จำกัด
3. การออกแบบกราฟิกในงานศิลปะสื่อผสม และศิลปะประยุกต์
เนื่องจากการออกแบบขยายวงกว้างมากขึ้น ทำให้ศิลปะมีความไร้พรมแดนมากเข้าไปอีก โดยเฉพาะงานกราฟฟิกที่นำมาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะต่างๆ กลายเป็นผลงานที่อาจจะเป็นชิ้นเดียวในโลกที่มีคุณค่าประเมินค่าไม่ได้ การออกแบบให้เป็นงานศิลปะชั้นเยี่ยมจึงมีบทบาทมากในการตกแต่งภายใน เป็นการเพิ่มมูลค่าโครงการด้วยงบประมาณจำกัด แต่ได้ผลมากมายมหาศาล
การออกแบบเพื่องานศิลปะเป็นการประยุกต์ศิลปะเพื่อการพาณิชย์อย่างมีชั้นเชิง เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ศิลปะเหล่านั้น กระจายสู่สังคมในวงกว้างมากขึ้น มีองค์ประกอบและความงดงามจาก 2 มิติสู่ 3 มิติ เป็นองค์รวมทั้งโครงการ
บทบาทของงานกราฟฟิกจึงขยายวงกว้างสู่งานออกแบบทั้งสถาปัตยกรรม ที่สร้างสีสันและพื้นผิวงานให้มีคุณค่า และงดงาม งานตกแต่งภายในที่ลงลึกในทุกส่วนที่เป็นระนาบรอบตัว งานออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยเสริมสร้างมูลค่าสินค้า ให้มากทีวีคูณ การสื่อสารด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ตราสินค้าที่โดดเด่น แพ็กเกจจิ้งที่สวยงามดึงดูดสายตา และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเทศกาล กระแสแฟชั่น เทรนด์การออกแบบในแต่ละยุคสมัย
การออกแบบที่บูรณาการศาสตร์ และศิลป์เข้าด้วยกันอย่างงดงามร้อยเรื่องราวเนื้อหาให้เกิดความเป็นเอกภาพ จึงเป็นเสน่ห์สุดๆ ของการออกแบบโครงการ
ที่มา : //www.komchadluek.net
Create Date : 16 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 16 สิงหาคม 2553 8:53:36 น. |
Counter : 875 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
แนะนำตัว มิสมอนเจอร์ อย่างเป็นทางการ
สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนนะคะ ดิชั้นชื่อ นางสาว มอนเจอร์ เดคอรัส ดิชั้นทำหน้าที่เป็น PR ให้กับ บริษัท ธีมสตูดิโอ หรือเรียกว่าเป็นคนเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร อัพเดทผลงานและคอยตอบกระทู้ในเว็บไซด์ เอาเป็นว่าตอนนี้ทุกคนรู้จัก มอนเจอร์ เดคอรัส เป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ หากใครมีข่าวสารใหม่ๆ ต้องการให้อัพเดท หรือคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อ Miss Monger ได้ที่
http://www.teemgroup.com http://teemgroup.blogspot.com/ http://teemgroup.multiply.com/
ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ จึงเรียนมาเพื่อทราบ มอนเจอร์ เดคอรัส (Public Relation)
|
|
|
|
|
|
|