Welcome to my blog
2 วัน 1 คืน ซาปา สัมผัสลมหนาวบนดินแดนหลังคาอินโดจีน

สถานที่ท่องเที่ยว : Sun World Fansipan Legend, เมืองซาปา, Vietnam
พิกัด GPS : 22° 18' 16.55" N 103° 46' 33.34" E

ประเทศเวียดนาม นับเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวของคนไทย ด้วยระยะทางที่ใกล้ ไฟลท์บินที่มีเยอะ และค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างถูก ทำให้จำนวนคนไทยที่ไปเวียดนามเยอะขึ้นในทุกปี ปัจจุบัน เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศเวียดนามของคนไทย ก็ได้แก่ ดานัง (Danang), ฮอยอัน (Hoi An), ดาลัด (Dalat) รวมทั้ง ซาปา (Sapa) ซึ่งผมจะนำมารีวิวในบล็อกนี้ครับ

รู้จักกับเมืองซาปา (Sapa)

ซาปา (
Sapa) ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของประเทศเวียดนามอีกเมืองหนึ่งที่คนไทยนิยมไปเที่ยวกันมากที่สุด อาจจะเป็นเพราะที่นี่มีอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี รวมทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยว จุดถ่ายรูปสวยๆ รวมทั้งธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่ผสมผสานทั้งเวียดนาม ฝรั่งเศส และชนเผ่าต่างๆบนที่สูงของเวียดนามที่รวมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว

เมืองซาปาตั้งอยู่ใน จังหวัดหล่าวกาย (Lao Cai) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ติดกับประเทศจีนครับ ความพิเศษของเมืองนี้คือ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และสภาพภูมิประเทศ เนื่องจากซาปาตั้งอยู่บน แนวเทือกเขาหวงเหลียงซาน (Hoang Lien Son Range) ที่มีความสูงมากกว่า 2 พันเมตร ทำให้ซาปามีธรรมชาติแห่งขุนเขาที่งดงาม และมีอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงมกราคม ซาปาจะมีอากาศหนาวเย็นที่สุด จนถึงขั้นติดลบ และอาจมีหิมะตกได้ในบางวันครับ

เช่นเดียวกับส่วนอื่นของประเทศเวียดนาม ในอดีตเมืองซาปาก็เคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยทางรัฐบาลฝรั่งเศสที่ปกครองเวียดนามในช่วงนั้น ได้สร้างซาปาให้เป็นเมืองตากอากาศสำหรับหลบอากาศร้อนจัดในช่วงฤดูร้อนของกรุงฮานอย ทำให้สถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองที่ซาปาจะมีลักษณะแบบอาณานิคมฝรั่งเศส (French Colonial)

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ ผู้คน โดยคนท้องถิ่นซาปา จะประกอบด้วยหลากหลายชนเผ่า ส่วนใหญ่จะเป็น ชาวม้ง (Hmong)  รองลงมาคือ ชาวเย้า (Yao), ชาวญวน (Kinh), ชาวไต (Tay) และ ชาวซั้ย (Giay) ซึ่งคนส่วนมากจะสื่อสารด้วยภาษาเวียดนามเป็นหลัก แต่เนื่องจากที่นี่กลายสภาพเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ทำให้ชนพื้นเมือง โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว

เที่ยวซาปาช่วงไหนดี

เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆในแถบเวียดนามเหนือ ที่นี่ก็มี 4 ฤดูครับ โดยระหว่างเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม ถือเป็นช่วงที่ฝนชุก บางช่วงก็มีฝนตกหนักและดินถล่ม แต่ช่วงนี้ก็มีข้อดี เพราะเป็นช่วงที่ซาปามีความสวยงามมากที่สุด ถ้าใครมาเที่ยวในช่วงนี้จะได้พบกันทุ่งนาขั้นบันไดเขียวขจีพร้อมกับทะเลหมอก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมร่มและเสื้อกันฝนไว้ด้วยครับ


นอกจากนี้ อีกช่วงที่ซาปาน่าเที่ยวและคนไทยน่าจะชอบกันก็คือ ช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่หนาวที่สุด เพราะเป็นช่วงที่มีโอกาสเจอหิมะ แต่หิมะที่นี่ก็ไม่ได้ตกตลอดนะครับ ต้องรอลุ้นว่า ลมหนาวจากจีนต้องพัดลงมาแรงๆ รวมทั้งมีสภาพความชื้นและกระแสลมที่เหมาะสม ถึงจะมีโอกาสเจอ

สรุปคือ ซาปาก็เที่ยวได้ตลอดทั้งปี แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหน ถ้าอยากเจอหิมะก็ให้ไปช่วงปลายปี อยากได้อากาศแจ่มใส ก็ให้ไปช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน หรือถ้าอยากไปเห็นทุ่งนาขั้นบันไดสีเขียวขจี ก็ต้องไปเที่ยวในช่วงหน้าฝน ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมจนถึงเดือนตุลาคมครับ

การเดินทางจากฮานอยไปยังซาปา

เนื่องจากซาปายังไม่มีสนามบินครับ (ตอนนี้กำลังสร้างอยู่) ดังนั้น วิธีการเดินทางจากฮานอยไปยังซาปาจึงต้องเดินทางบนถนนหรือรถไฟเท่านั้น ได้แก่

1. รถบัส จากฮานอยไปยังซาปามีอยู่ด้วยกันหลายเจ้า แต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการ ก็คือ Green bus ค่ารถจะอยู่ที่ 12 USD ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งในทริปนี้ผมใช้วิธีนี้ในการเดินทางไปยังซาปาครับ

รถบัสจากฮานอยไปซาปาเกือบทั้งหมดเป็นรถนอนแบบในรูปนี้ ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะ นอนแล้วปวดคอ แล้วก็ไม่ค่อยปลอดภัยด้วย ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ 

2. รถลีมูซีน (Limosune) อาจจะฟังดูหรูหรา แต่จริงๆแล้ว มันก็อารมณ์คล้ายๆรถตู้ แบบที่มีประมาณ 7-10 ที่นั่งนั่นแหละครับ (นั่งแชร์กับคนอื่นนะ) ค่ารถจะอยู่ที่ประมาณ 25 USD  ข้อดีคือรถจะถึงเร็วกว่ารถบัสเล็กน้อย และรถจะรับส่งถึงโรงแรมเลย (ผมใช้วิธีนี้ในการเดินทางขากลับจากซาปามายังฮานอย)

3. รถไฟ การเดินทางด้วยวิธีนี้ จะไปไม่ถึงซาปาครับ โดยรถไฟจะไปถึงแค่ที่ เมืองหล่าวกาย (Lao Cai City) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดหล่าวกาย จากนั้นเราต้องหารถเดินทางต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะเป็นแท็กซี่ รถบัส หรือรถตู้

การเดินทางทั้งสามวิธีนี้ สามารถจองซื้อตั๋วได้กับ คุณเฮือง (Huong Nguyen) ซึ่งเป็น Travel agency เจ้าดังในแถบเวียดนามเหนือ ใครสนใจสามารถติดต่อสอบถาม หรือซื้อตั๋วได้ตามเฟสบุ๊คด้านล่างนี้เลยครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง

  • ออกเดินทางจากฮานอยในช่วงดึกของวันก่อนหน้า และมาถึงที่ซาปาเวลา 4.00 น. จากนั้นนอนในรถจนถึงตีห้าครึ่ง แล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ที่พัก (Pistachio Hotel Sapa)
  • ช่วงเช้า นั่งเคเบิ้ลคาร์และกระเช้าขึ้นไปยังยอดเขาฟานสิปัน เที่ยวบนยอดเขา
  • ช่วงบ่าย เช็คอินเข้าที่พัก จากนั้นเดินเที่ยวในเมืองซาปา ขึ้นไปดูวิวมุมสูงของเมืองซาปาที่ภูเขาฮัมรง (Ham Rong Mountain)
  • ช่วงเย็น ไปทานหม้อไฟแซลมอนที่ร้าน Hotpot Center Sapa และไอศกรีมร้าน Mixue
  • เดินเล่นชมเมืองยามค่ำคืนใกล้กับทะเลสาบซาปา
วันที่สอง
  • เช้า ซื้อทัวร์เที่ยวชมทุ่งนาขั้นบันไดรอบๆเมืองซาปา
  • บ่าย เดินทางกลับเมืองฮานอยด้วยรถลีมูซีน

ที่พักในเมืองซาปา

ผมเลือกพักที่ Pistachio Hotel Sapa ซึ่งคนไทยนิยมมาพักที่นี่ ตามรีวิวของบล็อกเกอร์คนดังหลายคน โดยผมพักที่นี่ 1 คืนที่ห้องพรีเมียมดีลักซ์ เตียงแฝด ราคาจองผ่านอโกด้าอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท พอหารออกมา ก็ตกคนละ 2,000 บาท รวมอาหารเช้าครับ


สิ่งหนึ่งที่ผมอยากเตือนเกี่ยวกับการจองโรงแรมผ่าน Travel agency ไม่เฉพาะกับที่นี่ แต่ทุกโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมที่ต่างประเทศก็คือ หลังจากจองแล้ว เราควรจะส่งอีเมล หรือโทรสอบถามกับทางโรงแรมว่าได้รับ booking ของเราไหม เพราะสิ่งที่ผมเจอกับที่โรงแรมนี้ก็คือ ทางโรงแรมหา booking ที่เราจองผ่านอโกด้าไม่เจอครับ ผมต้องโทรติดต่อประสานงานกับอโกด้าที่เมืองไทยอยู่เป็นชั่วโมง จนได้ข้อสรุปว่า ทางอโกด้าจองโรงแรมนี้ให้ผมผ่านเอเจนซี่อีกเจ้าหนึ่ง ซึ่งเอเจนซี่เจ้านั้นใส่ชื่อคนจองผิด ก็เลยหาชื่อเราไม่เจอ (อย่างนี้ก็มีด้วย) แม้ว่าปัญหาจะแก้ได้ แต่ก็ทำให้เสียเวลา และเสียอารมณ์กับเมืองนี้ไปเลย

วันที่หนึ่ง

หลังจากที่เราเดินทางมาถึงที่ซาปาและฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้ว ก็ออกไปเที่ยวเลยครับ

ไฮไลท์อย่างหนึ่งของเมืองซาปาที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนยอมนั่งรถ 5-6 ชั่วโมงจากฮานอยมาที่เมืองนี้ นั่นก็คือ ยอดเขาฟานสิปัน (Fansipan Mountain) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเวียดนาม และถือว่าสูงที่สุดในแถบอินโดจีน (ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) ด้วยความสูงถึง 3,143 เมตร ทำให้ได้ชื่อว่าเป็น หลังคาแห่งอินโดจีน (The roof of china) ซึ่งความสูงระดับนี้ ทำให้บนยอดเขาอากาศจะค่อนข้างหนาว โดยอุณหภูมิในช่วงหน้าหนาว อาจติดลบตลอดทั้งวัน และมีหิมะตกได้

 

ยอดเขาฟานสิปันอยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาประมาณ 9 กิโลเมตร สมัยก่อนการเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาแห่งนี้ต้องใช้เวลาเดินจากตัวเมืองซาปาไปกลับประมาณ 5-6 วัน แต่ปัจจุบัน ด้วยสภาพถนนหนทางที่ดีขึ้น ตอนนี้ระยะเวลาในการเดินขึ้นยอดเขาเลยเหลือแค่ 2-3 วันครับ อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นยอดเขาฟานสิปันอีกต่อไป เพราะทาง Sun World ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวได้เข้ามาทำการก่อสร้างรถรางและกระเช้าสำหรับขึ้นยอดเขาฟานสิปัน ทำให้ลดระยะเวลาในการขึ้นยอดเขาฟานสิปันเหลือแค่ 20 นาทีเท่านั้นครับ
 



สำหรับการขึ้นยอดเขา อันดับแรกเราต้องมาซื้อตั๋วที่ ตึกซันพลาซ่า (Sun Plaza) ใกล้ๆกับจัตุรัสใจกลางเมืองซาปา
 

สำหรับตั๋วเพื่อขึ้นไปบนยอดเขาฟานสิปัน จะมีให้เลือกหลายแบบ แต่สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดเลยก็คือ ถ้าเราต้องการขึ้นยอดเขาฟานสิปันจากตรงตึกซันพลาซ่า เราต้องซื้อตั๋ว รถราง (Muong Hoa Monorail train) จากตึกซันพลาซ่า เพื่อไปที่ Hoang Lien station จากนั้นต้องนั่ง กระเช้า (Cable car) เพื่อขึ้นไปที่ Fansipan station ซึ่งตั๋ว รถราง+กระเช้า (ไปกลับ) ปัจจุบันอยู่ที่ 737,000 ดอง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,100 บาทครับ (ราคาแรงใช้ได้เลย)
 

จาก Fansipan station เราต้องเดินต่อไปอีก เพื่อขึ้นไปบน ยอดเขาฟานสิปัน (Fansipan summit) ซึ่งระหว่างทางก็จะมีมุมถ่ายรูปสวยๆเพียบ ทั้งเจ้าแม่กวนอิม พระองค์ใหญ่ พระอารามศิลปะแบบเวียดนาม พร้อมกับวิวทิวทัศน์สวยๆของ เทือกเขาหวงเหลียนซาน (Hoang Lien San Range)
 











ถ้าใครข้อเข่าไม่ดี เดินต่อไม่ไหว ที่นี่ก็มีรถรางขึ้นยอดเขาเหมือนกัน ราคาจะบวกเพิ่มอีก 70,000 ดองครับ
 

บนยอดเขาจะมีสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมพร้อมกับบอกความสูงของยอดเขาฟานสิปันที่ 3,143 เมตร ให้คนมาถ่ายรูปเช็คอิน พร้อมกับมีธงชาติประเทศต่างๆ (รวมทั้งประเทศไทย) เป็นพร็อป แต่คนไทยก็ไปถือธงถ่ายได้ครับ
 



โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่า ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามพลาด สำหรับใครที่เดินทางมาซาปาเลยครับ ผมมาที่นี่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ก็เลยมีข้อแนะนำสำหรับใครที่จะมาเที่ยวที่นี่ ดังนี้นะครับ

1. ข้างบนนี้อากาศหนาวมาก แม้แต่ตอนกลางวัน ช่วงที่ผมไป (เดือนตุลาคม) อุณหภูมิยังอยู่ที่ 6-7 องศา  ใครที่จะไปแนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวแบบจัดเต็มไปเลยครับ

2. อากาศบนยอดเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ก่อนจะขึ้นให้ดูอากาศให้ดี ถ้าฟ้าใส ไม่มีเมฆ แนะนำให้รีบขึ้นเลย แต่ถ้าเมฆดูมืดครึ้ม แนะนำให้รอจนกว่าฟ้าจะใส เพราะบนนั้นมีโอกาสเจอฝน โดยเฉพาะในช่วงดือนพฤษภาคมจนถึงตุลาคม จะมีโอกาสเจอฝนสูง

3. สามารถซื้อตั๋วผ่านเอเจนซี่ เช่น Klook หรือ KKday  ราคาจะถูกกว่าซื้อหน้างานเล็กน้อย แต่ข้อเสียคือต้องระบุวัน ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ และถ้าวันที่ซื้ออากาศไม่ดี ก็อาจจะทำให้เที่ยวไม่สนุกครับ ผมเลยแนะนำให้ดูอากาศก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อตั๋วหน้างานจะดีกว่าครับ

4. ถ้าเป็นไปได้ ควรเลี่ยงการขึ้นยอดเขาฟานสิปันช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดยาวของคนเวียดนาม ไม่งั้นอาจจะต้องรอถึง 3 ชั่วโมงกว่าจะต่อคิวขึ้นรถรางและกระเช้า จนไปถึงบนยอเขา

5. ช่วงเช้าทัวร์จะลงที่นี่เยอะ ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ขึ้นช่วงบ่าย

 
พวกเราใช้เวลาในช่วงเช้าของทริปในวันที่สองเที่ยวบนยอดเขาฟานสิปันตั้งแต่เช้าบนจนถึงบ่ายๆ พอลงจากเขา ก็ไปหาอาหารเที่ยงกันที่ร้านนี้ครับ
 


ร้านนี้จะขายพวกอาหารหลากหลายประเภท ทั้งอาหารเวียดนาม อาหารตะวันตก ไปจนถึงหม้อไฟปลาแซลมอน ส่วนตัวผมชอบร้านนี้ครับ อาหารอร่อย ราคาถูก ที่สำคัญ ร้านนี้ได้รับคะแนนรีวิวใน Tripadvisor สูงเป็นอันดับต้นๆของเมืองซาปาเลย ใครมาที่เมืองนี้ แนะนำเลยครับ

พอเราทานอาหารเสร็จ เราก็เดินเล่นในเมือง จนกระทั่งไปเจอกับตึกที่ดูเหมือนจะเตรียมทำเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ แม้จะยังไม่เสร็จดี แต่ก็มีมุมให้เราถ่ายรูปเล่น


โบสถ์หินซาปา (Sapa stone church) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซาปา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย โบสถ์นี้เป็นโบสถ์เก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ปี 1902 ในช่วงที่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสครับ


จากนั้น เราก็ใช้เวลาในช่วงเย็นมาเที่ยวกันที่ภูเขา ภูเขาฮามรอง (Ham Rong Mountain) ครับ ที่นี่เป็นภูเขาลูกเตี้ยๆตั้งอยู่ใจกลางเมืองซาปา โดยทางขึ้นจะอยู่ด้านหลัง โบสถ์หินซาปา (Sapa stone church) 

ที่นี่จะมีค่าเข้าอยู่ที่คนละ 70,000 ดอง หรือคนละประมาณ 100 บาท


ฮามรอง (Ham Rong) ในภาษาเวียดนามแปลว่า กรามของมังกร เพราะมีตำนานเล่าว่า สมัยก่อนมีมังกร 2 ตัว เป็นตัวผู้และตัวเมีย ถูกแยกออกจากกันเนื่องจากน้ำท่วม โดยมังกรตัวผู้ถูกพัดไปอยู่บนเทือกเขาหวงเหลียงซาน ส่วนมังกรตัวเมียก็พยายามเงยหน้ามองหามังกรตัวผู้ จนกลายมาเป็นภูเขาฮามรองครับ

ด้านบนของภูเขาถูกดัดแปลงให้เป็นสวน มีมุมถ่ายรูป และมีร้านเช่าชุดเป็นชาวม้ง ทำให้ผมนึกถึง บ้านม้งดอยปุย ที่เชียงใหม่เลย










 
ไฮไลท์ของภูเขาฮามรองคือ วิวทิวทัศน์ที่จะทำให้เรามองเห็นวิวของเมืองซาปาได้ทั้งเมืองแบบนี้ครับ

 


ด้านล่างตรงตีนเขามีโรงแรมอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่า Ham Rong Hotel ว่ากันว่าเป็นโรงแรมเก่าแก่  เปิดมาตั้งแต่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ตึกก็เก่า ดูสยองนิดๆ


มาต่อกันที่มื้อเย็นครับ สำหรับที่ซาปาแล้ว อาหารอย่างหนึ่ง ที่อาจจะเรียกได้เป็นอาหารประจำเมือง นั่นก็คือ ปลาแซลมอน เนื่องจากที่ซาปามีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี จึงเหมาะแก่การเพาะเลี้ยงปลาเมืองหนาว ทำให้มีการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนขึ้นหลายแห่ง ร้านค้าต่างๆภายในเมืองจึงมีสารพัดเมนูที่ทำจากปลาแซลมอนครับ


ร้านที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ชื่อว่า Hotpot center ตัวร้านจะตั้งอยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบที่เรามองเห็นจากบนภูเขาฮามรอง โดยเมนูแนะนำก็คือ Salmon hotpot ทั้งเซ็ทอยู่ที่ 750,000 ดอง หรือประมาณ 1,200 บาท กินได้ประมาณ 2 คน น้ำซุปจะคล้ายๆกับน้ำซุปของมาม่า ใส่มะเขือเทศ เต้าหู้ มีผักต่างๆให้มาเติมลงในน่ำซุป ส่วนปลาให้มาทั้งตัว แล่มาเรียบร้อย ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ผสมกับผงชูรส


ส่วนตัวผมว่า ปลาคุณภาพดี สด (เพราะเพิ่งจับขึ้นมาเลย) โดยรวมก็ถือว่า พอใจ แต่ข้อเสียคือ ก้างเยอะไปหน่อย อีกอย่างนะครับ ถึงคนที่นี่จะเรียกว่า ปลาแซลมอน แต่จริงๆแล้วมันคือ ปลาเทราต์ นะครับ รสชาติเลยอาจจะไม่เหมือนกับแซลมอนที่เราคุ้นเคยกันเวลากินบุฟเฟต์ที่เมืองไทยนะ


ข้อเสียของร้านนี้คือ ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษนะครับ มีแต่เมนูภาษาเวียดนาม แต่พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ก็เลยใช้วิธีถามพนักงานเอา ใครจะไปก็บอกเค้าว่าเอาเซ็ท Salmon hotpot เหมือนผมก็ได้ครับ คนไทยส่วนใหญ่ที่ไปกินร้านนี้ก็สั่งเซ็ทนี้แหละ

ข้างๆร้าน Hotpot center ยังมีร้านไอศกรีมที่ชื่อว่า Mixue ใครกินแซลมอนเสร็จ แนะนำให้ไปซื้อไอศกรีมโคนที่ร้านนี้ ราคาแค่ 10,000 ดอง หรือประมาณ 15 บาทเท่านั้นเอง


พอซื้อไอศกรีมแล้ว เราก็ถือไปทานเล่น ชมวิวเมืองซาปาในยามค่ำคืน เมืองนี้บรรยากาศดีมากครับ อากาศเย็นสบาย กลางคืนเค้าจะเปิดไฟ แล้วก็มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆมาจัดแสดงโชว์ให้เราดูด้วย


ปิดท้ายทริปวันนี้ด้วยรูป โบสถ์หินซาปา (Sapa stone church) ยามค่ำคืนครับ
 

วันที่สอง

วันนี้เรายังมีเวลาอยู่ที่ซาปาอีกประมาณครึ่งวันครับ เราเลยตัดสินใจซื้อทัวร์จาก klook เพื่อไปเที่ยวชม ทุ่งนาขั้นบันได ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่สำคัญของการมาซาปาในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ค่าทัวร์จะอยู่ที่ประมาณ 800 กว่าบาทครับ

ถ้าใครสนใจ สามารถดูรายละเอียดและจองได้ที่นี่
https://www.klook.com/th/activity/13922-lao-chai-ta-van-village-trekking-tour-sapa/


ปัญหาคือ อากาศเช้านี้ไม่ดีเอาซะเลย ฝนตกหนักมาก แถมหมอกก็ลงจัดด้วย จริงๆอยากนอนอยู่ที่โรงแรมต่อ แต่ปัญหาคือซื้อทัวร์ไปแล้ว ยกเลิกไม่ได้ซะด้วย


ทัวร์จะพาเราเดินลัดเลาะไปตามเขา ผ่านคันนาต่างๆ ชมทุ่งนาขั้นบันได ซึ่งจะมีเฉพาะในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนตุลาคมเท่านั้น

 

 

 


ระหว่างทางเจอสารพัดสิ่งมีชีวิต ทั้งควาย ไก่ หมา และงู

 

 

 


ระหว่างทางจะมีชาวม้งคอยเดินตามเรา คอยพยุงช่วยเราเดิน ตอนแรกก็คิดว่า คนพวกนี้ใจดีจัง ปรากฏว่าตอนจบ ตามตื๊อขายของให้เราซะงั้น


โดยรวม ผมว่าทุ่งนาก็สวยดีครับ แต่การเดินทางค่อนข้างลำบาก ทางชัน โคลนเยอะ ยิ่งวันที่ไปฝนตกด้วย เลยค่อนข้างมอมแมมไปซักนิด ใครไม่ใช่สายลุย ไม่แนะนำให้มา ไปหาคาเฟ่ หรือมุมถ่ายรูปสวยๆในเมืองดีกว่า แต่ถ้าใครเป็นสายลุย แนะนำเลยครับ

การเดินทางจากซาปากลับไปยังฮานอย

ผมจองเป็นรถลีมูซีนจากคุณเฮืองครับ รถจะมารับเราประมาณบ่ายสามโมง กลับถึงที่ฮานอยประมาณ 2 ทุ่มครับ ข้อดีของการเดินทางด้วยวิธีนี้คือ รถจะรับและส่งเราถึงโรงแรมเลย ไม่ต้องต่อรถให้วุ่นวาย แต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง คืออยู่ที่ประมาณ 700 กว่าบาทต่อขาครับ

จากประสบการณ์ที่พบเจอมา รถลีมูซีนที่นี่ขับน่ากลัวมาก นั่งไปเกร็งไป ลุ้นว่าจะมีชีวิิตรอดกลับมาเขียนรีวิวให้อ่านไหม คนขับก็บริการไม่ค่อยดี ใครจะไปก็เผื่อใจไปด้วยนะครับ 

สำหรับทริปที่ซาปาก็จบเพียงนี้ครับ เนื่องจากผมเคยมาที่ซาปาแล้วครั้งหนึ่ง รอบนี้ก็เลยเน้นเก็บที่เที่ยวที่เคยไปแล้วประทับใจอย่าง ยอดเขาฟานสิปัน และสิ่งที่ไม่เคยทำอย่าง ทัวร์ชมทุ่งนาขั้นบันได โดยรวม ผมก็ยังคงชอบเมืองนี้ ส่วนตัวผมว่า ซาปาเป็นเมืองเดียวบนโลกที่สามารถผสมผสานความเป็นฝรั่งเศส และเวียดนาม ให้ไปพบกับวิถีแห่งกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆบนภูเขาสูงของเวียดนามได้อย่างลงตัวครับ และการมาซาปาแต่ละช่วงฤดูกาลก็มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนกันด้วย อย่างรอบก่อนผมมาช่วงหน้าหนาว ก็ได้บรรยากาศแบบหนึ่ง พอมาเที่ยวในครั้งนี้ มาในช่วงปลายฝน ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง เอาเป็นว่า ถ้าใครมาเที่ยวแถบเวียดนามเหนือ ซาปาเป็นอีกหนึ่งเมืองที่แนะนำว่าต้องมาเลยครับ



Create Date : 29 ธันวาคม 2566
Last Update : 29 ธันวาคม 2566 22:05:56 น. 0 comments
Counter : 748 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku


ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.