นับแต่ก็ตั้งอาณาจักรล้านช้างโดยขุนบรม ชาวลาวจะนับถือธรรมชาติ และภูตผีปีศาจ จนกระทั่งในรัชสมัยของ พระเจ้าฟ้างุ้ม ที่ทรงนำเอาพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์เข้ามาลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงในอาณาจักรล้านช้าง นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระพุทธศาสนาก็กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติของชาวลาวจนถึงปัจจุบัน
ประจักษ์พยานแห่งความศรัทธาในศาสนาพุทธของชาวลาวก็คือ วัดต่างๆทั่วทั้งประเทศ เฉพาะในเมืองหลวงพระบางก็มีวัดต่างๆมากมาย ทั้งใหญ่และเล็กมากกว่า 20 วัด ในรีวิวตอนนี้ เราจะมาเที่ยววัดสำคัญ 4 วัดทั่วเมืองหลวงพระบาง จะมีวัดอะไรบ้างมาชมกันเลยครับ
1) วัดเชียงทองราชวรมหาวิหาร (วัดเชียงทอง)
เป็นวัดอันดับหนึ่งของหลวงพระบางที่ ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด เนื่องจากวัดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่สวยงามที่สุด จนได้ชื่อว่าเป็น อัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว
ค่าเข้าชม: 20,000 กีบ (80 บาท)
วัดนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยของ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ก่อนที่พระองค์จะย้ายราชธานีไปอยู่ที่เวียงจันทน์
วัดนี้ถือเป็นวัดเพียงไม่กี่แห่งที่ไม่ถูกทำลาย ภายในจึงมีความสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนที่น่าสนใจของวัดนี้ ได้แก่
สิม
เป็นสิมแบบหลวงพระบางแท้ๆ หลังคามีช่อฟ้าสีทอง 17 ยอด (หมายถึง วัดนี้ถูกสร้างโดยกษัตริย์ เพราะถ้าเป็นขุนนางหรือคนธรรมดาสร้างจะมีเพียง 1-7 ยอด)
Note: สิมแบบหลวงพระบาง เป็นสิมที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากสิมแบบล้านนา จะสังเกตว่าสิมของวัดเชียงทองจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับ พระอุโบสถของวัดโลกโมฬี ในจังหวัดเชียงใหม่มาก (ลอง search ดูรูปเปรียบเทียบใน google ได้เลยครับ)
ผนังด้านในประดับด้วยงามจิตรกรรมลายรดน้ำ ปิดทองบนพื้นดำ แสดงภาพพุทธประวัติ
ประตูแแกะสลักอย่างงดงาม โดย พระยาตัน ซึ่งเป็นสุดยอดช่างฝีมือแห่งหลวงพระบาง
หอพระม่าน
ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปแบบพม่า แต่ปกติหอนี้จะปิด ถ้าใครอยากดูต้องมองลอดช่องประตูเข้าไปครับ
หอพระพุทธไสยาสน์
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์อายุ 400 กว่าปี (ฝรั่งเศสเคยเอาพระพุทธรูปนี้ไปจัดแสดงที่กรุงปารีสด้วย)
โรงเมี้ยนโกศ
สร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2505 เพื่อเป็นที่เก็บราชรถและพระโกศ ซึ่งมี 3 องค์ ได้แก่ พระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา, พระโกศของพระปิตุลา และพระโกศของพระราชชนนี
2) วัดใหม่สุวรรณพูมาราม (วัดใหม่)
วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ได้รับการบูรณะใหม่หลายครั้ง จนรูปแบบสิมเป็นแบบ สิมแบบผสมหลังคา 5 ชั้น
ผนังด้านหน้าเป็นประติมากรรมปูนปั้นสีทองเรื่องรามเกียรติ์กับพระเวสสันดร
ภายในประดิษฐาน พระเอ้ ซึ่งชาวหลวงพระบางให้ความเคารพนับถือ
วัดนี้ยังเป็น ที่ประทับของพระสังฆราชลาวองค์สุดท้าย และยังในช่วงสงกรานต์ทางการจะอัญเชิญ พระบาง มาประดิษฐานที่ลานด้านหน้าวัดนี้ให้ประชาชนร่วมสรงน้ำอีกด้วย
ค่าเข้าชม: 10,000 กีบ (40 บาท)
3) วัดวิชุนราช
วัดนี้สร้างโดย พระเจ้าวิชุนราช ในปีพ.ศ.2046 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐาน พระบาง อยู่ช่วงหนึ่ง
ต่อมาในปี พ.ศ.2057 พระนางพันตีนเซียง ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้าวิชุนราชได้มีรับสั่งให้สร้าง พระธาตุหมากโม ขึ้น (นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า พระธาตุนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก พระมหาสถูปสาญจี ที่ประเทศอินเดีย)
Note: วัดนี้จะอยู่ห่างออกมาจากถนนเส้นหลักซักหน่อยแต่เดินได้ครับ
4) วัดพูสี (พระธาตุพูสี)
พูสีเป็นชื่อยอดเขาสูง 150 เมตร กลางเมืองหลวงพระบาง (ตรงข้ามพระราชวังหลวงพระบาง) ตามตำนานเชื่อว่าในอดีตตรงนี้เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ที่มีฤาษีอาศัยอยู่ ผู้คนจึงเรียกว่า พูฤาษี ก่อนที่จะเพี้ยนเป็นพูสีในปัจจุบัน ด้านบนมีพระธาตุพูสี ซึ่งเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวหลวงพระบาง
ด้านบนนี้เราจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบางได้แบบ 360 องศา
พระธาตุพูสีเป็นสถานที่ๆควรมาชมตอน พระอาทิตย์ตกดิน ครับ วิวด้านบนเป็นอะไรที่สุดยอดมาก (แนะนำว่าควรมาตั้งแต่สี่โมงเย็นเพื่อมาจับจองพื้นที่ชมวิว)
จริงๆวัดในเมืองหลวงพระบางยังมีอีกเยอะมาก แต่วัดที่ผมคัดมาในรีวิวตอนนี้ เป็นวัดที่น่าจะไปเยี่ยมชมในมุมมองของผมครับ
นอกจากวัดพวกนี้แล้ว วัดที่น่าไปเยี่ยมชมอีก ได้แก่
- วัดแสนสุขาราม
- วัดสบสิกขาราม
- วัดสีบุนเฮือง
- วัดปากคาน
- วัดสุวันนะคิลี
วัดทั้งหมดนี้จะอยู่ตรงทางไปวัดเชียงทอง ในกรอบสี่เหลี่ยมหมายเลข 1 นะครับ
สำหรับรีวิวในตอนที่ 3 ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ ในตอนหน้าจะเป็นการเที่ยวในวันที่สาม ซึ่งผมจะพาไปเยี่ยมชม อดีตพระราชวังหลวงพระบาง ที่ปัจจุบันกลายเป็น หอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ไปแล้ว เรื่องราวจะเป็นยังไง ฝากติดตามด้วยนะครับ
ตอนอื่นๆ
ตอนที่ 1: เตรียมตัวเที่ยวหลวงพระบาง
ตอนที่ 2: ช็อปปิ้งที่ตลาดมืด
ตอนที่ 3: วิถีพุทธแห่งหลวงพระบาง
ตอนที่ 4: เที่ยววังเก่าหลวงพระบาง
ตอนที่ 5: เที่ยวน้ำตกตาดกวางสี
ตอนที่ 6: นั่งเรือเที่ยวถ้ำติ่ง